ตอนที่ 1974 ดุจเงาตามตัว
ระหว่างความเป็นความตาย มีความน่าสะพรึงอย่างที่สุด!

เวลาไม่ถึงหนึ่งวัน หลินสวินกลับรู้สึกว่าจำนวนครั้งของวิกฤตและอันตรายที่พบเจอตลอดทาง มากกว่าช่วงเวลาใดๆ ก็ตามของโลกภายนอกไปไกล

ก็เหมือนตอนที่พบต้นไม้เล็กเขียวสดชุ่มฉ่ำต้นนั้น เป็นครั้งแรกที่หลินสวินรู้สึกว่า ความสะพรึงกลัวและความตายที่แท้อยู่ใกล้แค่นี้เอง!

‘ต้นไม้นี้เจริญเติบโตใต้ปล่องภูเขาไฟกลับหัว เขียวสดทั้งต้น กิ่งมีผลวิญญาณสามผล ล้วนมีลักษณะคล้ายทารก นั่งขัดสมาธิเก็บรับหลอมแปลงแก่นหินหนืดมหามรรค วิเศษอัศจรรย์สุดหยั่ง’

‘นับแต่อดีตจนบัดนี้ มีเหล่าจักรพรรดิทยอยมาเยือน ล้วนสิ้นชีพก่อนจะถึงต้นไม้นี้ โครงกระดูกกองเต็มพื้น หมื่นยุคไม่เสื่อมสลาย คาดเดาจากจุดนี้ ต้นไม้นี่ต้องซุกซ่อนความน่าสะพรึงพิสดารยิ่งใหญ่เอาไว้แน่…’

‘เพราะไม่รู้ต้นกำเนิดของมัน ไม่อาจระบุความเร้นลับของมัน ดังนั้น… จึงไม่อาจตั้งชื่อได้’

หลังออกจากพื้นที่แถบนี้ หลินสวินก็บันทึกลักษณะเด่นของต้นไม้เล็กเขียวสดแปลกประหลาดต้นนั้นลงในม้วนหยกทีละข้อ

และในสภาวะจิตของหลินสวินก็ปรากฏความรู้สึกอัศจรรย์ขึ้นมาอีกครั้ง ประหนึ่งยกระดับขึ้นอย่างไรอย่างนั้น เปลี่ยนเป็นโปร่งใสและปลอดโปร่งกว่าที่ผ่านๆ มา

ในความเป็นจริง ตลอดทางนี้แม้เขาจะพบเจอวิกฤตและอันตรายมากมาย ทว่าตลอดทางก็นิยามและจัดหมวดหมู่สรรพสิ่งที่ไม่เคยรู้จักมาก่อนได้เยอะมากเช่นกัน

อย่างเช่นดอกรั้งดารา หญ้าแสงมรกตดาบกระบี่ หรืออย่างมดกินวิญญาณ ดินอัศจรรย์หมอกเมฆ…

ทุกครั้งที่บันทึกสิ่งที่ไม่รู้จักมาก่อน สภาวะจิตของเขาก็บังเกิดพลังอัศจรรย์อย่างหนึ่ง เหมือนพลังปริศนาอย่างหนึ่งที่สั่งสมมา ทำให้สภาวะจิตยกระดับขึ้นโดยไม่รู้ตัว

จนกระทั่งเวลานี้ จู่ๆ หลินสวินก็เกิดการรู้แจ้งอย่างหนึ่งเพิ่มขึ้นมา

การจำกัดความให้สรรพสิ่งที่ไม่รู้จักมาก่อน จัดหมวดหมู่รูปลักษณ์ บรรยายคุณลักษณะของมัน ขั้นตอนนี้ก็เหมือนการเคี่ยวกรำสภาวะจิตอย่างเงียบๆ อย่างหนึ่ง!

ไม่รู้จัก หมายความว่าโลกภายนอกไม่เคยปรากฏมาก่อน ไม่แม้แต่จะเคยได้ยิน ฉะนั้นการตั้งชื่อให้มัน ก็เท่ากับการแยกแยะและเรียนรู้ลักษณะของสรรพสิ่งใหม่ทั้งหมดครั้งแล้วครั้งเล่า

นี่ก็เป็นการฝึกปราณที่อัศจรรย์อย่างหนึ่งเช่นกัน

หลินสวินมีสังหรณ์แรงกล้าอย่างหนึ่ง มีเพียงแดนปริศนาแห่งนี้เท่านั้นถึงจะสามารถเคี่ยวกรำสภาวะจิตอันเป็นเอกลักษณ์เช่นนี้ได้

หนำซ้ำพลัง ‘นิยาม’ เช่นนี้ น่าจะไม่ได้สามัญเพียงเท่านี้!

‘บำเพ็ญมหามรรค สภาวะจิตเร้นลับอัศจรรย์ที่สุด มีพรสวรรค์เย้ยฟ้า แต่หากสภาวะจิตลอยล่องวูบไหวก็ย่อมยากจะบรรลุผลบนมรรคา’

‘หากสภาวะจิตมั่นคง แม้จะเป็นพวกโง่งมโดยกำเนิด ก็ย่อมมียามที่สั่งสมจนความรู้พรั่งพร้อมได้เหมือนกัน’

‘คีรีดวงกมลของข้าใช้ ‘ดวงกมล’ เป็นชื่อ สถานที่แห่งดวงกมลก็คือสถานที่แห่งใจ จากจุดนี้จะเห็นว่า ผู้สืบทอดคีรีดวงกมลให้ความสำคัญกับการเคี่ยวกรำสภาวะจิตมากที่สุด’

‘ศิษย์พี่เก้าเก่ออวี้ผู เดิมเป็นคนหาฟืนกลางเขา ตัดฟืนดำรงชีวิต นิสัยทึ่มทื่อเป็นที่สุด แต่กลับรังสรรค์คัมภีร์มหามรรคหวงถิงเล่มหนึ่งขึ้นมา ในศึกมรรคของเหล่าจักรพรรดิก็กำราบจักรพรรดิอสูรมารตู๋เทียน ผู้นำเจ็ดจักรพรรดิอสูรมารดึกดำบรรพ์ได้ พลังต่อสู้ไร้ขอบเขต’

‘ศิษย์พี่สิบเอ็ดผู่เจิน เดิมเป็นชาวนาในท้องนา นิสัยซื่อๆ เรียบง่าย แต่กลับรังสรรค์คัมภีร์ร้อยสมุนไพรทั่วหล้าออกมา เพียงแค่สามหมัดก็สามารถสังหารภิกษุเฒ่าตู้คงจากแดนกษิติครรภ์…’

‘และยังมีศิษย์พี่เสวียนคงที่เคยถูกเรียกว่า ‘ใต้หล้าบนล่าง ไร้ศัตรูในระดับอริยะ’ สมัยเด็กก็เป็นเด็กเลี้ยงแกะที่ยากไร้คนหนึ่ง…’

‘เช่นนี้จะเห็นได้ว่า ตอนที่ท่านอาจารย์รับศิษย์ สิ่งที่ให้ความสำคัญมากที่สุดน่าจะเป็นสภาวะจิต!’

…หลินสวินครุ่นคิดไปพลางมุ่งหน้าไปพลางเช่นนี้ ตลอดทางพบเจอวิกฤตและอันตรายมากมายอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

แต่สภาวะจิตของเขากลับเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างเงียบๆ

ทุกครั้งที่เสี่ยงอันตราย ล้วนไม่เคยพบเคยเจอมาก่อน มีพวกต้นไม้ใบหญ้าที่แปลกประหลาดพิสดาร มีสัตว์ร้ายนกปีศาจที่ดุร้ายน่ากลัว

สู้ไม่ไหว หลินสวินก็ถอยหลบห่างๆ

ถ้าสู้ไหว ก็จัดระบุหมวดหมู่ลักษณะของมัน ตั้งชื่อตามคุณลักษณะของมัน ทำการจำกัดความ

ประสบการณ์เช่นนี้ ทำให้สภาวะจิตของเขาตั้งอยู่กลางแดนวิเศษอัศจรรย์อันว่างเว้นหนักแน่น ไร้สุขไร้ทุกข์อย่างหนึ่ง

คลื่นอารมร์ที่แปรปรวนล้วนปรากฏกลางใจอย่างละเอียดแจ่มชัด แต่ไม่สามารถส่งผลกระทบต่อการเปลี่ยนแปลงของสภาวะจิตได้

แม้แต่ตอนที่พบเจอวิกฤตถึงแก่ชีวิต หลินสวินสามารถรับรู้ถึงความหวาดกลัว ตึงเครียด กดดัน… แต่สภาวะจิตกลับเยือกเย็นดุจหิมะน้ำแข็ง!

โดยไม่รู้เนื้อรู้ตัว หลินสวินท่องในเขตต้องห้ามเซียนโบราณเป็นเวลาสามวันแล้ว

เขาเหมือนคนเดินทางที่ผ่านลมฝน ไร้สะพรึงไร้กลัวเกรงคนหนึ่ง ระบุแยกแยะ มองทะลวงสรรพสิ่ง สภาวะจิตได้รับการเคี่ยวกรำและตั้งมั่นอย่างไร้รูป

ความหวาดกลัวหรือยินดี ภัยอันตายหรือวาสนา ล้วนเป็นการบำเพ็ญอย่างหนึ่ง!

วันนี้ยามหลินสวินเดินเข้าเทือกเขาแถบหนึ่งได้ไม่นาน จู่ๆ ก็ชะงักเท้า ในจิตรับรู้ตรวจจับได้ถึงคลื่นกลิ่นอายระลอกหนึ่ง

มีคนอยู่!

ชั่วพริบตาหลินสวินก็ตัดสินได้ นี่เป็น ‘สหายร่วมทาง’ กลุ่มแรกที่เขาพบตั้งแต่เข้าสู่เขตต้องห้ามเซียนโบราณ

ถัดมา หลินสวินที่โคจรไอซวนหนีปิดคลุมรอบกายก็พุ่งโฉบไปข้างหน้าอย่างเงียบงัน

เชิงเขาสูงชันแห่งหนึ่ง สายธารไหลรินๆ

ชายหญิงห้าคนรวมตัวกันอยู่ที่นี่ บ้างนั่งสมาธิปรับลมปราณ บ้างกำลังพูดคุยกันเสียงเบา และบางส่วนกำลังเฝ้ายาม คอยสอดส่องการเคลื่อนไหวรอบบริเวณ

ผู้นำคือชายชุดเข้มคนหนึ่ง ไหล่กว้างเอวสอบ องอาจน่าสะพรึง หัวไหล่มีกระบี่บินสีขาวหิมะเล่มหนึ่งลอยไหวๆ อยู่ วาบประกายหนาวสะท้านบาดตา

ไกลออกไปหลินสวินหยุดเท้า มองปราดเดียวก็จำได้ ห้าคนนี้เป็นผู้สืบทอดแกนหลักเรือนมรรคดึกดำบรรพ์!

ชายชุดเข้มที่เป็นผู้นำนามว่า ‘เหลยเฟิงเชวีย’ อยู่อันดับสิบสี่บนกระดานราชันอริยะปวงสวรรค์ ฝีมือในแดนลับโลกาสวรรค์ก็ค่อนข้างสะดุดตา

ในความเป็นจริง ผู้ที่มีคุณสมบัติเข้าสู่เขตต้องห้ามเซียนโบราณ ย่อมเป็นพวกร้ายกาจในหมู่คนร้ายกาจ มีพลังต่อสู้อยู่ปลายยอดในระดับเดียวกัน

เหตุที่หลินสวินหยุดเท้า เป็นเพราะกระบี่บินสีขาวหิมะที่ลอยไหวๆ บนไหล่ของเหลยเฟิงเชวียแผ่ระลอกคลื่นเป็นวงๆ ออกมา ปิดครอบพื้นที่ใกล้เคียงเอาไว้

หากพรวดพราดเข้าไป ต้องถูกตรวจพบทันทีอย่างแน่นอน

“ศิษย์พี่เหลย เป้าหมายของพวกเราในครั้งนี้ก็เพื่อช่วงชิงมหาสมบัติแรกกำเนิดชิ้นนั้น แต่ศิษย์พี่ข่งเจากลับออกคำสั่ง หากพบเห็นผู้แข็งแกร่งแคว้นเมฆาระหว่างทาง ไม่ว่าอย่างไรให้พวกเราจับเป็นพวกเรา”

จู่ๆ หญิงชุดหลากสีคนหนึ่งก็กล่าวขึ้น “หรือว่าสำหรับศิษย์พี่ข่งเจาแล้ว การไปแก้แค้นจินตู๋อีนั่นยังสำคัญกว่าไปช่วงชิงมหาสมบัติแรกกำเนิดอีกหรือ”

เหลยเฟิงเชวียยิ้มบางๆ กล่าวว่า “ศิษย์น้อง เจ้าไม่รู้อะไร ไม่เพียงเรือนมรรคดึกดำบรรพ์ของพวกเรา ผู้สืบทอดสองเรือนมรรคใหญ่อย่างจักรวาลและยุทธจักรที่เข้าสู่เขตต้องห้ามเซียนโบราณในครั้งนี้ ก็ร่วมมือกันจะจัดการจินตู๋อีนั่นเต็มกำลัง”

หญิงชุดหลากสีอดกล่าวไม่ได้ “กำลังคนอึกทึกขนาดนี้ ทำเพื่ออะไรกัน จินตู๋อีเป็นถึงผู้สืบทอดเรือนมรรคคืนกำเนิด พลังของสำนักพวกเขาน่ากลัวเป็นที่สุด หรือท่านลืมไปแล้ว ตอนนั้นแม้แต่จักรพรรดิหญิงวิญญาณเพลิงยังถูกโจมตีจนไม่รู้จะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน”

เหลยเฟิงเชวียกล่าวเสียงขรึม “ตอนนั้นก็ส่วนตอนนั้น ตอนนี้ก็ส่วนตอนนี้ สถานการณ์ไม่เหมือนกัน ถึงข้าจะไม่เข้าใจ แต่ข้าก็รู้ดี เรื่องการจัดการจินตู๋อีนั่น เรือนมรรคดึกดำบรรพ์ของพวกเราเห็นดีเห็นงามกับสองเรือนมรรคใหญ่อย่างจักรวาลและยุทธจักรนานแล้ว”

หญิงชุดหลากสีตั้งท่าจะพูดอะไรอีก เหลยเฟิงเชวียกลับเอ่ยห้าม “ศิษย์น้อง นี่คือเจตจำนงของสำนัก ส่วนพวกเขากำลังวางแผนอะไรกันอยู่ ใครจะไปรู้กันเล่า พวกเราแค่ต้องทำตามคำสั่งก็พอ”

ไกลออกไปนัยน์ตาดำของหลินสวินวาววับ

ผู้สืบทอดสามเรือนมรรคใหญ่อย่างดึกดำบรรพ์ จักรวาล ยุทธจักร จะร่วมมือกันจัดการตนหรือ

นี่ช่างผิดวิสัยเกินไปแล้ว!

หรือว่าตอนนั้นที่ศิษย์พี่รั่วซู่ปรากฏตัวในฐานะคนของเรือนมรรคคืนกำเนิดจะยังไม่สามารถข่มขวัญพวกเขา ไม่อาจทำให้พวกเขาเก็บมือไม้ได้

ไม่สิ!

หลินสวินตระหนักถึงปัญหาร้ายแรงอย่างหนึ่ง จากที่พวกเหลยเฟิงเชวียพูดกัน คือปฏิบัติตามคำสั่งของสำนัก ไม่ใช่การแก้แค้นส่วนตัวของข่งเจาคนเดียว

จากจุดนี้จะเห็นว่า การเคลื่อนไหวที่หมายจัดการตนของสองเรือนมรรคใหญ่อย่างจักรวาลและยุทธจักร เกรงว่าก็คงได้รับคำสั่งจากสำนักเหมือนกัน!

สามเรือนมรรคใหญ่เลยนะ เหตุใดต้องจัดการตนคนเดียว

ในใจหลินสวินปรากฏพยับเมฆขึ้นมา เขาได้กลิ่นผิดปกติอย่างหนึ่ง

ถึงจะยังไม่สามารถคาดเดาสาเหตุที่แท้จริงได้ แต่เขาก็กล้ามั่นใจ ว่านี่ไม่ใช่การแก้แค้นล้างอายง่ายๆ แค่นั้นแน่!

‘หรือว่าฐานะคนของเรือนมรรคคืนกำเนิดที่ตนกับศิษย์พี่รั่วซู่ใช้กันอยู่ ก็ถูกเปิดโปงหมดแล้ว’

‘หากเป็นเช่นนี้ เหตุใดพวกเขายังมองข้าเข้ามาในเขตต้องห้ามเซียนโบราณตาปริบๆ อีก’

หลินสวินยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกว่าการเข้าเขตต้องห้ามเซียนโบราณในครั้งนี้ ดูเหมือนจะไม่ใช่แค่ช่วงชิงมหาสมบัติแรกกำเนิดชิ้นหนึ่งเท่านั้นแล้ว

กริ๊ง!

ไกลออกไป กระบี่บินสีขาวหิมะที่ลอยผลุบโผล่ข้างไหล่เหลยเฟิงเชวีย จู่ๆ ก็ส่งเสียงใสออกมา

“ในที่สุดก็ติดต่อศิษย์พี่ข่งเจาได้เสียที ไป! พวกเราควรเคลื่อนไหวได้แล้ว”

เหลยเฟิงเชวียท่าทางฮึกเหิม

จากนั้นพวกเขาทั้งขบวนหยัดตัวขึ้น รีบทะยานออกไป

ไม่ว่าเหลยเฟิงเชวียหรือคนอื่นๆ ล้วนไม่ได้รู้สึกตัวสักนิด ว่าด้านหลังพวกเขามีเงาร่างสายหนึ่งติดตามอยู่อย่างลับๆ

เดิมทีหลินสวินตั้งใจจะไปค้นหาที่ตั้งเขาปู้โจวต่อเพียงลำพัง แต่ตอนนี้กลับต้องเปลี่ยนแผนซะแล้ว

ยังไม่ต้องพูดเรื่องอื่น หากที่เหลยเฟิงเชวียนั่นพูดเป็นความจริง เช่นนั้นพวกจินเทียนเสวียนเยวี่ย ลู่ตู๋ปู้ เซี่ยอวี่ฮวา ก็อาจถูกผู้สืบทอดแกนหลักสามเรือนมรรคใหญ่อย่างจักรวาล ดึกดำบรรพ์ ยุทธจักรมองเป็นเหยื่อกันหมด!

สาเหตุไม่จำเป็นต้องเดา ล้วนเพื่อใช้พวกจินเทียนเสวียนเยวี่ยเป็นตัวประกันมาข่มขู่ตนก็เท่านั้น!

และนับตั้งแต่นี้เป็นต้นไป ในใจหลินสวินก็ผุดไอสังหารอันเดือดพล่านขึ้นมา

มหาสมบัติแรกกำเนิด แน่นอนว่าต้องแย่งชิง

แต่ขณะเดียวกัน ศัตรูที่ควรฆ่าก็ต้องจัดการเช่นกัน!

และเวลานี้ จู่ๆ หลินสวินก็คิดขึ้นได้ ก่อนศิษย์พี่รั่วซู่จะออกไปเคยพูดว่า แม้จะถูกจับได้ในเขตต้องห้ามเซียนโบราณ ก็ไม่สำคัญอีกแล้ว

ตอนนั้น หลินสวินยังคิดว่านี่เป็นคำพูดให้กำลังตนเท่านั้น

แต่ตอนนี้เมื่อลองย้อนคิดดูดีๆ กลับทำให้เขาตระหนักได้ว่าหากสถานะของตนเปิดเผยแล้ว ใครยังไม่รู้อีกว่าศิษย์พี่รั่วซู่ก็มาจากคีรีดวงกมลด้วยเหมือนกัน

แต่ศิษย์พี่รั่วซู่ดูเหมือนจะไม่กังวลเรื่องพวกนี้…

หรือว่าศิษย์พี่นาง…ความจริงแล้วมองทะลุอะไรบางอย่างตั้งแต่ต้นแล้วอย่างนั้นหรือ

หากเป็นเช่นนี้ ด้วยฝีมือและพลังที่ศิษย์พี่รั่วซู่มีอยู่ น่าจะป้องปรามและเตรียมการเพื่อการนี้แล้วกระมัง

ระหว่างทาง หลินสวินก็ตระหนักได้ว่า ตอนที่พวกเหลยเฟิงเชวียทั้งขบวนบินหนี ไม่ได้ตะลุยฝ่าบุกตรงๆ หากแต่ตระหนักได้จึงหลบเลี่ยงพื้นที่มากมาย บางครั้งยังถึงขั้นยอมอ้อมเสียไกล มุ่งหน้าไปอย่างเลี้ยวลดคดเคี้ยว

ความรู้สึกที่ให้แก่ผู้คน ก็เหมือนพวกเขารู้ดีเกี่ยวกับภูผาธาราแถบนี้เป็นอย่างดี!

ในความเป็นจริง ตลอดทางมานี้ พวกเหลยเฟิงเชวียล้วนไม่เคยประสบอันตรายเลยสักครั้งจริงๆ

“ที่แท้เป็นเช่นนี้นี่เอง…”

ไม่นาน หลินสวินก็ตระหนักถึงเบาะแส ในมือหญิงชุดหลากสีที่อยู่ข้างกายเหลยเฟิงเชวียคนนั้น มีแผ่นหยกสีดำรูปร่างเหมือนกระดองเต่าอยู่ชิ้นหนึ่ง

บนแผ่นหยกเงาแสงเลือนสลับ เข็มทิศอันหนึ่งลอยผลุบโผล่ คอยชี้บอกทางให้แก่พวกเหลยเฟิงเชวีย

เวลานี้ แม้แต่หลินสวินก็ยังไม่อาจไม่ยอมรับ หกเรือนมรรคใหญ่สมกับเป็นพวกทรงอิทธิพลยักษ์ใหญ่ที่พอจะบารมีสะเทือนทั่วหล้า รากฐานพลังแกร่งกล้าแน่นหนาจนไม่อาจจินตนาการ

นี่เป็นถึงเขตต้องห้ามเซียนโบราณที่เต็มไปด้วยเงื่อนงำปริศนา ภัยอันตรายสุดหยั่ง

แต่เห็นได้ชัดยิ่งว่าผู้สืบทอดเรือนมรรคเหล่านี้ล้วนตระเตรียมวิธีการต่างๆ ตั้งแต่เนิ่นๆ มาด้วยความพร้อมเต็มเปี่ยม!

…………….