ตอนที่ 1975 ลายยันต์มรรคแรดวิญญาณ

Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์

ตอนที่ 1975 ลายยันต์มรรคแรดวิญญาณ
ครึ่งชั่วยามให้หลัง

ภูเขาใหญ่สูงตระหง่านแปลกประหลาดลูกหนึ่งปรากฏขึ้นกลางฟ้าดิน เขาลูกนี้ปกคลุมด้วยหิมะน้ำแข็งที่แดงฉานเหมือนเปลวเพลิง ราวกับภูเขาไฟที่คุกรุ่นลุกโชนลูกหนึ่ง แต่ความเป็นจริงกลับเป็นภูเขาน้ำแข็งที่เย็นยะเยือกกรีดกระดูก

หิมะน้ำแข็งนั่นตระการตาดุจโลหิต แดงฉานดั่งลุกโหม!

“นี่คงจะเป็นเขาวิญญาณหิมะแดงสินะ ก่อนหน้านี้นานมาแล้ว บุคคลระดับบรรพจารย์คนหนึ่งในเรือนมรรคดึกดำบรรพ์ของพวกเราเคยเก็บบัวแดงสามสิบสามกลีบบนเขาลูกนี้ บนกลีบดอกบัวแต่ละกลีบล้วนประทับลายมหามรรคฟ้าประทาน วิเศษอัศจรรย์หาใดเปรียบ”

ทอดมองภูเขาโลหิตสีแดงที่ประดุจไฟลุกโหมลูกนั้นอยู่ไกลๆ นัยน์ตาเหลยเฟิงเชวียพลันวาบประกายลุกวาว “ว่ากันว่าระดับจักรพรรดิหลายคนในเรือนมรรคของพวกเรา ยามแจ้งมรรคบรรลุจักรพรรดิ ก็กลืนกินกลีบดอกบัวหนึ่งกลีบ ข้ามด่านเคราะห์จักรพรรดิแห่งยุคได้ในคราเดียว!”

เสียงสูดหายใจเฮือกระลอกหนึ่งดังขึ้น ผู้สืบทอดเรือนมรรคดึกดำบรรพ์เหล่านั้นไม่มีใครไม่ร้องอุทาน

หลินสวินทอดมองอยู่ไกลๆ นัยน์ตาก็วาบประกายแปลกไปด้วยเช่นกัน

ที่แท้ช่วงก่อนหน้านี้ ไม่เพียงแค่ศิษย์พี่จวินหวนเคยเข้ามา แม้แต่ระดับบรรพจารย์คนหนึ่งจากเรือนมรรคดึกดำบรรพ์ก็เคยมาสืบเสาะที่แห่งนี้ด้วยเช่นกัน

“ไป พวกศิษย์พี่ข่งเจารอพวกเราไปรวมตัวที่เขาลูกนี้”

ขณะสนทนาพวกเหลยเฟิงเชวียทั้งขบวนก็ทะยานขึ้น พุ่งโฉบไปทางเขาวิญญาณหิมะแดงที่อยู่ไกลๆ ลูกนั้น

หลินสวินก็ตามหลังพวกเขาไปติดๆ

ตรงไหล่เขาเขาวิญญาณหิมะแดงมีบ่สระน้ำธรรมชาติแห่งหนึ่ง ภายในสระโหมซัดด้วยหิมะน้ำแข็งแดงฉาน แผ่ไอเย็นยะเยือกกรีดกระดูกออกมา

ข่งเจาเอามือไพล่หลังยืนอยู่ริมสระน้ำ จดจ้องอยู่เนิ่นนานแล้วอดถอนหายใจเบาๆ ไม่ได้ “บัวแดงสามสิบสามกลีบในปีนั้นก็เกิดที่นี่ น่าเสียดายตอนที่พวกเรามากลับว่างเปล่าแล้ว”

ข้างกันผู้สืบทอดเรือนมรรคดึกดำบรรพ์สองคนต่างเรียกขวดสมบัติออกมาคนละใบ กำลังเก็บหิมะน้ำแข็งสีแดงที่โหมซัดอยู่ในสระแห่งนั้น

หนึ่งในนั้นได้ยินก็กล่าวยิ้มๆ “ศิษย์พี่ หิมะแดงในสระน้ำแห่งนี้ถือกำเนิดโดยธรรมชาติ บรรจุสารพลังมหามรรคเข้มข้นหาใดเปรียบ หากกลืนกินมันแล้วหลอม จะเป็นประโยชน์ยิ่งยวดต่อการฝึกปราณของพวกเราเช่นกัน”

ข่งเจาไม่ได้สนใจเขา สายตาเหลือบมองด้านข้าง

บนพื้นหิมะน้ำแข็งแดงสดมีคนสองคนถูกมัดไว้ ต่างผมเผ้ากระเซอะกระเซิง สีหน้าเขียวคล้ำและเดือดแค้น

คนหนึ่งคือลู่ตู๋ปู้ อีกคนคือซูมู่หาน

ข่งเจากล่าวเสียงเรียบเฉย “หิมะแดงตรงหน้าพวกเจ้าก็เหมือนสองคนนี้ ของกะปวกกะเปียก สุดท้ายก็เท่าจินตู๋อีนั่น”

“ข่งเจา จะฆ่าก็ฆ่า ไยต้องใช้วิธีต่ำทรามเช่นนี้ลบหลู่ข้าสองคนด้วย” ลู่ตู๋ปู้กัดฟันกล่าว

ผู้สืบทอดอันดับหนึ่งจากสำนักอันดับหนึ่งแห่งแคว้นเมฆา ตอนนี้กลับกลายเป็นพวกกะปวกกะเปียกในคำปากคนอื่น นี่ทำให้ลู่ตู๋ปู้อับอายจนพานโกรธหาใดเปรียบ

นัยน์ตาข่งเจาเจือแววเหยียดแคลน ปรายตามองสองคนจากมุมสูง กล่าวว่า “ข้าได้ยินว่าคราวก่อนตอนอยู่แดนลับโลกาสวรรค์ จินตู๋อีก็เคยช่วยพวกเจ้าจากเงื้อมมือพวกถูเชียนเจวี๋ย จู่เฟยอวี่ จริงหรือไม่”

ลู่ตู๋ปู้และซูมู่หานสีหน้าอึมครึมไม่สงบ พวกเขาไม่เข้าใจ เหตุใดข่งเจาจึงเอ่ยถึงเรื่องนี้

กลับเห็นข่งเจาพูดต่อเอง “ที่ไม่ฆ่าพวกเจ้า ข้าก็แค่อยากให้จินตู๋อีนั่นมาช่วยพวกเจ้าอีกครั้ง”

ฉับพลันพวกลู่ตู๋ปู้ก็เข้าใจทั้งหมดแล้ว ต่างโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ ตาแทบถลน เจ้าหมอนี่ ถึงกับมองพวกเขาเป็นเหยื่อล่อ หมายจะเรียกพี่จินออกมา!

“ต่ำช้า!”

“ผู้สืบทอดเรือนมรรคดึกดำบรรพ์ที่สูงส่ง อันดับห้ากระดานราชันอริยะปวงสวรรค์ วิธีการกลับไร้ยางอายเช่นนี้ ไม่กลัวทำคนทั้งใต้หล้าหัวเราะเยาะหรือ”

ทั้งคู่กัดฟันกรอด โพล่งผรุสวาทลั่น

ข่งเจาไม่ยี่หระ กล่าวว่า “พวกเจ้าอย่าเพิ่งโวยวายไป บอกตามตรง ข้ายังกังวลนักว่าอาศัยคนอย่างพวกเจ้าสองคน อาจไม่มีคุณสมบัติพอจะล่อจินตู๋อีออกมาได้เลยสักนิด!”

แววเหยียดแคลนในคำพูดไม่ได้ปกปิดสักนิด

ข่งเจากล่าวต่อ “ถึงอย่างไร จินตู๋อีก็เป็นผู้สืบทอดเรือนมรรคคืนกำเนิด พวกเจ้าสองคนเล่า กลับเป็นแค่คนมีชื่อเสียงในพื้นที่เล็กๆ อย่างแคว้นเมฆานั่น คราวก่อนในแดนลับโลกาสวรรค์ หากไม่มีจินตู๋อี พวกเจ้า… ไหนเลยจะมีคุณสมบัติเข้าสู่เขตต้องห้ามเซียนโบราณแห่งนี้”

พวกลู่ตู๋ปู้สองคนหน้าไร้สี ภายในใจเต็มไปด้วยความขมขื่น

ข่งเจาพูดจาถากถาง เหยียบย่ำศักดิ์ศรีของพวกเขาอย่างไร้ปรานี แต่พวกเขากลับไร้แรงไปโต้แย้ง เพราะแม้แต่ตัวพวกเขาเองยังยอมรับ ว่าหากไม่มีหลินสวินช่วยเหลือ พวกเขา… ก็ไม่มีคุณสมบัติเข้ามาจริงๆ…

“ศิษย์พี่”

ขบวนพวกเหลยเฟิงเชวียมากันแล้ว ต่างโค้งคารวะให้ข่งเจา

ข่งเจาร้องอืมคราหนึ่ง สายตาทอดมองพวกลู่ตู๋ปู้สองคนต่อ กล่าวอย่างเต็มไปด้วยแววเหยียดหยันและนึกสนุก “หากข้าเป็นจินตู๋อี ไหนเลยจะมาทุ่มชีวิตเพื่อคนไร้ประโยชน์อย่างพวกเจ้าสองคน ไม่คุ้มเอาเสียเลย”

สีหน้าพวกลู่ตู๋ปู้สองคนยิ่งมืดทะมึนขึ้นเรื่อยๆ

“เช่นนี้ถึงจะดีที่สุด จะได้ไม่ต้องพลอยเดือดร้อนพี่จินต้องลำบากเพราะพวกเราสองคนอีก!” ลู่ตู๋ปู้กัดฟันกล่าว ขอบตาแดงก่ำ

ข่งเจายิ้มบางๆ กล่าวว่า “รู้ไหมว่าทำไมข้าไม่ฆ่าพวกเจ้าตอนนี้ ง่ายยิ่ง รอตอนที่ได้เห็นจินตู๋อี ข้าจะบดขยี้พวกเจ้าให้แหลกเป็นชิ้นๆ ต่อหน้าเขา! จะให้เขาจินตู๋อีได้เห็นถึงค่าตอบแทนที่ต้องจ่ายเมื่อฆ่าคนเผ่าจักรพรรดิตระกูลข่งของข้า!”

ในเสียงแฝงแววเคียดแค้นไม่รู้จบ

กล่าวจบ ข่งเจาหมุนตัว เรียกพวกเหลยเฟิงเชวียมาอยู่ข้างๆ กล่าวว่า “ระหว่างทางที่พวกเจ้ามุ่งหน้ามา ได้สังเกตว่ามีคนสะกดรอยตามพวกเจ้ามาหรือไม่”

เหลยเฟิงเชวียชี้ไปที่กระบี่บินขาวหิมะที่ลอยอยู่ตรงบ่า กล่าวว่า “ตลอดทางมานี้ข้าใช้ ‘กระบี่ครวญเหิน’ สัมผัสตลอดทาง ก็ไม่ได้รู้สึกถึงความผิดปกติอะไร”

ข่งเจาพยักหน้ากล่าว “เช่นนี้ก็ดี เขตต้องห้ามเซียนโบราณนี่ถึงจะอันตราย แต่ยังพอมีวิธีบางอย่างหลีกเลี่ยงได้อยู่ แต่ถ้าถูกพวกร้ายกาจที่ผิดธรรมดาบางส่วนหมายหัว ก็เป็นปัญหาแล้ว”

เหลยเฟิงเชวียกล่าว “ศิษย์พี่ ท่านคิดจะใช้สองคนนี้เป็นเหยื่อล่อ จัดการกับจินตู๋อีนั่นจริงๆ หรือ”

มุมปากข่งเจาเจือแววนึกสนุกขึ้นมาเสี้ยวหนึ่ง กล่าวว่า “จินตู๋อีเป็นพวกร้ายกาจคนหนึ่ง แม้ข้าแทบทนไม่ไหวอยากบดขยี้เขาให้แหลกเป็นหมื่นชิ้น แต่ก็รู้ดีว่าหากจะจัดการเจ้าหมอนี่ ย่อมต้องวางแผนอย่างดีถึงจะได้”

เหลยเฟิงเชวียกล่าวอย่างประหลาดใจ “หรือว่าศิษย์พี่มีแผนอื่นอีก”

ข่งเจาพยักหน้ากล่าว “ครั้งนี้ไม่ว่าจะเป็นเรือนมรรคดึกดำบรรพ์ของพวกเรา หรือสองเรือนมรรคใหญ่อย่างจักรวาลและเหล่ามาร ล้วนมองเจ้าจินตู๋อีนี่เป็นเหยื่อ โดยเฉพาะเรือนมรรคจักรวาลที่แค้นเจ้าหมอนี่ถึงขั้นฝังกระดูก”

กล่าวถึงตรงนี้จู่ๆ เขาก็ถามขึ้น “พวกเจ้าคิดว่า หากข้าส่งเจ้าสองคนนี้ไปให้หวงฝู่เซ่าหนงจากเรือนมรรคจักรวาล จะดีกว่าหรือไม่”

เหลยเฟิงเชวียและคนอื่นๆ ต่างอึ้งไป

“ยืมดาบฆ่าคนหรือ”

มีคนตาลุกวาว เอ่ยปากพูด

ข่งเจากล่าวยิ้มๆ “ไม่ เป็นนั่งบนภูดูพยัคฆ์สู้กัน รอเก็บเกี่ยวผลประโยชน์ต่างหาก หากจัดการจินตู๋อีนี่โดยไม่ต้องเปลืองแรงสักนิดได้ จะไม่ยิ่งน่ายินดีกว่าหรือ”

เหลยเฟิงเชวียอดกล่าวไม่ได้ “ศิษย์พี่ แต่เมื่อครู่ท่านยังบอกว่าจะไว้ชีวิตสองคนนี้ รอจนพบจินตู๋อีแล้วค่อยบดขยี้พวกเขาต่อหน้าอีกฝ่าย เหตุใด…”

ข่งเจาหัวเราะฮ่าๆ ขึ้นมา “ขู่พวกเขาเล่นน่ะ พวกเจ้าคิดเป็นจริงเป็นจังได้อย่างไร”

เขากล่าวพลางเอ่ยสั่ง “รบกวนพวกเจ้าอีกครั้ง พาสองคนนี้ไปส่งหน้าภูเขาใหญ่รูปร่างคล้ายตะพาบยักษ์ที่อยู่ห่างจากที่นี่ไปสามหมื่นลี้ที พวกหวงฝู่เซ่าหนงรออยู่ตรงนั้นแหละ”

“ได้!”

พวกเหลยเฟิงเชวียรับคำสั่ง และพาลู่ตู๋ปู้กับซูมู่หานออกจากเขาวิญญาณหิมะแดงลูกนี้ไปด้วยกันโดยไม่ชักช้า

จนกระทั่งเงาร่างของพวกเขาทั้งขบวนห่างไปไกลแล้ว นัยน์ตาข่งเจาวายแววเย็นเยียบ สื่อจิตว่า ‘พวกเราก็ควรเคลื่อนไหวแล้วเหมือนกัน’

“ศิษย์พี่ จะมุ่งหน้าไปเขาปู้โจวนั่นหรือ”

ด้านข้างข่งเจามีคนหกคนติดตามอยู่ ล้วนเผยสีหน้าตั้งตาคอย มหาสมบัติแรกกำเนิดในตำนานชิ้นนั้น ก็อยู่ในเขาปู้โจวอันเร้นลับนั่น!

“เขาปู้โจวหรือ ไปตอนนี้ยังเร็วเกินไป พวกเราไล่ตามพวกศิษย์น้องเหลยเฟิงเชวียก่อน”

ข่งเจาเอ่ยปากเนิบนาบ

“อะไรนะ”

คนอื่นๆ ล้วนอึ้งไป

ข่งเจายื่นมือขวาออกมา ปลายนิ้วปรากฏยันต์หยกสีเขียวที่รูปร่างคล้ายหยดน้ำอันหนึ่ง “นี่คือ ‘ลายยันต์มรรคแรดวิญญาณ’ ที่สำนักมอบให้ข้า สามารถตรวจจับกลิ่นอายแปลกประหลาดใดๆ ก็ตามได้”

“ก่อนหน้านี้ตอนที่พวกศิษย์น้องเหลยเฟิงเชวียกลับมา ลายยันต์มรรคแรดวิญญาณก็ตรวจจับกลิ่นอายคลุมเครือได้สายหนึ่งสะกดรอยตามมาอย่างเงียบๆ”

นัยน์ตาข่งเจามีประกายแสงไหลเวียน “เจ้าคนที่หดหัวหดหางคนหนึ่ง กลับกล้าจับจ้องผู้สืบทอดเรือนมรรคดึกดำบรรพ์ของพวกเรา พวกเจ้าคิดว่าคนที่ใจกล้าเช่นนี้จะเป็นใคร”

“จินตู๋อี?”

มีคนโพล่งออกมา

“เป็นไปได้สูง!”

ข่งเจาพยักหน้า “ถึงอย่างไรผู้สืบทอดเรือนมรรคอื่นๆ และพวกปีศาจจากโลกอื่นในฟ้าดารา ล้วนหมายจะช่วงชิงมหาสมบัติแรกกำเนิด ย่อมไม่มีทางเลือกเป็นศัตรูกับพวกเราในเวลานี้เด็ดขาด”

“พวกคนจากแคว้นต่างๆ เหล่านั้นก็ไม่กล้าเป็นศัตรูกับพวกเรา เมื่อตัดทิ้งเช่นนี้ เหมือนจะเหลือแต่จินตู๋อีนี่แล้ว…”

คราวนี้คนอื่นๆ ต่างร้องอ้อ แต่ละคนเผยสีหน้าดุกร้าว จินตู๋อี! เจ้าหมอนี่ถึงกับกล้าปรากฏตัวจริงๆ หรือ

ช่างทำให้คนเหนือความคาดหมายจริงๆ…

“เมื่อครู่ยังกังวลว่าจะแหวกหญ้าให้งูตื่นจนอีกฝ่ายเผ่นหนีไปก่อน ดังนั้นข้าถึงให้พวกศิษย์น้องเหลยเฟิงเชวียออกไป และเอาตัวประกันสองคนนั้นไปด้วย เมื่อเป็นเช่นนี้ หากอีกฝ่ายเป็นจินตู๋อีจริง ย่อมต้องไล่ตามไปติดๆ แน่”

รอยยิ้มข่งเจาเย็นเยียบ ไอสังหารกลางนัยน์ตาเดือดพล่าน “และข้ากำชับศิษย์น้องเหลยเฟิงเชวียแล้ว ให้พวกเขาเลือกหยุดเดินทางกลางทาง ถึงตอนนั้นพวกเราที่ไล่ตามหลังไป จะได้ล้อมกรอบโจมตีพร้อมกับพวกศิษย์น้องเหลยเฟิงเชวีย กำจัดอีกฝ่ายในคราวเดียว!”

ฟังจบทุกคนในที่นี้ล้วนอดสูดหายใจเย็นไม่ได้ ร้องอุทานในใจ ศิษย์พี่ข่งเจาช่างวางแผนแยบยลยิ่งนัก!

“ไปกันเถอะ ได้เวลาเก็บแหแล้ว”

ภายในใจข่งเจามีเพลิงร้อนเดือดคลั่ง หากคู่ต่อสู้ครั้งนี้เป็นจินตู๋อีจริง เช่นนั้นต่อให้เขาติดปีกก็ยากจะบินหนีอย่างแน่นอน!

คนทั้งขบวนออกเดินทางทันที

และเวลานี้ หลินสวินก็กำลังติดตามอยู่ด้านหลังพวกเหลยเฟิงเชวียอยู่ไกลๆ เหมือนที่ข่งเจาเดาไว้จริงๆ

เพียงแต่ในใจเขากลับรู้สึกชอบกลอยู่รางๆ แต่เมื่อลองคิดดีๆ แล้วกลับคิดไม่ออกว่าผิดปกติตรงไหน

‘ช่างเถอะ ไปช่วยลู่ตู๋ปู้ ซูมู่หานสองคนนั่นก่อน’

หลินสวินตัดสินใจ

ก่อนหน้านี้เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นบนเขาวิญญาณหิมะแดงก็ถูกเขาเห็นอยู่ในสายตา โดยเฉพาะยามเห็นข่งเจาลบหลู่ดูหมิ่นพวกลู่ตู๋ปู้สองคนสารพัด ไอสังหารในใจหลินสวินล้วนพุ่งปะทุขึ้นมาอย่างห้ามไม่อยู่

เขารู้ ทั้งหมดล้วนเป็นเพราะถูกตนลากไปเกี่ยวข้อง!

“ศิษย์พี่เหลย ศิษย์พี่ข่งเจารู้ได้อย่างไรว่าพวกหวงฝู่เซ่าหนงรออยู่ในภูเขาใหญ่ห่างออกไปสามหมื่นลี้ หรือว่าเขาติดต่อกับหวงฝู่เซ่าหนงไว้แต่แรกแล้วอย่างนั้นหรือ”

ทันใดนั้นเสียงสายหนึ่งก็เรียกความสนใจของหลินสวิน

ผู้พูดคือหญิงชุดหลากสีคนนั้น ก่อนหน้านี้ก็เป็นนางที่ใช้จานหยกสีดำรูปกระดองเต่าอันหนึ่ง นำทางให้กับพวกเหลยเฟิงเชวีย และตลอดทางก็หลบเลี่ยงภัยอันตรายต่างๆ มากมายได้อย่างหวุดหวิด

…………….