ความโกรธของนางาฮิโกะ อิโตะไม่ได้เกิดจากการเสแสร้งหรือใจแคบ

ระยะนี้ เขารู้สึกแย่มาตลอด

อย่างแรกลูกสาวสุดที่รักของเขาได้รับบาดเจ็บสาหัส จากนั้นโคบายา ชิจิโร่ลูกเขยในอนาคตของเขาก็หายตัวไปอย่างลึกลับ

จากนั้นตามมาติดๆ เขาก็ใช้เงินไป 4.5 พันล้านดอลลาร์เพื่อเข้าถือหุ้นในบริษัทผลิตยาโคบายา

สัญญาเซ็นแล้ว เงินชำระแล้ว แต่ผลคือโคบายา ชิอิจิโร่จู่ๆก็กลับมาและประกาศเพียงฝ่ายเดียวว่าสัญญาการลงทุนที่เขาลงนามไปนั้นไม่มีผลบังคับใช้

จากนั้น เย่เฉินก็กล่าวอย่างหนักแน่นว่า เงินจำนวน 4.5 พันล้านดอลลาร์นี้จะไม่โอนคืน นางาฮิโกะ อิโตะใช้ชีวิตมาจนปูนนี้ เขายังไม่เคยเห็นใครหน้าด้านขนาดนี้มาก่อน

ถ้าไม่ใช่เพราะว่าเจ้าเด็กนี่ดูเหมือนจะมีความแข็งแกร่งอยู่บ้างจริงๆ บวกกับตระกูลซูจากเมืองจีนกำลังจะมาที่ญี่ปุ่นเพื่อพูดคุยเกี่ยวกับความร่วมมือ นางาฮิโกะ อิโตะคงแทบจะต้องการฆ่าเย่เฉินในทันที

แต่เขาก็ยอมอดทนเป็นอย่างมากต่อการมาถึงของตระกูลซู จุดแรกของตระกูลซูเมื่อมาถึงโตเกียวไม่ใช่การมาพูดคุยเกี่ยวกับความร่วมมือกับตน แต่กลับไปหาศัตรูคู่อาฆาตของตนอย่างตระกูลทากาฮาชิ

ช่วงเวลานี้ทำให้จิตใจของนางาฮิโกะ อิโตะพังทลายลง

เกิดอะไรขึ้น?

ทำไมช่วงนี้ตนถึงได้ประสบปัญหามากมายขนาดนี้?

หรือว่าตนจะต้องไปจุดธูป ไหว้พระในวัด และทานอาหารมังสวิรัติสักหลายวันหน่อยไหม?

ทานากะโคอิจิเห็นเขาโกรธจัดก็ยืนนิ่งอยู่นานไม่กล้าเข้าไปเอ่ยกล่อม

จนกระทั่ง นางาฮิโกะ อิโตะได้ระบายออกบ้างแล้ว ทานากะโคอิจิถึงค่อยขึ้นมาแล้วพูดว่า “ท่านประธาน เรื่องนี้คุณไม่ต้องโกรธขนาดนั้นหรอกครับ ต่อให้ตระกูลซูจะติดต่อกับตระกูลทากาฮาชิก่อนก็ไม่ได้มีความหมายอะไร ผมได้รับข้อความจากพวกเขาแล้ว พวกเขาบอกว่ามะรืนนี้ตอนบ่ายจะมาเยี่ยมเยือนถึงหน้าประตู พวกเราถือว่ายังมีโอกาสอยู่”

นางาฮิโกะ อิโตะเอ่ยด้วยใบหน้าคร่ำเครียดว่า “เรื่องแบบนี้ การเลือกว่าจะไปเจอใครก่อนของตระกูลซูนั้นสำคัญมาก นี่ก็เหมือนกับว่านายกำลังคบกับแฟนสาวที่อยู่โอซาก้า ขณะเดียวกันก็มีงานที่ต้องไปโอซาก้าพอดี เมื่อนายไปโอซาก้า นายจะเลือกพบแฟนก่อนหรือไปทำงานก่อน การตัดสินใจของนายก็คือสิ่งไหนสำคัญกว่ากันในใจของนาย”

ทานากะโคอิจิพูดอย่างอึกอักว่า “ท่านประธาน ความรักและอาชีพนั้นมันไม่เหมือนกัน…”

นางาฮิโกะ อิโตะพูดอย่างโกรธเคือง “ถ้าอย่างนั้นหากนายเป็นพวกเพลย์บอย มีคนรักสองคนในโอซาก้า ตอนนี้นายไปที่โอซาก้าเพื่อพบพวกเขาตามลำดับ ฉันถามนายหน่อย ว่านายจะเลือกเจอคนที่นายชอบมากที่สุด หรือว่าเจอคนที่นายไม่ได้ชอบมากขนาดนั้นก่อน?”

ทานากะโคอิจิรีบพูด “บางทีผมอาจจะชอบทั้งคู่ แต่เจอพร้อมกันก็ไม่ได้ ดังนั้นไม่ว่าจะยังไงก็ต้องมีก่อนมีหลังนี่ครับ ถ้าหากผมไม่รู้จะเลือกยังไง ผมก็อาจจะตัดสินใจโดยการจับสลาก หรือโยนเหรียญเดาก็เป็นได้ ดังนั้นนี่อาจไม่ได้แปลว่าหากผมเจอใครก่อนก็ชอบคนนั้นมากกว่าก็เป็นได้นี่ครับ”

นางาฮิโกะ อิโตะยกขาขึ้น เขาเตะใส่ขาของทานากะโคอิจิอย่างหงุดหงิดและโพล่งออกมา “ไปๆๆ ฉันต้องให้นายมาปลอบใจฉันที่นี่หรือไง? มีอะไรไปทำก็ไปทำเถอะ!”

ทานากะโคอิจิได้แต่ต้องยอมถอยออกมาแล้วพูดว่า “ท่านประธาน ผมอยู่ด้านนอกประตู ถ้าท่านมีอะไรก็เรียกหาผมได้”

ในขณะเดียวกัน

เย่เฉินมาถึงวิทยาเขตของมหาวิทยาลัยโตเกียวแล้ว

แม้ว่าจะมีรูปแบบที่แตกต่างกันมากมายระหว่างเมืองต่างๆ แต่มหาวิทยาลัยโตเกียวและมหาวิทยาลัยเย่นจิงนั้นเหมือนกัน ทั้งสองล้วนเป็นสถาบันการศึกษาระดับอุดมศึกษาชั้นนำในเอเชีย แน่นอนว่าย่อมมีบรรยากาศทางวิชาการที่เข้มข้นและให้ความรู้สึกที่ศักดิ์สิทธิ์

เย่เฉินเป็นคนที่สนับสนุนด้านความรู้เป็นอย่างมาก แต่น่าเสียดายที่เขาไม่มีโอกาสได้รับการศึกษาระดับอุดมศึกษาอย่างสมบูรณ์ นี่เป็นสิ่งที่ในใจของเขารู้สึกเสียดายอย่างมากมาโดยตลอด

ในตอนนั้น พ่อแม่ของเขาคนหนึ่งจบการศึกษาจากมหาวิทยาลัยเย่นจิง อีกคนจบจากมหาวิทยาลัยชิงหวา เมื่อตอนที่ยังเป็นเด็ก เขามักจะติดตามพ่อแม่ไปที่มหาวิทยาลัยทั้งสองแห่งนี้ หรือบางครั้งก็ตามพ่อแม่ไปร่วมกิจกรรมบางอย่างของมหาวิทยาลัยด้วย

ก่อนหน้านี้ เขาคิดมาเสมอว่าในอนาคตเขาจะต้องเลือกเรียนที่มหาวิทยาลัยเย่นจิงไม่ก็มหาวิทยาลัยชิงหวา หลังจากจบหลักสูตรระดับปริญญาตรีแล้ว ก็ค่อยเลือกมหาวิทยาลัยธุรกิจชั้นนำจากทั่วโลกเพื่อศึกษาในระดับบัณฑิตศึกษาด้านการจัดการองค์กร

ทายาทส่วนใหญ่ของตระกูลใหญ่ โดยพื้นฐานแล้วล้วนปฏิบัติตามบรรทัดฐานแบบนี้

เป็นเพราะสมาชิกในตระกูลใหญ่ในใจล้วนรู้ดีว่า ยิ่งเกิดในตระกูลใหญ่มากเท่าไหร่ พวกเขาก็ยิ่งต้องพัฒนาความสามารถให้ครอบคลุมมากขึ้นเท่านั้น มิฉะนั้นก็อาจจะถูกตระกูลละเลยหรือถูกคัดออก

ในบรรดาตระกูลใหญ่สิบอันดับแรกของเย่นจิง ขอแค่เป็นลูกหลานในรุ่นเยาว์ก็เป็นไปไม่ได้ที่ใครจะไม่ได้เรียนในมหาวิทยาลัย แน่นอนว่า เย่เฉินเป็นข้อยกเว้นเพียงหนึ่งเดียว

หากไม่นับรวมเย่เฉิน อัตราส่วนของนักศึกษาระดับปริญญาตรีคือ 100% และอัตราส่วนของนักศึกษาระดับปริญญาโทก็เท่ากับ 100% เช่นกัน

ต่อให้เป็นมหาลัยพวกนั้นทันทีที่เรียนจบก็ต้องเข้าทำงานในธุรกิจของตระกูลทันที และใช้เวลาว่างที่มีในการเรียนหลักสูตรMBA

น่าเสียดายที่ตอนนี้เย่เฉินอายุ 26 ปีแล้ว เขารู้ดีว่าเขาไม่สามารถกลับไปเรียนต่อในระดับปริญญาตรีหรือปริญญาโทได้อีก ดังนั้นจุดนี้ จึงกลายเป็นความเสียดายชั่วนิรันดร์ในใจของเขา

ที่มหาวิทยาลัยโตเกียวสามารถพบเจอคนหนุ่มสาวที่มีสีผิวแตกต่างกันออกไปได้ทุกที่ สวมใส่เสื้อผ้าเรียบง่าย แบกกระเป๋าหนังสือไม่ก็ถือหนังสือเรียน หลายคนดูเหมือนจะรีบร้อน

ตอนแรกเขายังคงสงสัยว่าอีกแค่ครึ่งเดือนก็ปีใหม่แล้ว ทำไมมหาวิทยาลัยในญี่ปุ่นจึงยังไม่หยุดเรียนอีก