ตอนที่ 1996 ขอถามเหล่าผู้กล้า ใครกล้าประลองบ้าง
หลิงเคอจื่อพลันยิ้มขื่น “จบกัน หากชิงโอกาสเข้าไปในประตูทลายนั่นเช่นนี้ เกรงว่าข้าคงไม่มีหวังแล้ว”
เขาพูดพลางมองหลินสวินวูบหนึ่ง
คนอื่นต่างแปลกใจอยู่บ้าง แต่ในใจหลินสวินกลับรู้ดีว่าสาเหตุที่เจ้าหมอนี่พูดเช่นนี้ เป็นเพราะเมื่อเปิดศึก ไม่ต้องพูดถึงว่าเขาจะเป็นคู่ต่อสู้ของคนอื่นได้หรือไม่ แต่เขาต้องไม่กล้าลงมือกับตนแน่
“ขี้ขลาด”
ริมฝีปากหลินสวินขยับพูดคำหนึ่งออกมาเบาๆ
หลิงเคอจื่อคอตก มีเพียงเขาที่มองความน่ากลัวของหลินสวินออก เขาจะไม่ขลาดกลัวได้อย่างไร
“ถ้าเช่นนั้น แท่นมรรคนั่นก็ยังมีความเป็นไปได้ที่จะปรากฏขึ้นอีกหรือ”
สายตาหลินสวินมองไปยังถังซู
“ไม่ผิด”
ถังซูพยักหน้า จากนั้นนางก็เผยสีหน้าประหลาดเสี้ยวหนึ่ง “แต่หลังจากที่เจ้ามา สถานการณ์ก็ไม่เหมือนเดิมแล้ว”
“หมายความว่าอย่างไร” หลินสวินเลิกคิ้ว
ถังซูยิ้มกล่าว “เจ้าไม่รู้จริงๆ หรือแสร้งไขสือกันแน่ ไม่รู้หรือว่ามีคนมากมายตาร้อนผ่าวอยากได้ศุภโชคในมือเจ้า”
สายตาของนางมองไปยังคนอื่นในที่นั้นพลางกล่าว “ตอนที่เจ้ายังไม่มา มีคนไม่น้อยประกาศว่าจะลงมือจัดการเจ้าอยู่เลย ถึงอย่างไรก็ยังไม่มีใครรู้ว่ามหาสมบัติแรกกำเนิดนี้เป็นอย่างไรกันแน่ แต่ศุภโชคในมือของเจ้านั้นอยู่ตรงหน้า”
เสียงสะท้อนก้องอยู่ในที่นั้น ทำให้สีหน้าของหลายคนดูอึดอัดอยู่บ้าง
แม้แต่หลินสวินก็คิดไม่ถึงว่าถังซูจะพูดตรงเช่นนี้ นำเรื่องพวกนี้มาเปิดเผยต่อหน้าทุกคน
เขายิ้มบางพลางเอ่ยว่า “งั้นรึ ดูเหมือนว่าการตายของพวกข่งเจาและหวงฝู่เซ่าหนง ยังไม่พอทำให้บางคนสำรวม”
ทันทีที่วาจานี้กล่าวออกมา บรรยากาศในที่นั้นก็เปลี่ยนเป็นกดดันไม่น้อย
สายตาบางคนวูบไหว
และมีคนกระตือรือร้นอยากลองดู
หลินสวินเอามือไพล่หลัง นัยน์ตาดำล้ำลึกกล่าวเรียบๆ “ถึงอย่างไรก็ว่างอยู่ ถ้ามีใครไม่กลัวตายก็ก้าวออกมา”
ประโยคเดียวท้าประลองได้ทุกคน!
ท่าทางเช่นนั้นดูแข็งกร้าวและตรงไปตรงมาหาใดเปรียบ ทำให้คนมากมายต่างลอบตระหนก
“แค่เศษเดนแห่งคีรีดวงกมลคนหนึ่ง กล้ามาเอ็ดตะโรที่นี่ คิดหรือว่าไม่มีใครทำอะไรเจ้าได้จริงๆ”
เสียงฮึเย็นชาดังขึ้น ทว่าเสียงกลับไหววูบพลิ้วล่อง ไม่อาจทราบที่มาของมัน
นัยน์ตาหลินสวินฉายแววเข่นฆ่าวูบหนึ่ง กล่าวเสียงเรียบ “มัวแต่มุดหัวมุดหาง กล้าปรากฏตัวออกมาพูดไหม”
เสียงนั้นกลับเงียบสงบลง
เห็นชัดว่าคนที่พูดนั้นรู้ถึงความแข็งแกร่งของหลินสวินดี กล้าแค่ขยับปาก พอให้เขาเผชิญหน้ากับหลินสวินเข้าจริงๆ กลับไม่กล้า
“ยังนับว่ารู้ตัวดี”
หลินสวินไม่อำพรางแววเหน็บแนมของตนแม้แต่น้อย
“หลินสวิน เจ้าวางท่าจองหองเช่นนี้ ไม่ห่วงว่าตอนที่ชิงโอกาสเข้าไปในประตูทลายจะถูกล้อมโจมตีรึ”
ชายที่เกิดมามีผมยาวสีน้ำเงินเข้ม สวมเสื้อคลุมทองคนหนึ่งกล่าวเย็นชา
เขาชื่อว่าเถาเทียนหุน มกุฎราชันอริยะอันดับหนึ่งแห่งเผ่านักรบเถาอู้ พลังต่อสู้ดุดันเป็นอย่างยิ่ง สามารถเข้ามาในเขตต้องห้ามเซียนโบราณและมาถึงหน้าประตูทลายได้ ก็เพียงพอพิสูจน์ความแข็งแกร่งของเขาแล้ว
ความจริงแล้วอีกสามสิบกว่าคนในที่นี้ก็ไม่มีใครเป็นพวกธรรมดาสักคน
“พวกข่งเจาสิบสองคนล้อมโจมตีข้า ผลคือตายเรียบ พวกหวงฝู่เซ่าหนงสิบเจ็ดคนล้อมโจมตีข้า สุดท้ายก็ล้มตายกันเป็นเบือ เจ้าคิดว่าข้าคนแซ่หลินกลัวการถูกล้อมโจมตีหรือ”
หลินสวินเหลือบมองอีกฝ่ายเล็กน้อย คำพูดแข็งกร้าว
คำพูดของถังซูเผยความคิดของทุกคนออกมาอยู่ก่อนแล้ว ทำให้หลินสวินรู้ดีว่าสถานการณ์ในตอนนี้คือ ต่อให้ตนไม่ก่อเรื่อง ก็ต้องมีคนมาหาเรื่องตน
มิสู้ตรงไปตรงมาหน่อย สะใจกว่า
ตอนนี้หากจัดการพวกที่ไม่ลืมหูลืมตาไปได้บ้าง รอเมื่อแท่นมรรคนั้นปรากฏอีกครั้ง ก็จะได้มีพวกต่อต้านน้อยลงหน่อย
เถาเทียนหุนอ้ำอึ้งไปชั่วขณะ ครู่ใหญ่จึงกล่าวยิ้มหยัน “ถ้าสวรรค์อยากให้ตายย่อมทำให้คนบ้าระห่ำ เจ้าหลินสวิน… หึๆ ต่อให้รอดออกไปจากเขตต้องห้ามเซียนโบราณนี้ได้ แต่สัตว์ประหลาดเฒ่าในโลกภายนอกพวกนั้น… เกรงว่าคงไม่มีทางปล่อยเจ้าไปแน่!”
เป็นจริงดังว่า
ฐานะของหลินสวินถูกเปิดโปงแล้ว หากผู้ยิ่งใหญ่ระดับจักรพรรดิในโลกภายนอกพวกนั้นรู้เข้า มีหรือจะไม่แยแส
ทว่าหลินสวินคล้ายไม่รู้สึกอะไร นัยน์ตาดำเฉยชากล่าว “ถ้าเจ้าอยากสู้ก็เข้ามา หากไม่กล้าก็หุบปากโดยดี มิฉะนั้นหากเจ้ากล้าพูดอีกคำ ข้าจะฆ่าเจ้าแน่”
น้ำเสียงราบเรียบ แต่กลับเหมือนลมเย็นเยียบพัดผ่านทุกคนในที่นั้น ทำให้หลายคนต่างเผยสีหน้าประหลาด
หลินสวินนี่…
บ้าดีนัก!
เมื่อถูกข่มขู่เช่นนี้ สีหน้าเถาเทียนหุนจึงประเดี๋ยวเขียวประเดี๋ยวขาว ทรวงอกกระเพื่อมไหวคล้ายอยากลงมืออย่างอดไม่อยู่ แต่สุดท้ายก็ยังอดกลั้น ไม่พูดแม้แต่คำเดียวดังคาด
“ขี้ขลาด”
หลินสวินกลับพูดออกมาคำหนึ่ง
แค่คำเดียวเท่านั้น แต่กลับเจือกลิ่นอายของความเหยียดหยันและหยามหน้าอย่างเต็มเปี่ยม
“หลินสวิน เจ้าคิดว่าข้ากลัวเจ้าจริงๆ หรือ”
เถาเทียนหุนบันดาลโทสะ ผมยาวสีน้ำเงินเข้มทั้งศีรษะแผ่สยาย ทั่วร่างแผ่ไอสังหารพลุ่งพล่านล้นฟ้า
ฟุ่บ!
หลินสวินเคลื่อนผ่านอากาศ ปรากฏตัวอยู่ตรงหน้าเถาเทียนหุนแล้วชี้นิ้วออกไป
ดูผ่อนคลายสบายใจ แต่พลังดรรชนีนั้นกลับอัดแน่นไปด้วยความดุดันถึงขีดสุด สาดแสงประกายที่ทำให้ฟ้าดินมืดมนออกมา
ใครก็คิดไม่ถึงว่าหลินสวินจะลงมือโดยตรง!
เถาเทียนหุนตะโกนลั่น ซัดหมัดหนึ่งออกไป พลังหมัดดุจขุนเขา มีอานุภาพสลายภูผาธารา สานพันด้วยพลังของเขตแดนมรรคที่พร่างพรายลานตา
ปึง!
แต่แค่ชั่วพริบตา พลังหมัดนั้นก็ถูกพลังดรรชนีของหลินสวินเจาะทะลุอย่างง่ายดายเหมือนลูกหนัง เสียงระเบิดดังขึ้น แสงมรรคสาดกระเซ็น
เถาเทียนหุนพลันหน้าถอดสี ในช่วงวิกฤติหาใดเปรียบนี้ ข้างหน้าเขาพลันปรากฏคันฉ่องป้องกันดวงใจทองอร่ามบานหนึ่ง บนคันฉ่องเผยร่างของเถาอู้เสมือนมีชีวิต แผ่กลิ่นอายน่ากลัวของมรรคจักรพรรดิออกมา
พลังดรรชนีของหลินสวินเด็ดขาดและดุดันระดับใด แต่กลับถูกคันฉ่องป้องกันดวงใจนั้นคลี่คลายราบคาบเหมือนวัวดินจมสมุทร
เถาเทียนหุนฉวยโอกาสนี้สะบัดมือ
กระบี่เทพเล่มหนึ่งพุ่งออกไป ตัวกระบี่พันด้วยลายมรรคเมฆาเก่าแก่ ส่องประกายอยู่กลางอากาศ ปราณกระบี่สะเทือนฟ้าดิน
หลินสวินพลิกฝ่ามือ ประทับไร้ชีพปรากฏแล้วฟาดลงมาเต็มแรง
เสียงเคร้งดังสนั่น ห้วงอากาศใกล้เคียงระเบิดออก แสงศักดิ์สิทธิ์เหลือคณาโหมกระหน่ำ กระบี่เทพที่พันด้วยลายเมฆเล่มนั้นส่งเสียงครวญเสียดหู ลอยออกจากมือของเถาเทียนหุนไป
เถาเทียนหุนตกตะลึง ใช้คันฉ่องป้องกันดวงใจต้านไว้อีกครั้ง แต่ครั้งนี้กลับไม่อาจต้านทานได้ แม้แต่คันฉ่องป้องกันดวงใจยังถูกประทับไร้ชีพฟาดจนสั่นสะเทือนไร้ระเบียบ ละอองแสงสาดกระจาย
ด้วยถูกโจมตีติดต่อกัน เถาเทียนหุนจึงเลือดออกเจ็ดทวาร คำรามเสียงอึดอัดอย่างเจ็บปวด ร่างเซถอยหลังอย่างควบคุมไม่ได้
สุดท้ายเขาก็หนีการโจมตีพิฆาตของประทับไร้ชีพไม่พ้น ทั้งตัวถูกไอสังหารน่ากลัวกำราบจนแหลกสลาย ฝนโลหิตสาดกระจาย
แค่ชั่วดีดนิ้ว เถาเทียนหุนมกุฎราชันอริยะอันดับหนึ่งแห่งเผ่านักรบเถาอู้ก็ถูกสังหาร!
เหตุการณ์นองเลือดที่รวดเร็วรุนแรงนั้น ทำให้ทุกคนในที่นั้นหน้าเปลี่ยนสีทันที แต่ละคนล้วนอดสูดหายใจเย็นเยียบไม่ได้
เหี้ยม!
เหี้ยมโหดเกินไปแล้ว!
พอฟังไม่เข้าหู หลินสวินนี่ก็ฆ่าคู่ต่อสู้ทิ้งไปคนหนึ่ง ทั้งฝีมือยังเด็ดขาดดุดันหาใดเปรียบ นี่คือสิ่งที่ใครต่างคาดไม่ถึง
หลิงเคอจื่ออ้าปากพะงาบๆ ก่อนจะปิดสนิท สั่นไปทั้งตัว พึมพำในใจ ‘พุทธองค์คุ้มครองๆ…’
ถังซูและฮว่าซิงหลีล้วนเป็นผู้แข็งแกร่งที่เคยเห็นมาดสง่างามของหลินสวินในแหล่งสถานคุนหลุนเมื่อหลายปีก่อน แต่ถึงอย่างไรนี่ก็เป็นเรื่องเมื่อหลายปีก่อน
นี่เป็นครั้งแรกที่เห็นหลินสวินลงมือ ตั้งแต่พวกเขาก้าวสู่ระดับมกุฎราชันอริยะมา ความสง่างามของเขา… ถึงกับมากกว่าแต่ก่อน!
เยียนอวี่โหรวหน้าเปลี่ยนสี หวาดกลัวอยู่ในใจ นึกเสียใจยิ่งกว่าเดิมว่าทำไมตอนนั้นถึงไปหาเรื่องคู่ต่อสู้เช่นนี้ได้
“ไม่ต้องกลัว มีข้าอยู่”
หลิงหงจวงตบบ่าของนาง กล่าวปลอบใจ
ความจริงแล้วในใจนางก็ไม่สงบอยู่บ้าง ดูเหมือนว่าหลินสวินเอาชนะด้วยสมบัติจักรพรรดิ แต่อานุภาพที่เผยออกมายามเคลื่อนไหว มีท่วงท่าประหนึ่งว่าไร้คู่ต่อกร ทำให้นางรู้สึกถึงแรงกดดันที่ถาโถมเข้าใส่เช่นกัน
แรงกดดันเช่นนี้ ในอดีตนางเคยสัมผัสได้จากคนผู้หนึ่ง
นึกถึงตรงนี้สายตานางมองไปยังหมีอู๋หยาที่อยู่ห่างไปไม่ไกล ก็เห็นฝ่ายหลังสีหน้าสุขุม เงียบสงบไม่สะทกสะท้าน มีเพียงนัยน์ตาผ่องแผ้วดุจทะเลสาบนั้นที่วาววาบผิดธรรมดา
เหมือนว่า…
ได้เจอคู่ต่อสู้ที่สามารถประลองกันได้และทำให้เขาไหวหวั่น!
ส่วนปีศาจที่มาจากโลกอื่นในฟ้าดาราอย่างจิ่งเทียนหนาน เวินอวี๋ แต่ละคนต่างจ้องมองไปที่หลินสวิน สีหน้าแตกต่างกันออกไป
ในใจมีความคิดหนึ่งผุดขึ้นมาพร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมาย
นี่คือศัตรูที่แข็งแกร่งคนหนึ่ง!
ในที่นั้นเงียบสงัด กลับเห็นหลินสวินเก็บประทับไร้ชีพลงไปอย่างสงบผ่อนคลาย เริ่มจัดการกับทรัพย์หลังศึกต่อหน้าทุกคน
คันฉ่องป้องกันดวงใจ สมบัติจักรพรรดิชิ้นนี้มีชื่อว่า ‘คันฉ่องจริงแท้เถาอู้’ กระบี่มรรคลายเมฆเก่าแก่เล่มนั้นก็เป็นสมบัติจักรพรรดิเช่นกัน มีชื่อว่า ‘เมฆาพิฆาต’
นอกจากนี้ยังมีกำไลเก็บของชิ้นหนึ่ง เต็มไปด้วยเจตวัตถุและโอสถสมบัตินานัปการ
ผลประโยชน์เช่นนี้เรียกได้ว่าชวนตะลึง แต่หลินสวินเคยชินกับเรื่องพวกนี้นานแล้ว ก่อนหน้านี้ยามสังหารพวกข่งเจาและหวงฝู่เซ่าหนง เขาได้ทรัพย์หลังศึกที่มีค่ามามากมาย แค่สมบัติจักรพรรดิก็มีมากถึงห้าหกชิ้นแล้ว!
ทุกคนในที่นั้นสีหน้าพิกล หลินสวินฆ่าคนชิงทรัพย์ ดูเชี่ยวชาญคุ้นเคยอย่างยิ่ง ทำให้พวกเขามีความรู้สึกว่าตาลาย
เห็นได้ชัดว่าเจ้าหมอนี่เคยทำเรื่องพวกนี้มาไม่รู้กี่ครั้งแล้ว!
“ฆ่าไปคนหนึ่ง ก็เท่ากับมีคู่แข่งน้อยไปหนึ่งคน ทุกท่านว่าอย่างไรเล่า”
สายตาหลินสวินกวาดมองทุกคน เอ่ยปากเนิบนาบ
ไม่มีใครตอบ หลักการนี้ไม่ว่าใครก็รู้ดี เพียงแต่ไม่มีใครกล้าพูดออกมาเท่านั้น
หลินสวินยิ้มกล่าว “เห็นว่าตอนนี้ยังมีเวลา ยังมีสหายยุทธ์ท่านไหนต้องการชิงศุภโชคในมือข้าคนแซ่หลินอีกบ้าง”
ทุกคนมองหน้ากันไปมา บางคนถึงขั้นไม่กล้าสบตากับหลินสวิน
หลิงเคอจื่อเห็นเหตุการณ์นี้อยู่ในสายตาก็ทอดถอนใจ นึกถึงภาพประหลาดที่เห็นในครั้งแรกยามเจอหลินสวินขึ้นมาอย่างอดไม่ได้
เขาก้าวเดินอยู่คนเดียว ราวกับเทพสังหารออกเดินทาง
ตลอดทางคือภูเขาศพทะเลเลือด
เบื้องหลังเขาโลกแตกออกจากกัน ดวงดาวร่วงหล่นนิรันดร์ สรรพสิ่งว่างเปล่า
มีเพียงเงาร่างของเขา
กลายเป็นสิ่งเดียวที่ไม่เสื่อมสูญในความพินาศ!
“จือไป๋ อยากถือโอกาสนี้ประลองฝีมือกับพี่หลิน”
ทันใดนั้นเสียงฉะฉานหนึ่งพลันดังขึ้น ที่มาพร้อมกับเสียงคือเงาร่างของจือไป๋ที่ก้าวมาแต่ไกล
รอบตัวเขาพรั่งไปด้วยกลิ่นอายส่องสว่างดูศักดิ์สิทธิ์ แต่ใต้ฝ่าเท้าของเขากลับปรากฏลวดลายมรรคมารมากมาย
ร่างเปล่งแสงสว่างไสว แต่กลับย่างเท้าในความมืดมิด!
คนมากมายนัยน์ตาวาววาบ ฮึกเหิมอยู่ในใจ
ก่อนหน้านี้ท่าทีหยิ่งผยองที่แข็งกร้าวนั้นของหลินสวิน ทำให้ในใจของหลายคนไม่พอใจเป็นอย่างยิ่ง เห็นเขาแล้วไม่เจริญตา ตอนนี้ในที่สุดก็มีบุคคลร้ายกาจแห่งยุคก้าวออกมาคนหนึ่ง หมายกำราบความเย่อหยิ่งของเขา ย่อมทำให้ผู้คนเฝ้ารอเป็นธรรมดา
แทบอยากจะโห่ร้องให้กำลังใจจือไป๋
ด้านหลังจือไป๋ เยวี่ยหรูหั่วก็เดินมาแต่ไกล แต่เมื่อเห็นภาพนี้เขากลับเผยรอยยิ้มขื่นอย่างจนปัญญา
ไปเผชิญหน้ากับหลินสวินนั่นเวลานี้ จะดีจริงหรือ
แต่เขาไม่อาจไปขัดขวางได้แล้ว
สายตาของหลินสวินก็มองไปยังจือไป๋ที่เดินมา ตั้งแต่ต้นจนจบในนัยน์ตาดำเต็มไปด้วยความเฉยชา ไม่พูดพร่ำทำเพลง ริมฝีปากขยับพูดเพียงคำหนึ่งเบาๆ
“ได้”
……………………..