ตอนที่ 1946 จับตะพาบในไห
“พี่จิน พวกเขาตามมาแล้ว!”

เถิงอี๋เฉินหน้าเปลี่ยนสียกใหญ่ สัมผัสได้ว่าด้านหลังมีจิตรับรู้อันกล้าแข็งสายแล้วสายเล่าเล็งอยู่บนตัวแล้ว

อย่างกับหนามแหลมจ่อหลัง!

“คราวนี้พี่จินช่วยพวกเรา จะให้พี่จินประสบเคราะห์ไปกับพวกเราได้อย่างไร พี่จินเจ้าไปก่อน พวกเราสองคนจะไปขวางศัตรูให้”

กุยซานสิงกัดฟันพูด

ถูเชียนเจวี๋ยคนเดียวก็ทำให้รู้สึกสิ้นหวังแล้ว และตอนนี้ไม่ได้มีแค่ถูเชียนเจวี๋ยคนเดียว แต่มีศิษย์แกนหลักของเรือนมรรคจักรวาลมาเป็นกลุ่ม!

มิหนำซ้ำพวกเขายังค่อยๆ ตามทันแล้ว แล้วนี่จะสู้อย่างไร

ขณะที่พูดกุยซานสิงหันตัวหมายจะไปสู้สุดชีวิต แต่กลับถูกหลินสวินลากไว้แล้วกระชากกลับมา

“ข้าช่วยพวกเจ้า ไม่ได้จะให้พวกเจ้าไปตายอีก”

หลินสวินนิ่วหน้าเอ่ย “ถ้าพวกเจ้ารู้สึกขอบคุณข้าจริง ก็หลบหนีสุดกำลังไปกับข้า”

หลบหนี!

พอคำนี้พูดออกมาจากปากหลินสวิน ก็ทำให้เถิงอี๋เฉินกับกุยซานสิงต่างเศร้าใจ ถ้าไม่ใช่เพราะพวกเขา พี่จินจะพบเจอเรื่องเช่นนี้ได้อย่างไร

“ได้ ไม่ว่าอย่างไรถ้าถึงเวลาชี้เป็นชี้ตายจริงๆ พวกเราสองคนจะต้องชิงโอกาสมาให้พี่หลินโดยไม่สนสิ่งใด”

“ใช่แล้ว!”

พวกเถิงอี๋เฉินสีหน้าแน่วแน่

หลินสวินเห็นดังนี้มุมปากก็ยกยิ้มจางๆ ไม่เสียแรงที่ตนช่วยพวกเขาไว้ มีความรู้สึกเช่นนี้ก็พอแล้ว!

“จินตู๋อี ก่อนหน้านี้เจ้าพูดเป็นมั่นเหมาะ คุยโวว่าถ้าสู้เต็มที่ผลลัพธ์ที่ตามมาพวกเราจะไม่อาจแบกรับได้ ทำไมตอนนี้กลับหนีเสียล่ะ”

เสียงหัวเราะเย็นชาของถูเชียนเจวี๋ยลอยไล่หลังมาไกลๆ

“ก็แค่แสร้งข่มขวัญเท่านั้นเอง”

“ศิษย์พี่ ไม่ต้องไปพูดอะไรกับคนผู้นี้มาก รอพวกเขาถูกคัดออก ก็จะเข้าใจว่าห่างชั้นกับพวกเราขนาดไหนเอง!”

ชายหญิงเรือนมรรคจักรวาลเหล่านั้นต่างเผยสีหน้าดูถูกและเย็นชา

หลินสวินไม่ได้สนใจ เคลื่อนย้ายเต็มกำลัง

ตลอดทางก็เห็นเงาร่างผู้แข็งแกร่งจำนวนหนึ่งปรากฏตัว แต่เมื่อเห็นพวกถูเชียนเจวี๋ยที่ท่าทางฮึกเหิม ต่างก็หน้าเปลี่ยนสีกะทันหัน หลบหนีไปไหลๆ

“นั่นเหมือนจะเป็นจินตู๋อีใช่ไหม”

“เจ้าหมอนี่ซวยเกินไปแล้ว เดิมข้านึกว่าข่งเจาจะเป็นคนแรกที่ลงมือกับเขา คิดไม่ถึงว่าขนาดถูเชียนเจวี๋ยยังหมายหัวเขา”

“จะตามไปไหม”

“เจ้าโง่ เหยื่อที่พวกถูเชียนเจวี๋ยหมายหัว จะไปมีส่วนให้พวกเราได้มาโดยไม่เปลืองแรงได้อย่างไร”

เสียงวิพากษ์วิจารณ์ดังขึ้นตลอดทางที่พวกหลินสวินหนีตาย ไม่ถือหางพวกหลินสวินแทบทั้งนั้น

นี่ทำให้จิตใจของพวกเถิงอี๋เฉินยิ่งหนักอึ้ง เต็มไปด้วยความรู้สึกผิด คิดว่าถ้าไม่ใช่เพื่อช่วยพวกเขา หลินสวินก็จะไม่ประสบเคราะห์ใหญ่เช่นนี้สักนิด

และในตอนนี้เงาร่างพวกถูเชียนเจวี๋ยที่ตามมาก็ยิ่งเข้ามาใกล้แล้ว สถานการณ์เสี่ยงนัก!

“จินตู๋อี ข้าให้โอกาสเจ้าครั้งสุดท้าย ส่งยันต์ชีวิตมา ข้ารับรองว่าจะไม่สร้างความลำบากให้พวกเจ้าอีก”

เสียงถูเชียนเจวี๋ยเฉยชาขึ้นบ้างแล้ว ต่อให้เขาใจดีแค่ไหน ก็ไม่ชอบคู่ต่อสู้ที่ดื้อดึงไม่รู้เวล่ำเวลา

ในขณะเดียวกันเขาสื่อจิตให้ทุกคนที่อยู่ข้างๆ ว่า ‘เตรียมตัวให้ดี ขอเพียงลงมือ ต้องทำลายอีกฝ่ายในคราวเดียวอย่างแข็งกร้าวรวดเร็ว’

ผู้สืบทอดแกนหลักเรือนมรรคจักรวาลต่างพากันพยักหน้า ไอสังหารฉายวาบในดวงตา

“โอกาสหรือ”

ก็ในตอนนี้เอง จู่ๆ หลินสวินที่กำลังหนีอยู่ข้างหน้าก็หันกาย แววตาเย้าหยอก “ทุกท่านคิดว่าข้าคนแซ่จินหนีเพราะกลัวหรือ”

ถูเชียนเจวี๋ยนิ่วหน้า พอเขาโบกมือครั้งหนึ่งพวกเขาก็หยุดเท้าอย่างรวดเร็ว ระยะห่างจากหลินสวินเหลือเพียงไม่ถึงสามพันจั้งแล้ว

“พี่จิน ถ้าเจ้าไม่ได้ไม่มั่นใจ ทำไมถึงต้องหนีมาตลอดทางด้วย”

ถูเชียนเจวี๋ยแววตาลึกล้ำ ตลอดมาเขาไม่เคยดูเบาหลินสวิน

ตั้งแต่หลินสวินทำให้ข่งเจาบาดเจ็บที่นอกประตูเขาเรือนมรรคโลกาสวรรค์ จนถึงทำให้อู่หวงถูกคัดออกด้วยการบดขยี้อย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาดเมื่อครู่ ศักยภาพที่แสดงออกมาทำให้ถูเชียนเจวี๋ยไม่กล้าดูเบาอยู่แล้ว

ดังนั้นไม่ว่าจะเป็นตอนแรกหรือตอนนี้ ยามถูเชียนเจวี๋ยต่อกรกับหลินสวินก็จะยับยั้งชั่งใจอย่างเห็นได้ชัด ถ้าเปลี่ยนเป็นผู้แข็งแกร่งคนอื่น เขาจะพูดพร่ำทำเพลงได้อย่างไร คงลงมือทันทีไปแล้ว

หลินสวินยิ้มน้อยๆ เอ่ยว่า “ข้าแค่เชิญเจ้าเข้าไห คิดจะจับตะพาบในไหก็เท่านั้น”

ตะพาบในไห!?

ถูเชียนเจวี๋ยอึ้งไป จิตรับรู้แผ่ขยายไปรอบทิศ ที่นี่เป็นหุบเขา ในแดนลับโลกาสวรรค์มีหุบเขาแบบนี้นับไม่ถ้วน ไม่ได้มีอะไรพิเศษ

แต่ชั่วพริบตาถูเชียนเจวี๋ยคล้ายรับรู้ได้ถึงอะไรบางอย่าง หน้าเปลี่ยนสีเล็กน้อย ตะคอกว่า “ถอย!”

เพียงแต่ช้าไปแล้วก้าวหนึ่ง

พอหลินสวินสะบัดแขนเสื้อ ฟ้าดินแถบนี้เปลี่ยนผันฉับไว ทิวากลับกลายเป็นราตรีนิรันดร์ ภูผาธารากลายเป็นสีเลือด กระบวนค่ายกลลายมรรคนับไม่ถ้วนดุจสายธารอุบัติขึ้นสะเทือนเลื่อนลั่น กลายเป็นพลังมรรคค่ายกลน่าหวาดหวั่นไร้สิ้นสุดโดยมีหุบเขาแห่งนี้เป็นศูนย์กลาง

ครืน…

ก็เห็นว่าในค่ายกลฟ้าแลบฟ้าร้องสอดประสาน ลมโหมเมฆซัด มีแสงเทพไร้สิ้นสุดม้วนตลบ มีเสียงมรรคถาโถมดังสนั่น มีเสียงปวงเทพคำรามเป็นพักๆ มีเสียงโหยหวนของมารเทพหลั่งโลหิตแว่วมาเป็นครั้งคราว…

เหมือนกับนรกเซินหลัว!

“บ้าเอ๊ย!”

“พวกเราติดกับแล้ว…”

“สารเลวนี่วางกับดักไว้ก่อนแล้ว พวกเราถูกมันหลอกแล้ว!”

ผู้สืบทอดแกนหลักเรือนมรรคจักรวาลเหล่านั้นต่างหน้าเปลี่ยนสีกันทุกคน ส่งเสียงตกตะลึงระคนเดือดดาล

“กระบวนค่ายกลใหญ่แห่งหนึ่งเท่านั้น จะยังขังพวกเราไว้ได้หรือ อย่าพูดไร้สาระ ทำลายค่ายกลก่อนแล้วค่อยกำจัดเจ้าสารเลวอย่างจินตู๋อีนั่น!”

ถูเชียนเจวี๋ยสูดหายใจลึกเฮือกหนึ่ง พริบตาก็สงบใจลง สภาวะจิตแข็งแกร่งจนน่ากลัว

ตูม!

พวกเขาไม่ลังเลสักนิด ออกโจมตีอย่างอุกอาจ สำแดงวิชามรรคและสมบัติต่าง ๆ ถล่มโจมตีเต็มกำลังคล้ายบ้าคลั่ง

นอกค่ายกลใหญ่ เถิงอี๋เฉินกับกุยซานสิงต่างตกตะลึงอ้าปากค้าง สั่นสะท้านเพราะภาพพลิกผันตรงหน้านี้

“พี่จิน ที่แท้เจ้าเตรียมทางหนีทีไล่ไว้ก่อนแล้ว”

“คิดไม่ถึงเลย พี่จินเจ้าถึงกับเป็นนักสลักลายมรรค!”

ทั้งสองถึงเพิ่งตระหนักได้ ว่าเหตุใดตลอดทางหลินสวินถึงดูสุขุมเช่นนี้ ต่างรู้สึกตื่นเต้นและยินดีปรีดาไปครู่หนึ่ง

หลินสวินยิ้มเอ่ย “พวกเจ้าสองคนคอยดูข้าจับตะพาบในไห”

เขาทำมุทราไปมา ก็เห็นว่ากระบวนค่ายกลใหญ่ที่ปกคลุมฟ้าดินนั้นโคจรดังสนั่น สะท้อนปรากฏการณ์อันน่าตะลึงออกมา

กระแสพลังน่าสะพรึงแปรเปลี่ยนเป็นปราณกระบี่ คมดาบ อสนี เปลวเพลิง ซัดสังหารอยู่ในกระบวนค่ายกล

พวกถูเชียนเจวี๋ยที่ถูกขังอยู่ในนั้นพลันรู้สึกกดดันทบทวี ล้วนถูกพลังวิชาค่ายกลอันน่ากลัวปกคลุม

“ฆ่า!”

“ฆ่า!”

“ฆ่า!”

พวกถูเชียนเจวี๋ยออกโจมตีเต็มกำลังเหมือนบ้าคลั่ง

ไม่อาจไม่พูดว่าพลังของพวกเขาเรียกได้ว่าแกร่งกล้ายอดเยี่ยม แต่ละคนล้วนเป็นบุคคลชั้นยอดในระดับมกุฎราชันอริยะ หากเปลี่ยนเป็นกระบวนผนึกลายมรรคทั่วไปย่อมขังพวกเขาไว้ไม่ได้อยู่แล้ว

แต่กระบวนผนึกลายมรรคของหลินสวินไม่ธรรมดา หลายปีนี้เมื่อพลังปราณของเขาเพิ่มพูนขึ้น ก็ทำให้พลังกระบวนผนึกลายมรรคที่เขาวางยิ่งแข็งแกร่งขึ้นไปด้วย

กล่าวอย่างไม่เกินเลย ตั้งแต่ชั่วขณะที่วางกระบวนค่ายกลนี้ เดิมทีหลินสวินก็คิดจะเตรียมเป็น ‘ทางหนีทีไล่’ ให้ตน อานุภาพจะอ่อนแอได้อย่างไร

เพียงครู่เดียวเท่านั้น

“อ๊าก…!”

เสียงหวีดร้องเจ็บปวดเสียงหนึ่งดังขึ้นในกระบวนค่ายกลใหญ่ ผู้สืบทอดเรือนมรรคจักรวาลคนหนึ่งถูกปราณกระบี่ที่จู่ๆ ก็พุ่งมาจากใต้เท้ากวาดโดนโดยไม่ทันตั้งตัว เกือบจะฟันเอวเขาขาดสะบั้น

ก่อนเฉียดใกล้ความตาย ตัวเขาก็ถูกย้ายออกจากแดนลับโลกาสวรรค์ ถูกคัดออกจากการคัดเลือก

“ศิษย์น้องหนิว!”

“สารเลว…”

คนอื่นต่างรู้สึกเหมือนถูกกระตุ้น ตาแดงก่ำแล้ว

แม้แต่ถูเชียนเจวี๋ยยังสีหน้าอึมครึมลง ดวงตาน่าสะพรึงราวน้ำแข็ง ปรากฏกระแสน่าครั่นคร้าม

ตัวเขาก่อนหน้านี้สง่างามนุ่มนวล สุขุมเยือกเย็น มีท่วงท่าผ่าเผยโสภา แต่ตอนนี้ไม่ว่าจะเป็นสีหน้าหรือกลิ่นอาย ล้วนดูเหี้ยมเกรียมแข็งกระด้างเป็นที่สุด

เขาระมัดระวังมาตลอดทาง แต่ยังคิดไม่ถึงว่าจะถูกจูงจมูกหลอกล่อ!

พอคิดว่าภาพทั้งหมดนี้ถูกผู้ยิ่งใหญ่ระดับจักรพรรดิที่อยู่โลกภายนอกเหล่านั้นเห็นเข้าอย่างชัดเจน ความโกรธและอายอันยากบรรยายได้ผุดขึ้นในใจเขา

“ไม่…!”

เสียงร้องตื่นตะลึงที่เผยความไม่ยินยอมดังขึ้นอีกเสียงหนึ่ง ผู้สืบทอดเรือนมรรคจักรวาลอีกคนถูกคัดออกแล้ว คนผู้นี้น่าสังเวชยิ่งกว่า ถูกสายฟ้าฟาดอย่างไม่คาดคิด เลือดเนื้อแหลกเละไปหมด เดิมยังดิ้นรนได้ครู่หนึ่ง ใครจะคิดว่าหลังจากสายฟ้าฟาด ที่ตามมาติดๆ ก็คือปราณกระบี่สายหนึ่งที่แทงตรงเข้าคอหอย ในที่สุดก็ดวงตกถูกคัดออกจากการคัดเลือก

ภาพนี้ทำให้ถูเชียนเจวี๋ยโกรธจนไม่อาจควบคุมไฟโทสะในใจได้ เสียงดุจอสนีบาต “จินตู๋อี เจ้าจะต่ำช้าเกินไปแล้ว! รอเมื่อข้าทลายค่ายกลออกไปได้ จะต้องชดใช้เป็นสิบเท่า!”

นอกกระบวนค่ายกล หลินสวินที่กำลังควบคุมกระบวนค่ายกลเต็มกำลังยิ้มออกมาอย่างอดไม่ได้แล้ว “ต่ำช้าหรือ ก่อนหน้านี้ตอนพวกเจ้าใช้พวกมากรังแกคนน้อย ไล่ฆ่าตลอดทางจะเรียกว่าอะไร”

เขาหยุดไปครู่แล้วพูดต่อว่า “ถูเชียนเจวี๋ย ถ้าจะให้ข้าให้เลื่อมใสเจ้าก็อย่าพล่าม ทลายกระบวนค่ายกลออกมาก่อนค่อยมาคุยข่ม”

ตูม!

เสียงพูดเงียบลง หลินสวินโคจรอานุภาพกระบวนค่ายกลใหญ่ถึงขีดสุดในรวดเดียว

ทันใดนั้นภายในกระบวนค่ายกลมีลมทมิฬถาโถม ไอพิฆาตโหมคลั่ง ทั้งยังปะปนด้วยเสียงด่าทอเป็นระลอก

ผู้สืบทอดเรือนมรรคจักรวาลเหล่านั้นล้วนลนลาน หงุดหงิดฉุนเฉียว ตกตะลึงระคนโกรธเกรี้ยว

เพียงแต่ไม่ว่าพวกเขาจะดิ้นรนหรือจู่โจมเต็มกำลังอย่างไรก็เปลืองแรงเปล่า อานุภาพของค่ายกลนี้สามารถขังระดับกึ่งจักรพรรดิให้ตายได้ พวกเขายืนหยัดมาถึงตอนนี้ได้ก็หายากอย่างที่สุดแล้ว

“น่าชังนัก!”

“ข้าจะไม่ปล่อยเจ้าไปแน่!”

“ช่วยข้า…”

ในเวลาต่อมาผู้สืบทอดเรือนมรรคจักรวาลคนแล้วคนเล่าถูกคัดออก ต่อให้ถูเชียนเจวี๋ยทุ่มสุดชีวิตเพื่อช่วยเหลือก็ไม่เป็นผล

เพราะเขาในตอนนี้ก็ได้รับบาดเจ็บแล้ว แม้ไม่ถึงกับร้ายแรงแต่ทำให้เขาดูยับเยินหาใดเทียบ

ความน่ากลัวของกระบวนผนึกลายมรรคก็อยู่ตรงนี้

ทันทีที่ถูกขังอยู่ในนั้น คิดจะทลายกระบวนค่ายกล เว้นแต่จะมีความเชี่ยวชาญศาสตร์ลายมรรคในระดับเดียวกัน หาไม่แล้วเพียงอาศัยกำลังดึงดันฝ่าไป ยากนักที่จะหลุดพ้นออกมาได้

นอกกระบวนค่ายกล เถิงอี๋เฉินกับกุยซานสิงมองตาค้างไปแล้ว

กระบวนค่ายกลใหญ่กระบวนหนึ่ง ขังศิษย์แกนหลักเรือนมรรคจักรวาลที่มีถูเชียนเจวี๋ยอยู่ด้วยไว้ได้!

นี่เหมือนเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ชัดๆ เต็มไปด้วยความเหลือเชื่อ

และก็ทำให้พวกเขามองหลินสวินไม่เหมือนเดิมแล้ว ก่อนหน้านี้พวกเขาไม่รู้สักนิดว่าในด้านการสลักลายมรรค หลินสวินจะน่ากลัวปานนี้!

ณ ยอดเขาหลักเรือนมรรคโลกาสวรรค์ที่โลกภายนอกในขณะนี้ เหล่าคนใหญ่คนโตระดับจักรพรรดิอย่างไท่ซูหง ซย่าสิงเลี่ย ต่างก็ถูกภาพ ‘จับตะพาบในไห’ นี้ดึงดูด

“ก้าวผิดครั้งเดียวล้มทั้งกระดาน ถ้าประลองกันซึ่งหน้า ถูเชียนเจวี๋ยอาจจะเป็นคู่ต่อสู้ของจินตู๋อีนั่นได้ แต่ดัน… ถูกวางกับดักเข้าแล้ว…”

ระดับจักรพรรดิคนหนึ่งทอดถอนใจ

“ฝีมือสลักลายมรรคของจินตู๋อีคนนี้มหัศจรรย์ถึงที่สุด ทุกท่านดูที่มาในวิชาที่สืบทอดของเจ้าหนุ่มนี่ออกหรือไม่”

มีคนใหญ่คนโตเอ่ยเสียงขรึม

ระดับจักรพรรดิที่อยู่ในที่นั้นต่างก็ฉงนอยู่ในใจ ทั่วหล้าทั้งบนล่างนี้ไม่ได้ขาดปฐมาจารย์ลายมรรคที่มีเชี่ยวชาญโดดเด่น ทว่าแต่ละคนต่างมีที่มาของวิชาที่สืบทอด สามารถพอจะระบุออกมาได้บ้าง

แต่วิชาสลักลายมรรคของจินตู๋อี กลับทำให้ระดับจักรพรรดิอย่างพวกเขาไม่อาจมองร่องรอยอะไรออกได้

นี่จะแปลกประหลาดเกินไปแล้ว!

——