ตอนที่ 1997 ตารางหมากขาวดำ
ได้!

คำเดียว ทั้งลวกๆ และเฉยเมยถึงเพียงนั้น

ทุกคนต่างผิดคาดอยู่บ้าง นั่นเป็นถึงจือไป๋ ปีศาจแห่งยุคที่แม้ชื่อเสียงไม่เด่นชัด แต่กลับมีเบื้องลึกเบื้องหลังที่น่ากลัวคนหนึ่ง

ในงานชุมนุมถกมรรค ถึงขั้นมีผู้ยิ่งใหญ่เชื่อว่าบุคคลร้ายกาจอย่างจือไป๋และเยวี่ยหรูหั่ว หากมุ่งมั่นแสวงชื่อ เกรงว่าคงเกริกก้องสะท้านทั่วฟ้าดาราไปนานแล้ว

แต่ในสายตาหลินสวินกลับราวไม่ใส่ใจคำเชิญประลองของจือไป๋ ตั้งแต่ต้นจนจบสีหน้าไม่มีการเปลี่ยนแปลงเพียงเสี้ยว

มีเพียงเยวี่ยหรูหั่วที่หัวใจหดเกร็งอย่างไม่อาจอธิบายได้ กล่าวขึ้นมาทันใด “พี่หลิน การประลองนี้แค่ตัดสินผลแพ้ชนะ ไม่ตัดสินเป็นตายดีไหม”

“ถ้าแค่แลกเปลี่ยนเรียนรู้ ข้าไม่สนใจ”

หลินสวินพูดเรียบๆ

แลกเปลี่ยนเรียนรู้หน้าประตูทลาย โง่งมอะไรปานนี้ มีแต่สิ้นเปลืองพลังกายโดยไม่จำเป็น!

ต้องรู้ว่าเมื่อแท่นมรรคลึกลับนั่นปรากฏอีกครั้ง เหล่าผู้กล้าในที่นี้จะต้องลงมือแย่งชิงพร้อมกันแน่ ถึงตอนนั้นหากไม่มีพลังกายเต็มเปี่ยมพอจะยืนหยัด จะเอาอะไรไปชิงกับคนอื่น

พูดอย่างไม่เกินจริง ถ้าพลังกายด้อยไปเพียงนิด ในการต่อสู้ของยอดฝีมือก็อาจกลายเป็นช่องโหว่ที่ถึงชีวิตได้!

“ไม่ พี่หลินเข้าใจผิดแล้ว ในเมื่อเป็นการต่อสู้ แน่นอนว่าต้องมีของเดิมพันกันหน่อย”

กลับเห็นจือไป๋ยิ้มเล็กน้อยพลางกล่าว “แบบนี้เป็นอย่างไร หากข้าน้อยแพ้ ไม่ว่าจะเป็นสมบัตินานัปการในตัวหรือชีวิตของข้าน้อย พี่หลินล้วนนำไปได้ทั้งสิ้น”

บางคนสูดหายใจสะท้าน คำพูดนี้ของจือไป๋ หมายความว่าการแลกเปลี่ยนเรียนรู้นี้ไม่ต่างอะไรกับการตัดสินเป็นตายเลย

จือไป๋กล่าวต่อ “หากข้าน้อยโชคดีชนะ ขอแค่พี่หลินมอบศุภโชคของการบรรลุจักรพรรดิกลายเป็นบรรพจารย์ในมือนั้นมาให้ก็พอ”

เมื่อเอ่ยปากออกมาก็ประหนึ่งฟ้าถล่มดินทลาย ทุกคนในที่นั้นต่างแตกตื่น พลันตระหนักได้ว่าที่จือไป๋มาครานี้เพราะมีจุดประสงค์อื่น!

สีหน้าเยวี่ยหรูหั่วดูซับซ้อน สุดท้ายก็ยิ้มขื่น เจ้าจือไป๋นี่… สุดท้ายก็ไม่ฟังคำปรามของตน!

ก็เห็น…

นัยน์ตาดำของหลินสวินล้ำลึกดุจหุบเหว จ้องมองจือไป๋ครู่หนึ่งแล้วกล่าวทอดถอนใจ “คิดไม่ถึง ว่าคนอย่างเจ้าก็ยังยึดติด…”

ศุภโชคนั้นเดิมทีก็เป็นสิ่งที่เจ้าแห่งคีรีดวงกมลเหลือไว้ให้ตน นั่นเป็นศุภโชคของตน!

แต่ตอนนี้กลับถูกคนนับไม่ถ้วนล่วงรู้ ปรารถนาจะแย่งชิง ช่างน่าขันอะไรปานนี้

จือไป๋เงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนประสานมือเล็กน้อย “พี่หลินโปรดชี้แนะ”

เวลานี้บรรยากาศในที่นั้นจริงจังถึงขีดสุด ทุกสายตาที่มองไปยังหลินสวินและจือไป๋ล้วนเจือความเฝ้ารอ

สิ่งสำคัญที่สุดคือสองคนนี้ไม่ว่าใครจะแพ้ หลังผ่านศึกใหญ่ พลังกายของทั้งสองคนต้องเผาผลาญไปมากแน่ ในการห้ำหั่นชิงมหาสมบัติแรกกำเนิด ภัยคุกคามที่มีต่อคนอื่นก็ย่อมอ่อนกำลังลงมาก!

“พี่หลิน”

แต่เวลานี้เองที่เยวี่ยหรูหั่วเอ่ยปากอีกครั้ง

หลายคนต่างมุ่นคิ้ว นี่คือการต่อสู้ระหว่างจือไป๋กับหลินสวิน แต่เยวี่ยหรูหั่วกลับขัดจังหวะครั้งแล้วครั้งเล่า พาให้คนยากเข้าใจ

หลินสวินกวาดสายตามองไปพลางกล่าว “ตอนอยู่ที่แดนลับโลกาสวรรค์ เจ้าเคยบอกว่าจะซัดกระบี่ใส่ข้าอีกครั้ง ทำไม เจ้าก็อยากฉวยโอกาสนี้ประลองกับข้าด้วยหรือ”

เยวี่ยหรูหั่วยิ้มขื่นส่ายหัว “ไม่ ข้าแค่อยากบอกว่า การต่อสู้นี้เจ้ากับจือไป๋ประลองกันด้วยมรรควิถีแห่งตนได้หรือไม่”

หลินสวินไม่ปฏิเสธ แต่ถามจือไป๋ “เขาตัดสินใจแทนเจ้าได้หรือ”

จือไป๋พยักหน้า

“ได้ เช่นนั้นก็ประลองกันด้วยมรรควิถีแห่งตน”

หลินสวินรับปาก

“พี่หลิน เชิญ”

จือไป๋สีหน้านิ่งสงบ หว่างคิ้วฉายแววมาดมั่น พูดพลางตบมือไปข้างหน้า

ตูม!

ห้วงอากาศสั่นสะเทือน พลังสว่างไสวไร้สิ้นสุดรวมเป็นประทับฝ่ามือใหญ่ที่ส่องประกายเจิดจ้า ตบใส่หลินสวิน

แค่ฝ่ามือเดียวเท่านั้น แต่พลังกฎเกณฑ์น่ากลัวที่แฝงอยู่ภายในกลับทำให้หลายคนในที่นั้นใจสะท้าน แข็งแกร่งยิ่ง!

พอมองจือไป๋อีกครั้ง ก็เห็นว่าทั้งตัวเขาอาบไล้ด้วยกลิ่นอายบริสุทธิ์สว่างไสว เจิดจรัสดั่งดวงตะวัน พาให้ฟ้าดินไร้สี

หลินสวินสะบัดแขนเสื้อคราหนึ่ง

ประทับฝ่ามือสว่างไสวที่บดบังฟ้าระเบิดกระจุยดังสนั่น ละอองแสงลอยล่อง

“เวลามีค่า ไม่จำเป็นต้องหยั่งเชิง เจ้าใช้พลังเต็มกำลังเถอะ”

เสื้อผ้าของหลินสวินโบกสะบัดไปตามลม นัยน์ตาดำราวอสนี

“ได้”

จือไป๋สูดหายใจลึก แสงสว่างไหลวนรอบกาย ใต้ฝ่าเท้ากลับปรากฏสัญลักษณ์มรรคมารราวนรก หนึ่งดำหนึ่งขาว หนึ่งสว่างหนึ่งมืดมน ประสานเข้ากับกลิ่นอายรอบตัวเขาอย่างสมบูรณ์แบบ

ร่างเปล่งแสงสว่างไสว แต่กลับย่างเท้าในความมืดมิด!

ตูม…

เมฆาเคลื่อนทั่วทศทิศ เสียงมรรคดังกัมปนาท แค่พริบตากลิ่นอายของจือไป๋ก็พุ่งพรวดถึงขีดสุด ราวกับเทพมารดึกดำบรรพ์มาเยือนโลก

เสียงร้องอุทานนับไม่ถ้วนดังขึ้นในเวลานี้ ไม่ว่าจะเป็นพวกหลิงหงจวง หรือปีศาจแห่งยุคอย่างจิ่งเทียนหนาน เวินอวี๋ล้วนเผยสีหน้าตกใจ

ดังคำกล่าวที่ว่าได้ยินชื่อเสียงมิสู้ได้พบหน้า บางทีชื่อเสียงของจือไป๋อาจไม่เด่นชัด แต่พลานุภาพรุ่งโรจน์ที่เขาสำแดงออกมาในยามนี้ เรียกได้ว่าน่ากลัวและเย้ยฟ้าอย่างที่สุด!

‘ระดับนี้คือมรรคขั้นสุดยอด!’

ในดวงตาผ่องแผ้วดุจทะเลสาบของหมีอู๋หยาฉายแววอัศจรรย์

‘ดี!’

สุดท้ายเยวี่ยหรูหั่วก็ลอบเป่าปากโล่งอก เขารู้จักจือไป๋ดีที่สุด เมื่อเห็นภาพนี้เลยรู้ดีว่าจือไป๋ลงมือเต็มกำลังแล้ว ทั้งไม่ดูแคลนใดๆ หากแต่มองหลินสวินเป็นศัตรูตัวฉกาจที่ชีวิตนี้คงหาได้ยาก!

ตรงหน้าจือไป๋ปรากฏเขตแดนมรรคแห่งหนึ่งอย่างไร้สุ้มเสียง

ขาวดำตัดสลับ กลายเป็นกระดานหมากที่ไขว้ขนานถ้วนทั่ว ตารางขาวดำไร้รูปแบบ ราวกฎเกณฑ์มหามรรคที่เร้นลับลึกซึ้งจัดทัพวางแนวรบอยู่ภายใน

มองจากไกลๆ จะเห็นว่าแบ่งขาวดำกันชัดเจน คล้ายกระดานหมากกระดานหนึ่ง!

ผู้แข็งแกร่งบางคนจิตวิญญาณสั่นระรัว สัมผัสได้ถึงกลิ่นอายอันตรายสุดขีดจากกระดานหมากขาวดำนั้น หน้าพลันเปลี่ยนสีอย่างอดไม่ได้

และมีคนเลือดลมพลิกตลบ ทรมานจนแทบกระอักเลือด รีบสลัดจิตรับรู้ทิ้ง ไม่กล้าไปสัมผัสและตรวจสอบอีก

ภายในกระดานหมากขาวดำนั่นแฝงความลับเหลือคณา การเปลี่ยนแปลงไร้ขีดจำกัด ไอสังหารไร้สิ้นสุด กฎเกณฑ์มหามรรคที่เต็มเปี่ยมน่าหวาดกลัวเกินไป

แม้แต่หลินสวินนัยน์ตาดำยังหดรัดลงอย่างอดไม่ได้ จิตต่อสู้ในใจที่ราบเรียบราวกับหลับใหลมาตลอด ในที่สุดก็มีสัญญาณว่าจะปะทุแล้ว

“พี่หลิน นี่คือเขตแดนมรรคที่ควบรวมจากความทุ่มเททั้งชีวิตของข้าน้อย ใช้พลังแห่งความสว่างไสวและมืดมิดสลักออกมาเป็นตารางหมากขาวดำ ใช้มรรควิถีแห่งตนสำแดงออกมาเป็นกระดานหมาก ดังคำกล่าวที่ว่ามหามรรคดั่งกระดานหมาก พวกเราคือตัวหมาก หนทางแห่งการฝึกปราณ เดิมทีก็คือการประลองหมากกับสวรรค์!”

หว่างคิ้วจือไป๋ราศีจับเปล่งประกาย กลิ่นอายทั่วร่างที่ยากจับต้องเจือความหยิ่งผยองเป็นเอกลักษณ์ นั่นคือความมาดมั่นถึงขีดสุดอย่างหนึ่ง

“เขตแดนมรรคนี้เคี่ยวกรำมาสามร้อยปี กระทั่งหลายปีก่อนจึงบรรลุถึงขั้นสมบูรณ์สุดขีด ข้าตั้งชื่อให้มันว่า ‘ตารางหมากขาวดำ’ จนถึงตอนนี้ยังไม่เคยสำแดงออกมาอย่างแท้จริง”

เสียงนั้นดังกังวาน สะท้อนก้องฟ้าดิน

พอมองตารางหมากขาวดำนั่นอีกครั้ง ก็เหมือนกระดานหมากที่ทึบแน่นกระดานหนึ่ง ดำดุจรัตติกาล ขาวเหมือนกลางวัน ทั้งสว่างไสวและมืดมิด ยามค่อยๆ โคจร ตารางหมากที่ไล่เรียงตัดสลับจะเปลี่ยนตามไปด้วย เผยความลับที่น่าอัศจรรย์เหลือคณาออกมา

ทุกคนในบริเวณนั้นใจสะท้าน

เขตแดนมรรคเช่นนี้ทำให้หลายคนต่างรู้สึกตกตะลึงและใจสั่น เหนือธรรมดาและมหัศจรรย์เกินไปแล้ว!

แม้แต่หมีอู๋หยายังจ้องมองอย่างจริงจัง

“ถ้าเช่นนั้นข้าก็เป็นคนแรกที่ได้เจอเขตแดนมรรคนี้สินะ”

ในที่สุดสีหน้าของหลินสวินก็เปลี่ยนเป็นจริงจังไม่น้อย เขาสัมผัสได้ว่า ‘ตารางหมากขาวดำ’ นี้ลี้ลับยากหยั่งถึง น่าเหลือเชื่อเป็นอย่างยิ่ง

“เช่นนี้จึงจะแสดงความเคารพที่กลั่นมาจากใจของข้าได้”

จือไป๋ยิ้มเล็กน้อย สะบัดแขนเสื้อคราหนึ่ง “ไป!”

ตูม!

ห้วงอากาศแถบนี้อลหม่านราวพลิกฟ้าพลิกดิน ถูกแสงแห่งความสว่างไสวและมืดมิดอัดแน่น กระดานหมากที่ตัดสลับไขว้ขนาน เผยไอสังหารล้นฟ้าออกมาในยามนี้

หลินสวินไม่หลีกหลบ เมื่อกระดานหมากพุ่งพิฆาตมา ร่างเขาก็พริบไหว บุกสังหารเข้าไปตรงๆ

เงาร่างเขาถูกฝังกลบเข้าไปในนั้นชั่วพริบตา

ทุกคนในที่นั้นต่างเผยสีหน้าตื่นตะลึง นี่เป็นถึงเขตแดนมรรค เมื่อติดอยู่ในนั้นก็เหมือนเข้าไปในโลกที่ควบคุมโดยจือไป๋ ทำให้สถานการณ์ของตนตกเป็นฝ่ายถูกกระทำ!

นัยน์ตาหมีอู๋หยาไหลวนด้วยแววประหลาด รูปแบบการกระทำที่ไร้กฎเกณฑ์เช่นนี้ของหลินสวินทำให้เขารู้สึกผิดคาดเช่นกัน

ด้วยตามปกติการต่อสู้ระหว่างมกุฎราชันอริยะสองคน สิ่งที่ต้องหลีกเลี่ยงที่สุดก็คือการตกอยู่ในเขตแดนมรรคของอีกฝ่าย

เช่นนั้นจะตกเป็นฝ่ายถูกกระทำเกินไป!

นอกเสียจากว่าจะมีความมั่นใจอย่างที่สุด คิดว่าตนพลิกสถานการณ์ออกมาได้

มิฉะนั้นการทำเช่นนี้ ย่อมไม่ต่างอะไรกับรนหาที่ตาย

เห็นชัดว่าหลินสวินไม่เหมือนคนที่จะรนหาที่ตาย เขาทำเช่นนี้ ได้แต่พิสูจน์ว่าเขามีความมั่นใจว่าสามารถพลิกสถานการณ์!

‘เจ้าหมอนี่… ช่างใจกล้าสะท้านฟ้า…’

เยวี่ยหรูหั่วอดสูดหายใจสะท้านไม่ได้

เขาเคยเจอตารางหมากขาวดำของจือไป๋ด้วยตนเองมาก่อน เมื่อตกอยู่ในนั้นก็เหมือนกลายเป็นหมากตัวหนึ่ง จะถูกกำราบโดย ‘คนเดินหมาก’ อย่างจือไป๋แน่นอน!

สรุปคือเวลานี้จิตใจของทุกคนในที่นั้น ล้วนถูกการเคลื่อนไหวที่เกินความคาดหมายของหลินสวินดึงดูด พาให้รู้สึกผิดคาด

แม้แต่จือไป๋ก็ยังเผยรอยยิ้มเหมือนเยาะหยันตนเอง “ที่แท้ในสายตาของพี่หลิน ตารางหมากขาวดำของข้าจือไป๋ก็เป็นสิ่งที่เข้าออกได้ตามใจชอบสินะ”

แม้จะพูดเช่นนี้ แต่เมื่อเขาขับเคลื่อนความคิด ตารางหมากขาวดำทั้งกระดานก็โคจรขึ้นมาทันใด

คล้ายการประลองหมากสะเทือนใต้หล้าได้เปิดฉากขึ้น!

โลกที่สานด้วยสีขาวดำ ตารางหมากที่ไล่เรียงตัดสลับ เผยไอสังหารไร้ใดเปรียบออกมาเหมือนกลับมามีชีวิต

เมื่อเงาร่างหลินสวินปรากฏอยู่บนตารางหมากช่องหนึ่งในนั้น วายุอสนีบาตพลันก่อตัว วิญญาณมารสีดำตนหนึ่งพุ่งสังหารออกมา พลานุภาพร้ายกาจไร้ขีดจำกัด

หมากดำชิงเดินก่อน!

การประลองหมากเริ่มต้น วิญญาณมารสีดำนี้ก็เหมือนหมากดำตัวหนึ่ง ถูกจือไป๋เรียกให้โผล่ขึ้นมาบนกระดานหมาก ต้องการสังหารหลินสวินคนต่างถิ่นที่บุ่มบ่ามเข้ามาในกระดานหมาก

ปึง!

หลินสวินรวบนิ้วเข้าด้วยกันแล้วซัดออกไปทันที ร่างของวิญญาณมารสีดำระเบิดออกในพริบตา กลายเป็นละอองแสงมืดมิดลอยล่อง

ส่วนร่างของเขาก็ลอยลงสู่ตารางหมากอย่างปลอดภัย

เห็นดังนี้มุมปากของจือไป๋เผยรอยยิ้มกล่าว “พี่หลิน ท่านมาโดยไม่ได้รับเชิญ แต่ถือว่าเข้าลานแล้ว การประลองหมากนี้… เริ่มขึ้นแล้ว…”

ก็เห็นว่า…

ช่องตารางต่างๆ ที่อยู่ใกล้หลินสวิน ไม่ว่าขาวหรือดำล้วนปรากฏเงาร่างมากมาย แต่ละคนล้วนมีรูปร่างเหมือนจือไป๋

แต่บ้างเปล่งแสงมืดมิดแห่งรัตติกาลนิรันดร์ สีหน้าอำมหิต หยิ่งผยองดุดันราวกับเทพมาร

บ้างอาบไล้ด้วยแสงสว่างไสว อำนาจไพศาลประหนึ่งอริยเทพ!

ตูม!

เมื่อกระดานหมากเปลี่ยนไป เงาร่างพวกนี้ก็พุ่งโจมตีเข้ามา แต่ละคนท้วมท้นด้วยกลิ่นอายที่ไม่ต่างไปจากตัวจือไป๋เท่าไร

นี่มันน่ากลัวเกินไปแล้ว!

เปลี่ยนเป็นคนอื่นติดอยู่ในนี้ คงได้รู้สึกถึงความหวาดกลัวสิ้นหวังที่ตกเป็นหมากของคนอื่น ตัดสินความเป็นตายด้วยตัวเองไม่ได้แน่

แต่หลินสวินคล้ายไม่รู้สึกอะไร มีเพียงนัยน์ตาดำประหนึ่งเหวลึกคู่นั้นที่เปลี่ยนเป็นวาววาบยิ่งกว่าเดิม

เขตแดนมรรคเช่นนี้ เรียกได้ว่าล้ำเลิศเหนือธรรมดาจริงๆ ถึงขั้นทำให้เขามีความรู้สึกว่าได้รับการเบิกทางขนานใหญ่

มหามรรคดั่งกระดานหมาก ผู้ฝึกปราณราวตัวหมาก

การประลองหมากเช่นนี้ เลิศล้ำเกินบรรยายจริงๆ!

ยามใคร่ครวญหลินสวินก็ออกโจมตีอย่างเหี้ยมหาญแล้ว

………………………