ตอนที่ 3641

War sovereign Soaring The Heavens

ตอนที่ 3641 : ถูเฟิง

 

ณ จวนตระกูลจัง

 

ถึงแม้ว่าค่ําคืนจะมาเยือนได้สักพักแล้ว หากแต่แสงไฟในห้องโถงใหญ่ของตระกูลจังก็ยังไม่ดับลง อีกทั้งเหลาอาวุโสระดับสูงในตระกูลจัง ไม่เว้นนายท่าน 4 จังซื่อ กับนายท่าน 2 จังเอ้อของตระกูลจังก็มารวมตัวกันพร้อมหน้าพร้อมตา

 

ชื่อของเหล่าอาวุโสตระกูลจัง เป็นอะไรที่ผู้คนในเมืองวายุสวรรค์กล่าวขานถึงนานมากแล้ว ว่าช่างเรียกหาง่ายยิ่ง…

 

ผู้นําตระกูลจังคนปัจจุบัน ไม่เพิ่งแค่มีฐานะผู้นําตระกูลเท่านั้น ยังเป็นพี่ชายคนโตในบรรดาพี่ร้องสายเลือด หลักของตระกูลจัง และมีนามว่า จังต้า” ส่วนน้องชายคนที่สองที่เป็นน้องชายร่วมบิดามารดาเดียวกันแถมยังเป็นพ่อของจังเค่อฉี เรียกว่า “จังเอ้อ” น้องคนที่ 3 เรียกว่า “จังซัน” น้องคนที่ 4 นามว่า “จังซื่อ” นอกจากนั้นยังมีน้องสาวคนที่ 5 เรียกว่า “จังอู่!” ทว่าน้องสาวคนที่ 5 เมื่อโตขึ้นก็เปลี่ยนชื่อ และบัดนี้ก็ได้แต่งงานกับผู้อาวุโสสายใน คนหนึ่งของนิกายหมอกเร้นลับ

 

ลําพังฐานะผู้อาวุโสสายในของนิกายหมอกเร้นลับของสามีนาง อาจไม่ได้ยิ่งใหญ่อะไรมากมาย ทําให้สถานะในนิกายไม่ได้สูงมากนัก แต่ปัญหาก็คืออีกฝ่ายกลับมีบิดาอันประเสริฐ วิ่งดํารงตําแหน่งผู้อาวุโสสูงสุดของนิกายหมอกเร้นลับ ยังเป็นตัวตนขอบเขตจอมราชั้นเทพอันทรงพลัง

 

ด้วยเหตุนี้สําหรับตระกูลจังแล้ว น้องสาวคนที่ 5 นาม จึงอู่จึงถือเป็นไพ่ตายที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของตระกูลจัง

 

ถึงแม้จะมีคนตระกูลจังอยู่ในนิกายหมอกเร้นลับมากมาย แต่สถานะของคนเหล่านั้นก็ไม่ได้สูงอะไร ยังด้อยกว่าฐานะของสามีจึงอู่มาก ไม่ต้องกล่าวถึงอาวุโสสูงสุดนิกายหมอกเร้นลับที่เป็นจอมราชั้นเทพอันทรงพลังผู้นั้นด้วยซ้ํา

 

“ป่านนี้น้อง 5 เองก็คงจะได้ยินข่าวแล้วกระมัง…”

 

จังซัน กับจังซื้อที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ที่เรียงรายเป็นแถวหันไปมองถาม อาวุโสใหญ่ตระกูลจังด้วยสีหน้ามืดมนเสียงหนัก

 

อาวุโสใหญ่พยักหน้าเบาๆ

 

“ด้านพี่ใหญ่กับพี่รองที่ไปด้านนอกยังไม่กลับ ตอนนี้เองก็ทราบเรื่องราวแล้ว…ทั้ง 2 คนกําชับข้ามาว่า ให้พวกเราลองพายามดึงตัวต้วนหลิงเทียนคนนั้นสุดกําลังเท่าที่จะทําได้ แต่หากพวกเราไม่อาจทําให้มันกลายเป็นคนของพวกเราได้ ก็ให้ทําลายมันเสีย!”

 

จังซันกล่าว

 

พอได้ยินคําพูดของจังซัน หลายคนก็อดชักสีหน้าแปลกใจขึ้นมาไม่ได้ พวกมันเองก็หลงคิดว่าจะเริ่มดําเนินการหาวิธีเล่นงานต้วนหลิงเทียนทันทีเสียอีก ไม่คิดเลยว่าผู้น่ากับรองผู้ว่าจะเลือกให้โอกาสอีกฝ่ายก่อน

 

“ข้าเกรงว่ามันไม่มีทางเข้าร่วมกับพวกเรา และปล่อยให้พวกเราใช้ประโยชน์จากมันได้แน่…”

 

จังชื่อที่นั่งบนเก้าอี้ส่ายหัวไปมา “เค่อฉีได้รายงานลักษณะของศิษย์ใหม่ของสถานศึกษาหมอกเร้นลับนามต้วนหลิงเทียนผู้นั้นมาแล้ว แถมจากข้อมูลคนของพวกเราในสถานศึกษา…บ่งชี้ชัดว่าต้วนหลิงเทียนผู้นั้น ราวกับมีดวงตางอกเงยบนหัวก็ไม่ปาน”

 

“ที่สําคัญ ตระกูลราชาเทพอื่นๆที่สมควรได้รับทราบข่าวแล้วเหมือนกัน ไม่มีทางพลาดโอกาสดึงตัวมันไปเข้าร่วมแน่…กอปรกับเรื่องที่เจ้าหนูเค่อฉีไปข่มขู่มันเอาไว้ ทั้งหมดนี้ ข้าเกรงว่าคงไม่มีโอกาสให้ตระกูลจังของพวกเราได้ฉกฉวยแล้วเรื่องจะรับตัวมัน ข้าว่ายากยิ่งกว่าให้คนธรรมดาปืนขึ้นสวรรค์เสียอีก”

 

จังชื่อกล่าวความเห็นออกมาเสียงเข้ม

 

จังซื่อ ก็คือนายท่าน 4 ตระกูลจัง ที่เคยประมูลแย่งโอสถเทพเจี้ยอียิ่งกับต้วนหลิงเทียนในงานประมูลตระกูลโจวเมื่อครึ่งเดือนก่อน แต่สุดท้ายก็เป็นต้วนหลิงเทียนที่ได้โอสถเทพทั้ง 3 ไป ทําให้จังชื่อหมั่นไส้ต้วนหลิงเทียนไม่น้อย

 

อย่างไรก็ตาม ตั้งแต่ที่มันเห็นถึงพลังอันแข็งแกร่งของอว์ชิวซวนที่อยู่ข้างๆต้วนหลิงเทียน และจากท่าทีของนางที่มีต่อต้วนเฉียวอรี่ที่เรียกหาต้วนหลิงเทียนว่าพี่ชาย จังซื่อก็ไม่เหลือความกล้าคิดล้างแค้นอันใด

 

และเป็นธรรมดาว่าจนบัดนี้ จังซื่อก็ยังไม่รู้เลย ว่าคนที่แย่งประมูลโอสถเทพเจี้ยอียิ่งกับมันในงานประมูตระกูลโจวเมื่อครึ่งเดือนก่อน ก็คือนักศึกษา 10 ดาวคนใหม่ของสถานศึกษาหมอกเร้นลับนามว่า ต้วนหลิงเทียน!

 

“ไม่ว่าอย่างไร พวกเราก็ต้องลองพยายามดูก่อน…แต่หากเจ้าเด็กนั่นมันไม่รู้ว่าอะไรดีต่อตัว เช่นนั้นพวกเราก็ทําได้แค่หาวิธีทําลายมันเสีย!”

 

จังซันกล่าวคําเสียงขรึม “ตามข่าที่ได้รับมา พรสวรรค์และความเข้าใจของต้วนหลิงเทียนผู้นั้นมิใช่ชั่ว เป็นธรรมดาว่ามันต้องเข้าตา มู่หรงสุยเฟิง คณบดีสถานศึกษาหมอกเร้นลับผู้นั้นแน่…ตอนนี้ข้าหวังก็แต่มู่หรงสุยเฟิงผู้นั้น ไม่มีความคิดรับเจ้านั่นเป็นศิษย์…หากมู่หรงสุยเฟิงรับเจ้าเด็กนั่นเป็นศิษย์ขึ้นมาจริงๆ เกรงว่าพวกเราจักมิอาจแตะต้องมันได้อีกต่อไป”

 

“จริง มู่หรงสุยเฟิงผู้นั้น มีผู้ใดไม่รู้ว่ามันตัวคุ้มคลั่งบ้าง..”

 

“ในอดีตตอนที่ลูกศิษย์ของมันคนหนึ่งถูกกองกําลังอันธพาลระดับราชาเทพเข่นฆ่า มันถึงกับยอมเสียเวลาเป็นร้อยๆปี เพื่อไล่ฆ่าผู้คนในกองกําลังอันธพาลระดับราชาเทพนั่นจนหมด อีกทั้งเพื่อตัดรากถอนโคนมันยังฆ่า ทุกคนที่อันธพาลพวกนั้นรู้จักไม่มีเหลือ…กับคนเช่นนี้ หากไม่จําเป็นพวกเราอย่าได้ไปล่วงเกินยั่วยุมันประเสริฐกว่า”

 

ค่าพูดของจังซันก็ทําให้สีหน้าท่าทีของระดับสูงตระกูลจังเปลี่ยนเป็นจริงจังทันที

 

“เจ้า 3 เรื่องที่เจ้าว่ามาข้าเกรงว่าจักไม่มีทางเป็นไปได้”

 

ทว่าทันใดนั้นเอง จังซื่อพลันส่ายหัวไปมา ค่อยกล่าวสืบต่อว่า “เท่าที่ข้ารู้มามู่หรงสุยเฟิงผู้นั้น หลังจากที่ลูกศิษย์ของมันถูกฆ่าตาย มันก็ได้ลั่นวาจาไว้ว่าจักมิรับผู้ใดเป็นศิษย์อีก…แถมเรื่องนี้ข้ายังได้ทราบมาจากคนในนิกายหมอกเร้นลับที่อยู่ในเหตุการณ์ เช่นนั้นต้องไม่แปลกปลอมเป็นแน่”

 

“อืม เรื่องนี้ข้าเองก็เคยได้ยินมาเช่นกัน”

 

อาวุโสใหญ่พยักหน้า “เห็นว่าเพราะเกิดเหตุการณ์นี้ขี้ ผู้แซ่มู่หรงนั่นถึงเลือกออกจากนิกายมายังเมืองวายุสวรรค์ของพวกเราและรับตําแหน่งคณบดีสถานศึกษาหมอกเร้นลับ…ที่มันออกจากนิกายหมอกเร้นลับ เพราะมันอยากเปลี่ยนที่ทางด้วยมิอาจทนอยู่เห็นสถานที่ๆมันเคยอยู่กับศิษย์ที่ตาย สุดท้ายที่นิกายกมมีความทรงจําของมันกับศิษย์มากมาย มันย่อมไม่อยากทนปวดใจซ่าๆ”

 

“โดยปกติแล้ว มู่หรงสุยเฟิงนั่นไม่น่าจะผิดคําพูดได้…ยิ่งเป็นเรื่องที่เกี่ยวพันกับศิษย์เพียงคนเดียวที่ล่วงลับของมัน ข้าเชื่อว่ามันพูดคําไหนย่อมเป็นคํานั้น”

 

หลังจากที่จังซื้อกับอาวุโสใหญ่ค่อยๆเผยข้อมูลของหมู่หรงสุยเฟิงออกมาที่ละเรื่องๆ ทุกคนก็พยักหน้ารับรู้ “ข้าก็หวังให้เป็นเช่นนั้น”

 

ในเมืองวายุสวรรค์ หรือแม้แต่ภายในสถานศึกษาหมอกเร้นลับเอง ก็มีแค่ไม่กี่คนเท่านั้นที่ทําให้พวกมันหวาดกลัว พอดีคณบดีของสถานศึกษาหมอกเร้นลับ มู่หรงสุยเฟิงก็เป็นหนึ่งในนั้น…อย่างไรก็ตาม ตราบใดที่อีกฝ่ายไม่รับต้วนหลิงเทียนเป็นศิษย์ แม้พวกมันจะฆ่าต้วนหลิงเทียนทิ้ง ขอเพียงไม่ให้เหลือหลักฐานและร่องรอยให้สืบสาวอันใด มู่หรงสุยเฟิงก็ไม่อาจทําอะไรพวกมันได้…

 

และต่อให้มีหลักฐานว่าเป็นฝีมือพวกมัน อย่างดีพวกมันก็ผลักไสพวกเดนตายของตระกูลออกไปรับโทษเป็นตัวตายตัวแทน

 

ในเวลาเดียวกัน

 

ตระกูลระดับราชาเทพอีกหลายตระกูลในเมืองวายุสวรรค์ ไม่เว้นตระกูลโจวก็กําลังประชุมหารือเช่นกัน และหัวข้อในการหารือของพวกมันก็วนเวียนอยู่แต่ นักศึกษา 10 ดาวคนใหม่ของสถานศึกษาหมอกเร้นลับ ต้วนหลิงเทียน

 

“พยายามซื้อใจต้วนหลิงเทียนผู้นั้นและให้มันเข้าร่วมกับตระกูลเราให้ได้…อัจฉริยะเช่นมัน วันหน้าเมื่อเข้านิกายหมอกเร้นลับไป ก็ต้องประสบความสําเร็จอันยิ่งใหญ่แน่…”

 

“ขอเพียงมันเต็มใจเข้าร่วมตระกูลของพวกเรา…มว่ามันต้องการอันใด ให้มันพูด!”

 

ดูเหมือนว่าตระกูลราชาเทพทั้งหลาย ล้วนมุ่งมั่นจะซื้อใจต้วนหลิงเทียนให้ได้

 

และเหตุไฉนที่พวกมันถึงได้กระตือรือร้นกันนัก ก็เพราะพรสวรรค์กับความเข้าใจที่ต้วนหลิงเทียนเผยออกมา…กับรุ่นเยาว์ที่ยังมีอายุไม่ถึง 2,800 ปี แต่สามารถเข้าใจการผสานรวมความลึกซึ้งของกฏมิติ 1 ใน 4 กฏสูงสุ ดได้ถึง 3 ประการแล้ว ยังมีด่านพลังฝึกปรือเทพขั้นกลางนั้นอีก แม้จะเป็นในนิกยหมอกเร้นลับเอง ก็ถือว่าเป็นชนชั้นสุดยอดอัจฉริยะแล้ว

 

ต่อให้เป็นสุดยอดอัจฉริยะที่โดดเด่นที่สุดเท่าที่นิกายหมอกเร้นลับ อย่างที่ความสําเร็จในวัยเดียวกันก็แค่ พอๆกับต้วนหลิงเทียนไม่ได้เหนือกว่า

 

และอัจฉริยะผู้นั้นก็ได้ถูกกําหนดให้เป็นว่าที่ประมุขคนต่อไปของนิกายหมอกเร้นลับ!

 

ในขณะที่ทั้งเมืองวายุสวรรค์กําลังสะท้านสะเทือนเพราะข่าวของต้วนหลิงเทียน ด้านสถานศึกษาหมอกเร้นลับหลังคึกคักฮือฮากันพักหนึ่ง ก็ค่อยๆหวนคืนสู่ความสงบ

 

อย่างไรก็ตาม ในศาลาหลังหนึ่งที่ตั้งอยู่บริเวณพื้นที่ใจกลางสถานศึกษาหมอกเร้นลับ ปรากฏร่างนั่งอยู่บนหลังคาศาลา ในมือถือไว้ด้วยสุราไหหนึ่ง ยังยกซดอย่างองอาจ ปล่อยให้สุราไหลย้อยลงมาที่มุมปาก ราวกับไม่รู้จักเสียดาย

 

เป็นชายวัยกลางคนในอาภรณ์ขาวแลดูสง่างาม ใบหน้าหล่อเหลา เพียงแต่เส้นผมที่ยาวของมันถูกปล่อยให้กระเซอะกระเซิง จึงแลดูมอซออยู่บ้าง

 

มันไม่ใช่ใครที่ไหน แต่เป็นคณบดีสถานศึกษาหมอกเร้นลับ มู่หรงสุยเฟิง

 

“เฉียนเอ้อ…วันนี้สถานศึกษาหมอกเร้นลับปรากฏนักศึกษาเข้าใหม่คนหนึ่ง และทั้งๆที่เป็นวันแรกของมัน แต่มันกลับก่อวีรกรรมจนผู้คนทั้งหมดยอมรับ กลายเป็นนักศึกษาอันดับ 1 ของสถานศึกษาหมอกเร้นลับไปแล้ว…มันยังนับว่าเก่งกาจยิ่งกว่าเจ้าเสียอีก”

 

“หากวันนี้เจ้ายังอยู่…อาจารย์ของเจ้าผู้นี้มิพ้นต้องรับมันเป็นศิษย์แน่ ให้มันเป็นศิษย์น้องของเจ้า…”

 

“แต่พอเจ้าจากไปแล้ว อาจารย์ได้ลั่นวาจาไว้ว่าจักมิรับผู้ใดเป็นศิษย์อีก…เช่นนั้น ให้อาวุโสอขึ้นสู่ยเกลี้ยกล่อมอาจารย์เช่นไร อาจารย์ก็มิคิดรับมันเป็นศิษย์…”

 

“อัจฉริยะเช่นมัน…รอให้มันไปนิกายหมอกเร้นลับ แล้วให้เหล่าผู้เฒ่าพวกนั้นแก่งแย่งกันเถอะ”

 

“บางทีอาจไม่ต้องรอจนมันเข้านิกายด้วยซ้ํา…อีกไม่นานพอผู้เฒ่าเหล่านั้นทราบข่าว มพ้นต้องชิงส่งคนมาทาบทามรับมันเป็นศิษย์ล่วงหน้าแน่…”

 

เบื้องหลังสถานศึกษาหมอกเร้นลับ ก็คือนิกายหมอกเร้นลับ

 

มู่หรงสุยเฟิงที่ดํารงตําแหน่งคณบดีของสถานศึกษา ก็เป็นผู้ที่คอยรับผิดชอบและดูแลสถานศึกษาหมอกเร้นลับแห่งนี้แต่เพียงผู้เดียว

 

ในสถานศึกษาหมอกเร้นลับได้ตรากฎไว้ว่า

 

นักศึกษาทุกคนในสถานศึกษา ไม่ว่าจะเก่งกาจแค่ไหน ก็ต้องมีอายุอย่างน้อย 3,000 ปีเสียก่อน ถึงจะเข้าไปเป็นศิษย์นิกายหมอกเร้นลับได้

 

และในระหว่างที่ยังอายุไม่ถึง ไม่ว่าผู้ใดในนิกายหมอกเร้นลับจะต้องตาพึงใจหมายรับนักศึกษาเป็นศิษย์ ก็ไม่อาจมาด้วยตนเองได้ ทั้งนี้เพื่อไม่ให้กระทบต่อการฝึกฝนบ่มเพาะของนักศึกษา

 

อย่างไรก็ตาม แม้จะมีกฏดังกล่าวตราไว้ แต่ไม่วายที่มีบางคนหาช่องทางฉกฉวยโอกาสจนได้

 

อย่างเช่นการส่งคนอื่นไปในนามของตัวเองเพื่อชักชวนและทาบทามักศึกษาที่หมายตาไว้ก่อน

 

และในประวัติศาสตร์ของสถานศึกษาหมอกเร้นลับ ก็มีเรื่องราวทํานองนี้เกิดขึ้นบ่อยครั้งแล้ว

 

“ถึง! ปัง!”

 

ต้วนหลิงเทียนนั้น หลังจากคว้า 1 ใน 5 บ้านลานที่อยู่ในเขตหอกพักชั้นสูงมาจากจังเค่อฉีได้ เขาก็ปิดด่านบ่มเพาะตัดขาดจากโลกภายนอกไปเลย ไม่เข้าไปฟังอาจารย์สอนเรื่องราวต่างๆ ไม่ติดต่อหาผู้ใด และไม่มีผู้ใดมาหาจนเมื่อเวลาผ่านไปนานพอสมควร วันหนึ่งก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้นราวกลองศึก ปลุกสติเขาที่จมจ่อมอยู่ในภวังค์บ่มเพาะให้ตื่นขึ้น

 

แน่นอนว่าเมื่อตื่นขึ้นมา หว่างคิ้วก็ขดยนเป็นปม แลดูไม่สบอารมณ์อย่างแรง

 

สุดท้ายแล้ว ไม่ว่าใครหากถูกรบกวนตอนปิดด่านบบ่มเพาะก็หัวเสียกันทั้งสิ้น

 

“ใครมันมากวนข้ากัน…เท่าที่ข้าจําได้ ดูเหมือนจะยังถึงเวลาทดสอบนักศึกษา 10 ดาวของสถานศึกษาหมอกเร้นลับไม่ใช่หรือไร?

 

สถานศึกษาหมอกเร้นลับนั้น นอกจากจะจัดเตรียมอาจารย์ที่เชี่ยวชาญด้างต่างมาชี้แนะนักศึกษาแล้ว ก็จะทําการจัดการทดสอบขึ้นทุกๆช่วงระยะเวลาหนึ่ง เพื่อวัดระดับความสามารถของนักศึกษาทุกชั้นในสถานศึกษาหมอกเร้นลับ และการทดสอบดังกล่าวก็มักจะเป็นการแข่งขันฆ่าสัตว์อสูร ซึ่งที่ทางสําหรับการล่าก็จะเป็นพื้นที่ป่าหุบเขานอกเมืองวายุสวรรค์

 

เท่าที่ต้วนหลิงเทียนทราบมา เหมือนสถานศึกษาหมอกเร้นลับจะพึ่งทําการทดสอบไปไม่นาน และเหลือระยะเวลาพอสมควรถึงจะมีการทดสอบเกิดขึ้นอีกครั้ง

 

“แอ๊ด–

 

พอต้วนหลิงเทียนเปิดประตูบ้านออกมา เขาก็พบเห็นร่าง 2 ร่างเห็นอยู่กลางหาวบริเวณน่านฟ้าหน้าประตูบ้านลานของเขา และทั้งคู่ก็กําลังมองจ้องเขาอยู่

 

ผู้ที่เห็นร่างนําหน้าเป็นชายในชุดคลุมสีน้ําเงินโดยสวมเสื้อตัวในสีน้ําตาล ใบหน้าเกลี้ยงเกลาของมันบัดนี้ หว่างคิ้วกลับขมวดย่นยู่ อายุอานามแลแล้วราวๆ 30 กว่าปี เมื่อมันเห็นเขาเดินออกจากบ้านเข้ามาในลาม ก็เอ่ยถามทันที “เจ้าคือ ต้วนหลิงเทียนกระมัง?”

 

น้ําเสียงเอ่ยถามของชายหนุ่มคลุมน้ําเงินผู้นี้ ฟังดูไม่แยแสอีกทั้งยังแฝงความปรามาสอยู่บ้าง

 

“มีธุระอะไร?”

 

ต้วนหลิงเทียนเหลือบมองชายชุดคลุมน้ําเงินผ่านๆ เอ่ยถามออกไปต้วนน้ําเสียงเฉยเมยแฝงรําคาญ

 

ชายหนุ่มในชุดคลุมสีน้ําเงินก็เหลือบมองสารวจต้วนหลิงเทียนเล็กน้อย ค่อยเอ่ยต่อด้วยน้ําเสียงไร้แยแสเหมือนก่อน “ข้าคือศิษย์นิกายหมอกเร้นลับ ถูเฟิง อาจารย์ของข้า ผู้อาวุโส 2 แห่งนิกายหมอกเร้นลับคิดรับเจ้าเป็นศิษย์…เจ้ามีอายุถึงกําหนดเข้านิกายเมื่อไหร่ ก็จงใช้ลูกแก้ววิญญาณลูกนี้ติดต่อข้ามาเสีย จากนั้นข้าจะไปรับเจ้าและพาไปพบอาจารย์”

 

พอถูเฟิงกล่าวจบ มันก็โยนลูกแก้ววิญญาณให้ต้วนหลิงเทียนลูกหนึ่ง

 

อย่างไรก็ตามเมื่อลูกแก้ววิญญาณดังกล่าวลอยเข้ามาใกล้ต้วนหลิงเทียน ก็ถูกพลังไร้สภาพของต้วนหลังเทียนผลักกลับ “ไม่จําเป็น…ถึงแม้ว่าข้าจะไปยังนิกายหมอกเร้นลับ แต่ข้าต้วนหลิงเทียนก็ไม่คิดค่านับผู้ใดเป็นอาจารย์

 

“อย่างไรเสีย ฝากเจ้าไปขอบคุณอาวุโส 2 ผู้เป็นอาจารย์เจ้าด้วย ว่าข้าต้วนหลิงเทียนขอขอบคุณในความกรุณาครั้งนี้”