ตอนที่ 3651

War sovereign Soaring The Heavens

WSSTH ตอนที่ 3651 :

 

คะแนนทดสอบ 20,000 แต้มนั้น…

 

สาหรับการทดสอบนักศึกษา 10 ดาวของสถานศึกษาหมอกเร้นลับแล้ว มันเป็นดั่งขีดจํากัดอย่างหนึ่ง ในอดีตนักศึกษา 10 ดาวที่แข็งแกร่งที่สุดทั้ง 5 คนของสถานศึกษาหมอกเร้นลับ ก็เคยข้ามผ่านมันไปได้แล้ว แต่ก็เป็นเรื่องที่จะเกิดขึ้นนานๆครั้งเท่านั้น

 

และหากคิดจะข้ามผ่านขีดจํากัดดังกล่าว มันไม่ได้ขึ้นอยู่กับพลังฝีมืออย่างเดียวเท่านั้น ยังต้องพึ่งพาโชคอีกด้วย

 

หากโชคดีก็สามารถข้ามขีดจํากัด 20,000 แต้มได้ แต่ถ้าหากโชคร้ายไม่เจอสัตว์อสูรมากพอก็คงยากจะข้ามผ่าน

 

ในการทดสอบนักศึกษา 10 ดาวครั้งล่าสุดไม่มีผู้ใดข้ามขีดจํากัดคะแนนทดสอบดังกล่าวได้แม้แต่คนเดียว และคะแนนทดสอบสูงสุดก็แค่ 19,000 แต้มเท่านั้น ผู้ที่ได้ก็คว้าอันดับ 1 ในการทดสอบไปครอง

 

“เกิน 20,000 แต้ม…หากเป็นการทดสอบครั้งก่อน เกรงว่าเจ้าคงได้ที่หนึ่งแน่แล้ว”

 

หลังได้ยินความสําเร็จของโหวชิงหนิง ติงเหยียนก็ได้แต่กล่าวออกมาอย่างทอดถอนใจ

 

“ก็อย่างที่เจ้าพูด…หากเป็นครั้งก่อน”

 

ได้ยินคําพูดของติงเหยียน โหวชิ่งหนึ่งก็คลี่ยิ้มเงื่อนๆออกมาอย่างอดไม่ได้ จากนั้นก็หันไปมองต้วนหลิง เทียนด้วยสายตาซับซ้อนพลางกล่าว “หลังจากอาจารย์อู่เห็นคะแนนทดสอบในป้ายเก็บคะแนนของเจ้าก็ถึงกับ เสียอาการอย่างหาดูได้ยาก…เกรงว่าคะแนนทดสอบของเจ้าคงมากถึงขั้นอาจารย์อวเองก็คิดไม่ถึงเป็นแน่”

 

“และหากกระทั่งอาจารย์อวี่ยังคิดไม่ถึง…ข้าเชื่อว่ามันต้องมากกว่า 20,000 แต้มไปไกลเลยกระมัง?”

 

“ข้าล่ะอยากรู้จริงๆ…ว่าคะแนนที่ว่าจะมากขนาดไหน”

 

ขณะกล่าวนั้น แม้โหวซึ่งหนึ่งจะไม่พูดออกมาตรงๆ แต่ดูจากสายตาที่มองต้วนหลิงเทียนไม่วางตาราวกับจะบอกใบ้ให้ตอบ เห็นได้ชัดว่าอยากรู้ไม่น้อยว่าต้วนหลิงเทียนเก็บคะแนนได้ก็แต้มกันแน่

 

อย่างไรก็ตาม ต้วนหลิงเทียนยังท่าเป็นหูทวนลม

 

เห็นดังนั้น โหวชิงหนิงก็ทําอะไรไม่ได้

 

ด้านติงเหยียนพอได้ยินค่าพูดเลียบๆเคียงๆของโหวชิงหนิง มันก็อดหันไปมองจ้องต้วนหลิงเทียนไม่ได้ ในแววตาฉายชัดถึงความคาดหวังระคนอยากรู้นัก

 

ในปัจจุบันก็ไม่ได้มีแค่พวกมันสองคนเท่านั้นที่อยากรู้ คนอื่นๆเองก็มองมาทางต้วนหลิงเทียนด้วยความอยากรู้เช่นกัน

 

และไม่ใช่แค่นักศึกษา กระทั่งอาจารย์ทั้ง 3 รวมถึงจัชนก็อยากรู้ไม่ต่าง

 

ยังมีนักศึกษาบางคนหันไปทายคะแนนกับเพื่อน “เฮ่ พวกเจ้าว่าต้วนหลิงเทียนจะทําคะแนนทดสอบได้กี่แต้มกัน…ถึงขั้นท่าให้อาจารย์อว์เสียอาการขนาดนี้?”

 

“ข้าจําได้ว่าเมื่อ 10 กว่าปีก่อน ตอนหงจวินทําคะแนนทดสอบได้ 24,000 กว่าแต้ม อาจารย์อวี่ยังไม่ได้เสีย อาการเช่นนี้ใช่หรือไม่?”

 

“เจ้าจะบอกว่า…ต้วนหลิงเทียนอาจทําคะแนนได้เกิน 30,000 แต้มเช่นนั้นหรือ?”

 

“อาจเป็นได้..สุดท้ายพลังฝีมือของต้วนหลิงเทียนก็เป็นอะไรที่พวกเรายอมรับแล้วว่าแข็งแกร่งที่สุด แม้แต่หงจวินที่ใช้อุปกรณ์เทพแล้ว ยังทําได้แค่ต้านทานรับกระบวนท่าต้วนหลิงเทียนที่ไม่ได้ใช้ศาสตราใดๆได้อย่างเต็มกลืนเท่านั้น”

 

ในขณะที่เห็นร่างติดตามอวี่เชียนซาน นักศึกษาก็กล่าวคาดเดากันไปเรื่อบ ไม่ทันไรก็กลับมาถึงสถานศึกษาหมอกเร้นลับแล้ว

 

“พรุ่งนี้เช้า คะแนนการทดสอบก็จะถูกติดป้ายประกาศแล้ว…ถึงตอนนั้นพวกเราก็จะได้รู้กันเสียทีว่าที่แท้ต้วนหลิงเทียนได้คะแนนทดสอบกี่แต้มกันแน่!”

 

“ข้าล่ะตั้งหน้าตั้งตารอชมคะแนนพรุ่งนี้ยิ่ง”

 

“เฮ่อ มารดามันไฉนถึงน่าลุ้นนักนะ”

 

“ว่าแต่ ทําไมไม่มีใครไปถามต้วนหลิงเทียนดูเลยเล่า?”

 

“เจ้าก็ไปสิ…หากผู้อื่นบอกเจ้า ข้ายอมเป็นข้ารับใช้เจ้าวันนึงเลย มิเห็นหรือไรกระทั่งถึงเหยียนกับโหวชิ่งหนิงยังไม่รู้? เห็นได้ชัดว่าอาจารย์อวกับต้วนหลิงเทียนตั้งใจให้ผู้อื่นลุ้นเอา”

 

“เช่นนั้นกลับบ้านไปนอนรอเถอะ”

 

หลังจากที่มาถึงโถง 10 ดาวแล้ว นักศึกษาทั้งหลายก็แยกย้ายกันกลับที่พัก ต้วนหลิงเทียนเองก็คิดจะกลับไปยังที่พักของตัวเองเช่นกัน

 

“ต้วนหลิงเทียน”

 

อย่างไรก็ตามในขณะที่ต้วนหลิงเทียน โหวซึ่งหนึ่ง และติงเหยียนกําลังจะกลับที่พักนั้น อวี่เชียนซานก็กล่าวรั้งต้วนหลิงเทียนเอาไว้ “เจ้ามากับข้า…ท่านคณบดีต้องการพบเจ้า”

 

ได้ยินคําเรียกหาของอว์เชียนซาน ต้วนหลิงเทียนก็ชะงักเล็กน้อย จากนั้นก็เดินตามอว์เชียนซานไป

 

ด้านโหวชิงหนิงกับสิ่งเหยียน ก็ทําได้แค่แยกย้ายกันกลับที่พักของตัวเองไปก่อน

 

“เหอะๆ ข้าคิดจะตะล่อมถามต้วนหลิงเทียนอีกครั้งขณะกลับสักหน่อย ว่าที่แท้ได้คะแนนทดสอบเท่าไหร่กันแน่…ไม่คิดเลยว่าท่านคณบดีจะเรียกต้วนหลิงเทียนเข้าพบ”

 

พอเห็นต้วนหลิงเทียนแยกตัว ติดตามอวี่เชียนซานไป โหวชิงหนึ่งก็กล่าวพิมพ์ออกมาพร้อมรอยยิ้มแหยๆ

 

ถึงเหยียนเพียงเงียบไม่พูดอะไร

 

ต้วนหลิงเทียนติดตามอวเชียนซานผ่านเขตหอพักระดับสูงของนักศึกษา จนมาถึงพื้นที่ใจกลางอันมีหมอกหนาปกคลุม และพอผ่านม่านหมอกเข้ามา เขาก็พบเจอโลกอันสงบร่มรื่นเต็มไปด้วยแมกไม้บุปผานานาพรรณ ยังมีวิหกตัวเล็กๆโผบินเป็นฝูง ขับขานเสียงแจ้วเสนาะหู

 

สถานที่แห่งนี้แม้มองจากภายนอกดูแล้วไม่น่ามีอาณาบริเวณใหญ่โตอะไร ไม่คิดมันกลับเป็นสถานที่ประหนึ่งถ้ําสวรรค์ ที่มีโลกอันสงบรมรื่นดํารงอยู่ และมองไปก็พบอาคารปลูกสร้างเรียงรายเป็นสัดส่วนสบายตา เมื่อมองผ่านม่านหมอกออกไป ก็เห็นหอพักนักศึกษาตั้งรายล้อมประหนึ่งดาวล้อมเดือน

 

“ทางนี้”

 

ภายใต้การนําของอว์เชียนซาน ไม่นานต้วนหลิงเทียนก็มาถึง เจดีย์หลังหนึ่ง

 

เจดีย์หลังนี้ตั้งอยู่ในจวนหลังใหญ่หลังหนึ่ง กล่าวให้ถูกคือมันตั้งอยู่ในสวนหลังจวน พื้นที่บริเวณนี้ร่มรื่นนักมีไม่ใหญ่ปลูกเรียงรายเป็นแนว กระทั่งล่าต้นยังสูงตระหง่านปานจะทิ่มแทงทะลุฟ้า ต้วนหลิงเทียนที่มองชมด้วยความสนใจ ก็ไม่อาจบอกได้ว่าเป็นต้นไม้อะไร

 

และเจดีย์หลังจวนดังกล่าว ความสูงของมันก็ไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าต้นไม้เลย กระทั่งหลังเห็นร่างติดตามอวี่เชียนซานขึ้นมายยังยอดเจดีย์ที่มีลักษณะเป็นศาลา 8 เหลี่ยมเปิดโล่ง ต้วนหลิงเทียนจึงพบว่าความสูงของเจดีย์หลังนี้ที่แท้สูงกว่าต้นไม้ทั้งหลายเสียอีก ทั้งศาลาพุ่งทะลุเมฆขึ้นมาเรียบร้อย ทําให้บรรยากาศในศาลาเต็มไปด้วยม่านเมฆ เย็นสบายนัก

 

“ท่านคณบดี ข้าพาต้วนหลิงเทียนมาแล้ว”

 

เมื่ออว์เชียนซานพาต้วนหลิงเทียนมาหยุดลงกลางหาวเหนือศาลาบนยอดเจดีย์ มันก็กล่าวค่ากับศาลาเบื้องหน้าด้วยน้ําเสียงสุภาพ

 

ต้วนหลิงเทียนที่มองเข้าไปในศาลา ก็อดไม่ได้ที่จะสงสัย เพราะเขาเห็นก็แต่ศาลาโล่งๆไร้ผู้คน

 

อย่างไรก็ตามในขณะที่เขาคิดว่าไหนล่ะผู้คน ความว่างเปล่าในศาลาก็เริ่มกระเพื่อม จากนั้นก็ปรากฏร่างหนึ่งก้าวเดินออกมา

 

เป็นชายวัยกลางคนอันมีลักษณะท่วงท่าสง่างาม มาในชุดคลุมสีขาวราวหิมะ ใบหน้าแลดูหล่อเหลาเอาการ เส้นดําขลับยาวสลวยทอดไปด้านหลังปานม่านน้ําตก คนยืนตระหง่านสองมือไพร่หลังปานนักปราชญ์ทรงภูมิ

 

“เจ้าลงไปก่อน”

 

ชายวัยกลางคนที่แลดูภูมิฐานสง่างามคนนี้ ไม่ใช่ใครที่ไหน เป็นมู่หรงสุยเฟิง คณบดีสถานศึกษาหมอกเร้นลับ และยังดํารงตําแหน่งรองประมุขนิกายหมอกเร้นลับ! สิ้นคํากล่าวของมัน อวี่เชียนซานก็ป้องมือประสานไป เบื้องหน้าพลางโค้งเบาๆคราหนึ่ง ก่อนจะดึงร่างจากไป…

 

เรียกว่าในศาลากับนอกศาลามองแล้วก็หลงเหลือต้วนหลิงเทียนกับมู่หรงสุยเฟิงแค่ 2 คนเท่านั้น

 

“เจ้าเข้ามานั่งก่อน”

 

มู่หรงสุยเฟิงมองตวนหลิงเทียนที่ลอยร่างกลางหาวอยู่ไม่ไกลพลางกล่าวด้วยรอยยิ้ม และหลังจากต้วนหลิง เทียนเข้ามาในศาลาแล้ว เพียงโบกมือเบาๆคราหนึ่ง ก็ปรากฏเหยือกสุราพร้อมด้วยจอกเปล่า 2 จอกผุดจากความว่างตั้งอยยู่บนโต๊ะ

 

“คณบดี”

 

หลังต้วนหลิงเทียนป้องมือกล่าวคําทักทายมู่หรุงสุยเพิ่งจบ เขาก็นั่งลงบนโต๊ะในศาลาอย่างไม่เกรงใจ

 

พอเห็นท่าทางสบายๆของต้วนหลิงเทียน มู่หรงสุยเฟิงก็คลี่ยิ้มพึงใจออกมายังแลดูสดใสกว่าก่อนหน้านัก “ต้วนหลิงเทียน เจ้านับว่าถูกจริตข้าจริงๆ..กับคนอื่นอย่าว่าแต่นักศึกษาเลย กระทั่งอาจารย์ของสถานศึกษา ทั้งๆที่ข้าบอกให้นั่งลงแล้วแท้ๆ แต่พวกมันก็เอาแต่พิพิไรเกรงใจกล่าววาจาเวิ่นเว้อไม่เข้าเรื่อง…”

 

“เจ้าที่สบายๆไม่ใส่ใจเรื่องหยุมหยิมน่ารําคาญ นับว่าดียิ่ง”

 

มู่หรงสุยเฟิงกล่าวออกจากใจ หาได้เสแสร้งแกล้งประชดแต่อย่างใด

 

“บ้านเกิดข้ามีคํากล่าวที่ว่า “เคารพมิสู้เชื่อฟังเจ้าบ้านเช่นท่านว่าอย่างไร แขกเช่นข้าก็เอาตามนั้น”

 

ต้วนหลิงเทียนกล่าวด้วยรอยยิ้ม

 

โดยปกติแล้วสถานะของเขาในสถานศึกษาหมอกเร้นลับแห่งนี้ก็เป็นแค่นักศึกษาเท่านั้น ไหนเลยจะมีโอกาส ได้นั่งลงอย่างเท่าเทียมกับชนชั้นคณบดี…อย่างไรก็ตามในเมื่ออีกฝ่ายบอกให้เขานั่งลง เขายังจะอิดออดทําอะ ไร? ไม่ต้องกล่าวถึงเรื่องที่เขาไม่ได้คิดว่ามู่หรงสุเพิ่งที่เป็นเพียงรองประมุขนิกายหมอกเร้นลับจะสูงส่งกว่าเขา!

 

เป้าหมายของเขาก็คือไปช่วยเค่อเอ๋อในดินแดนการล่มสลายแห่งทวยเทพ

 

ถึงแม้คณบดีสถานศึกษาทั้งยังเป็นรองประมุขนิกายหมอกเร้นลับอย่างมู่หรงสุยเฟิงอาจจะเป็นตัวตนขอบเขตจอมราชั้นเทพ แต่เขาเชื่อว่าวันหน้าต้องก้าวข้ามอีกฝ่ายได้แน่นอน

 

แต่เป็นธรรมดาว่าเพื่อไม่เป็นการข้ามหน้าข้ามตาอีกฝ่าย เขาจึงไม่เคลื่อนไหวทําอะไร ไม่ได้เข้ามานั่งลงตามอ่าเภอใจ เพียงรอให้อีกฝ่ายกล่าวเชิญก่อนเท่านั้น…สุดท้ายแล้วระดับพลังของเขาในปัจจุบันก็ต่ํากว่าอีกฝ่ายมาก หากถือดีไม่เห็นหัวผู้อื่นจนทําให้ผู้อื่นมีโทสะขึ้นมาก็ย่าแย่แล้ว

 

“กล่าวได้ดี!”

 

รอยยิ้มบนใบหน้ามู่หรงสุยเฟิงยิ่งมายิ่งฉีกกว้าง มันเอื้อมมือไปจับเหยือกสุราก่อนจะรินสุราลงจอกของต้วนหลิงเทียนก่อน จากนั้นค่อยรินให้ตัวเอง “มาเถอะ ลองสุรา เฉวียนเนียง” ที่ข้าบ่มเองดู”

 

เฉวียนเนียง ชื่อสุราที่มู่หรงสัยเพิ่งทําเองนั้น มาจากชื่อของศิษย์ของมันที่ตกตายไปตั้งแต่ยังเยาว์

 

แน่นอนว่าต้วนหลิงเทียนไม่รู้เรื่องนี้

 

“เฉวียนเนียง?”

 

ถึงแม้วนหลิงเทียนจะรู้สึกวว่าชื่อสุรามันแปลกพิกล แต่จังหวะนี้เพียงกลิ่นสุราที่โชยขึ้นมาจากจอก เขาก็สัมผัสได้ว่าพลังเทพในร่างเขาเริ่มพุ่งพล่านขึ้นมาเล็กน้อย

 

แม้พลังในร่างจะพุ่งพล่านขึ้นมาเพียงเล็กน้อย แต่เขาก็สัมผัสได้ชัดเจน

 

สุรานี้ไม่ธรรมดา

 

ในใจต้วนหลิงเทียนบังเกิดความคิดดังกล่าวขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว

 

“ลองดู

 

มู่หรงสุยเฟิงยิ้มกล่าว “สําหรับขอบเขตเทพแล้ว การดื่มสุราที่ข้าทําเองครั้งแรก นับว่ามีประโยชน์กับพลังฝึกปรือไม่น้อย…บางทีเจ้าหลังเจ้าดื่มเฉวียนเนียงวันนี้ พอใช้ว่านเทพลายมังกรที่ข้าจะมอบให้วันพรุ่ง ไม่แน่เจ้าอาจทะลวงถึงขอบเขตเทพขั้นสูงได้ในเวลาอันสั้น”

 

คําพูดดังกล่าวของมู่หรงสุยเฟิง ทําให้ต้วนหลิงเทียนไม่อาจทนรอได้ไหวสืบไป ยกจอกสุราขึ้นมากระดกรวดเดียวหมดจอกทันที!

 

เรียกว่าไม่ทันได้ละเลียดลิ้มรสด้วยซ้ํา ก็กลืนลงคอไปแล้ว

 

ครูต่อมาต้วนหลิงเทียนก็รู้สึกว่าล่าคอของเขาร้อนผ่าว และไม่นานนักความร้อนก็เริ่มแผ่ซ่านไปทั่วร่าง และยิ่งมาก็ยิ่งร้อนขึ้นเรื่อยๆ ราวมีพลังลี้ลับบางอย่างกําลังแผลงฤทธิ์ไปทั่วร่าง

 

จนกระทั่งเขาฉุกคิดได้ และเริ่มโคจรพลังตามเคล็ด 9 มังกรจักรพรรดิสงคราม พลังลี้ลับดังกล่าวก็ถูกชักนำให้โคจรหมุนเวียนตามเคล็ดวิชา หลังถูกกลั่นเกลาจนกลายเป็นพลังเทพและรวมเข้ากับพลังเทพดั้งเดิมในร่าง เขาก็สัมผัสได้ทันทีว่าระดับพลังบ่มเพาะในร่างมันกระเตื้องขึ้นอย่างมาก…ความเปลี่ยนแปลงในฉับพลันดังกล่าว ทําให้สองตาของเขาลุกวาวทันที!

 

จากนั้นพอกลับมารู้สึกตัวอีกครั้ง เขาก็มองจ้องเหยือกสุราบนโต๊ะตาเป็นมัน

 

ตอนนี้เองมู่หรงสุยเฟิงก็คลี่ยิ้ม ก่อนจะยกจอกสุราของตัวขึ้นมาละเลียดจบบางๆอีกหนึ่ง ก่อนจะวางจอกลง และเลือกจะรินสุราให้เขาอีกจอกท่ามกลางสายตาอันเร่าร้อน “เฉวียนเนียงของข้า ไหนเลยมีไว้ให้เจ้ากระดกรวด เดียวหมดจอกอย่างเสียเปล่าเช่นนั้นเล่า…ค่อยๆจิบเถอะ จักได้สัมผัสถึงรสชาติที่แท้จริงของมัน”

 

“อีกทั้งหลังเจ้าดื่มไป 3 จอกแล้ว มันก็จักไม่ส่งผลต่อพลังฝึกปรือในร่างเจ้ามากมายอะไร ยังกล่าวได้ว่าน้อยนิดยิ่ง…เช่นนั้นเจ้าก็ไม่ต้องรีบร้อน ค่อยๆลิ้มรสมันเถอะ”

 

การกระดกรวดเดียวหมดจอกของต้วนหลิงเทียนเมื่อครู่ สําหรับมู่หรงสุยเฟิงแล้วนับว่าปวดใจไม่น้อย เพราะนี่ไม่ต่างอะไรกับเสียสุราดไปเปล่าๆปลื้ๆ หากเป็นนักศึกษา 10 ดาวคนอื่นทําเสียของเช่นนี้มันไม่มีทางให้ดื่มอีกแน่นอน

 

พอได้ยินดังนั้น ต้วนหลิงเทียนก็คลี่ยิ้มโง่งม ก่อนที่จะยกสุราจอกที่ 2 ขึ้นมาจิบบางๆ

เพียงหนึ่งจิบ สองตาเขาก็เป็นประกายวับวาวปานจะยิ่งพุ่งล่าแสงความร้อนออกมา

 

“สุราดี!”

 

ถึงแม้วนหลิงเทียนจะไม่ใช่ผีสุราที่นิยมการดื่มเป็นอาจิน แต่เขาก็รู้เรื่องสุราไม่น้อย ได้ดื่มสุราเลิศล้ํามาก ไม่ว่าจะชาติที่แล้วบนโลกหรือหลังได้มีชีวิตอีกครั้ง

 

สุรา เฉวียนเนียง เบื้องหน้า หากไม่นับสรรพคุณเอาแค่รสชาติอย่างเดียว ก็ไม่ได้ด้อยไปกว่าสุราที่ดีที่สุดที่เขาเคยดื่มมาตลอดชั่วชีวิตเลย

 

ที่สําคัญก็คือ เฉวียนเนียง มีรสชาติอันพิเศษบางประการที่เป็นเอกลักษณ์นัก ต่างจากสุราที่เคยดื่มมาก่อนลิบลับ วิ่งไม่มีความพิเศษดังกล่าว

 

เพราะเหตุนี้เอง เฉวียนเนียง จึงทําให้เขาประทับใจเป็นอย่างมาก

 

“ท่านคณบดี ให้กล่าวว่านี่เป็นสุราที่ดีที่สุดที่ข้าเคยดื่มก็ไม่เกินเลย…ท่านบ่มเองจริงหรือ?”

 

ต้วนหลิงเทียนหันไปมองถามมู่หรงสุยเฟิงตาเป็นประกาย และในประกายตาดังกล่าวยังแฝงความปรารถนาประการหนึ่ง

 

ราวกับแลเห็นถึงความปรารถนาของต้วนหลิงเทียน มู่หรงสุยเฟิงจึงส่ายหัวไปมาด้วยรอยยิ้ม “ถึงแม้การบ่มสุราเฉวียนเนียงจะไม่ได้ซับซ้อนอะไร แต่ส่วนผสมบางอย่างก็หาได้ยากยิ่ง…ตลอดช่วงร้อยปีที่ผ่าน ข้าเพียงบ่มได้แค่ 3 เหยือกเท่านั้น ดื่มเองเหยือกหนึ่ง มอบให้ท่านประมุขเหยือกหนึ่ง เหลือเพียงเหยือกนี้เป็นเหยือกสุดท้ายแล้ว…”