ตอนที่ 2015 มกุฎที่ไม่เหมือนใคร

Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์

ความจริงก็ไม่แปลกที่ผู้คนคิดไม่ถึง ควรรู้ว่าเขาปู้โจวนี้ยิ่งใหญ่มาก กว้างใหญ่ไพศาลราวกับไม่มีที่สิ้นสุด กลิ่นอายทำลายล้างน่ากลัวปกคลุม ยิ่งเต็มไปด้วยมหัตภัยมากมาย

ก้าวเดินอยู่ภายในก็เหมือนมดปลวก พาให้เกิดความรู้สึกเล็กจ้อย แล้วจะมีใครคิดว่าภูเขาที่ใหญ่ขนาดนี้จะเป็นสมบัติชิ้นหนึ่ง

จู่ๆ หลินสวินก็นึกถึงเรื่องหนึ่ง “จริงสิ เมื่อครู่นี้เจ้าบอกว่าจะให้ข้าพาเจ้าจากไปหรือ”

แท่นมรรคนิ่งเงียบไปนาน ถึงค่อยส่งเสียงหนึ่งออกมา “หากข้าไปอยู่ในมือเจ้า คงเป็นเคราะห์มากกว่าโชค”

“หมายความว่าอย่างไร” หลินสวินขมวดคิ้ว

“เจ้าอ่อนแอเกินไป”

คำตอบของวิญญาณเขาปู้โจวทำเอาหลินสวินสะท้านในใจ คำพูดเช่นนี้เขาได้ยินมาไม่เพียงแค่ครั้งเดียว

บางคนคือการเย้ยหยันและดูถูกล้วนๆ คิดว่าคีรีดวงกมลมีคนที่อ่อนแอเช่นเขาตั้งแต่เมื่อไหร่

บางคนแฝงความผิดหวัง คิดว่าผู้สืบทอดคีรีดวงกมลไม่ควรจะอ่อนแอเช่นนี้…

คำตอบของวิญญาณเขาปู้โจวยิ่งตรงกว่า

“ก็เพราะเจ้าอ่อนแอเกินไป นอกประตูเขาแห่งนี้เจ้าจึงไม่สามารถสัมผัสพลังแห่งเจตจำนงของข้าได้ และไม่อาจรู้ว่าตอนนั้นข้าเคยบอกเจ้าว่า ไม่จำเป็นต้องเข้ามายังที่แห่งนี้ก็สามารถพาข้าออกไปได้…”

ได้ยินคำพูดนี้หลินสวินตะลึงงันไปโดยตรง

พูดเช่นนี้ หมายความว่าที่นอกประตูทลายยามวิญญาณเขาปู้โจวนี้ตามตนมาทีละก้าว ขอเพียงแค่ตนจากไปก็สามารถนำมหาสมบัติแรกกำเนิดอย่างเขาปู้โจวนี้ไปได้เช่นนั้นหรือ

พอคิดถึงตรงนี้หลินสวินก็จนคำพูด กลืนไม่เข้าคายไม่ออกอยู่บ้าง

ตนเลือดอาบวุ่นวายในการต่อสู้อยู่เนิ่นนาน กว่าจะชิงคุณสมบัติการเข้าประตูทลายนี้ได้ กลับกลายเป็นเรื่องเกินความจำเป็นไป

และตอนนี้เองในที่สุดหลินสวินก็เข้าใจแล้วว่า นี่จะต้องเป็นการจัดการของศิษย์พี่จวินหวนแน่ เพื่อที่ว่าหลังจากตนมาถึงเขาปู้โจว จะสามารถพาศุภโชคนี้ออกไปได้ง่ายยิ่งกว่า

น่าเสียดาย…

ตนกลับไม่เข้าใจ!

ทว่าหลินสวินไม่ถึงกับเสียใจภายหลัง หากไม่ใช่เพราะศึกนองเลือดที่ต่อสู้กันถึงที่สุดนี้ จะทำให้ตนได้แจ้งมรรคทะลวงระดับขึ้นมาได้อย่างไร

“ก็เพราะพลังปราณของเจ้าทะลวงระดับ จึงพอจะสามารถสัมผัสการดำรงอยู่ของข้าได้ ทำให้เจ้าสามารถสื่อสารกับข้าได้ตอนนี้”

วิญญาณเขาปู้โจวพูด “แต่สำหรับข้า พลังที่เจ้ามีตอนนี้ยังคง… อ่อนแอเกินไป”

มุมปากของหลินสวินกระตุก ถูกพลังแห่งเจตจำนงของเขาปู้โจวโจมตีเช่นนี้ทำให้เขาอดรู้สึกอัดอั้นไม่ได้

“แม้ตอนนี้ข้าจะอ่อนแอ แต่หลังจากนี้ใช่ว่าจะเป็นเช่นนี้!”

หลินสวินสูดหายใจลึกคราหนึ่ง พูดเสียงขรึม “ส่วนที่เจ้าว่าเป็นเคราะห์มากกว่าโชค ยิ่งไม่อยู่ในสายตาข้า”

ฐานะของเขาเปิดเผยแล้ว ในเขตต้องห้ามเซียนโบราณแห่งนี้ยิ่งสังหารผู้สืบทอดขุมอำนาจใหญ่ไปไม่รู้เท่าไหร่

และนอกเขตต้องห้ามเซียนโบราณ มีเหล่าสัตว์ประหลาดเฒ่าระดับจักรพรรดิควบคุมดูแลอยู่!

หากกังวลและหวาดกลัว เขาจะทำเช่นนี้ได้อย่างไร

“เทียบกับผู้หญิงคนนั้น เจ้าด้อยกว่ามาก แต่ในเมื่อนางเป็นคนให้เจ้ามา ข้าย่อมไม่มีทางปฏิเสธที่จะจากไปกับเจ้า”

คำพูดของเขาปู้โจวเสียดหูมาก แต่กลับทำให้หลินสวินคึกคักขึ้นมา

“แต่ด้วยพลังในตอนนี้ของเจ้า ไม่มีทางควบคุมและใช้เขาปู้โจวได้ และข้าเป็นเพียงพลังแห่งเจตจำนงเสี้ยวหนึ่ง ย่อมไม่มีทางช่วยอะไรเจ้าได้”

วิญญาณเขาปู้โจวพูดต่อ “ตอนนี้ เจ้ามั่นใจหรือว่าจะพาข้าไป”

หลินสวินพูดโดยไม่ต้องคิด “แน่นอน!”

เขาไม่ได้คาดหวังว่ามหาสมบัติแรกกำเนิดที่ช่วงชิงมาได้ชิ้นนี้จะสามารถช่วยอะไรตนได้ แต่มองสมบัตินี้เป็นรากฐานในการสร้างคีรีดวงกมลขึ้นใหม่

นอกจากนี้ก็ไม่มีคำขออื่น!

“ภูเขานี้มีข้อบกพร่อง จึงชื่อว่าปู้โจว (ไม่ครบ ไม่สมบูรณ์)”

เสียงของเขาปู้โจวดังขึ้น “หินเทพที่ภูเขานี้ขาดไป เป็นต้นกำเนิดแกนหลักของภูเขานี้ พลังระเบียบมหามรรคมากมายที่ปกคลุมอยู่บนภูเขานี้ล้วนถือกำเนิดจากที่นี่”

“หินเทพที่ขาดหายไปนี้ตอนนี้อยู่ที่ไหน” หลินสวินอดถามไม่ได้

วิญญาณเขาปู้โจวเงียบไปครู่หนึ่งแล้วเอ่ยว่า “อยู่ใต้เท้าเจ้า”

หลินสวินผิดคาด ครู่หนึ่งถึงตระหนักได้ว่า ที่วิญญาณเขาปู้โจวหมายถึงก็คือแท่นมรรคนี้!

วิญญาณเขาปู้โจวเอ่ย “จุดที่กำแพงหินนี้บกพร่อง ก็คือสถานที่ถือกำเนิดของหินเทพนี้ เจ้าเอาหินเทพนี้ไป ก็จะสามารถเอาเขาปู้โจวทั้งลูกไปได้”

สายตาของหลินสวินมองไป มุมของกำแพงหินที่สูงเสียดฟ้ามีหลุมหนึ่งอยู่จริงๆ ขนาดเท่ากับแท่นมรรคที่อยู่ใต้เท้า

เห็นได้ชัดว่าวิญญาณเขาปู้โจวไม่ได้โกหก

“แต่ตอนที่เจ้าเอาหินเทพนี้ไป พลังของข้าก็จะจมสู่ความสงัดเงียบ นอกจากว่าพลังของเจ้าถึงขั้นสามารถปลุกข้าได้ นัยเร้นลับที่แท้จริงของเขาปู้โจวนี้จึงจะเปิดเผยแก่เจ้า”

เสียงของวิญญาณเขาปู้โจวไร้ซึ่งคลื่นอารมณ์ คิดๆ แล้วก็จริง มันแปลงมาจากพลังเจตจำนงเสี้ยวหนึ่งเท่านั้น เพียงแค่มีจิตวิญญาณเท่านั้น แต่ไม่ใช่มีสติปัญญาอย่างแท้จริง

“เข้าใจแล้ว”

หลินสวินพยักหน้า “แต่ตอนนี้ข้ายังไม่คิดจะจากไป”

เขาเพิ่งฟื้น แม้มั่นใจว่าตอนนี้ได้ก้าวสู่ระดับมกุฎกึ่งจักรพรรดิแล้ว แต่ไม่คุ้นเคยกับพลังในร่างเลยสักนิด ต้องใช้เวลาในการฝึกฝนและควบคุม

ระดับใหม่นี้ หมายความถึงพลังและมรรคาใหม่

หลังจากบรรลุระดับกึ่งจักรพรรดิ พลังที่หลินสวินครอบครองเข้าใกล้ระดับจักรพรรดิแท้มากขึ้นด้วย แต่แข็งแกร่งแค่ไหนนั้น แม้แต่เขาก็ไม่มั่นใจ

ดังนั้นเขายังต้องการเวลาสงบใจสัมผัส

วิญญาณเขาปู้โจวไม่ได้ปฏิเสธ

หลินสวินพลันนั่งขัดสมาธิบนแท่นมรรค เริ่มสงบใจทำสมาธิ หยั่งรู้นัยเร้นลับต่างๆ ของระดับมกุฎกึ่งจักรพรรดิ

กึ่งจักรพรรดิ เหนือกว่าระดับอริยะ และใกล้ยิ่งกับระดับจักรพรรดิ

ระดับนี้แบ่งเป็นสามชั้นฟ้า

การบำเพ็ญสามสายอย่างหลอมกาย หลอมจิต หลอมปราณของผู้ฝึกปราณ จะรวมเป็น ‘เพลิงเทพมหามรรค’

และถูกเรียกอีกอย่างว่า ‘เพลิงสามชั้นกึ่งจักรพรรดิ’!

ควบรวมเพลิงเทพมหามรรคออกมาได้ชนิดหนึ่ง สามารถมองว่าเป็นระดับกึ่งจักรพรรดิหนึ่งชั้นได้

ควบรวมได้สองชนิด คือระดับกึ่งจักรพรรดิสองชั้น

เมื่อเพลิงเทพมหามรรคทั้งสามอย่างหลอมกาย หลอมปราณ หลอมจิตควบรวมออกมาได้ทั้งหมด จึงจะเรียกว่าระดับกึ่งจักรพรรดิสามชั้น

ระดับกึ่งจักรพรรดิส่วนใหญ่บนโลก ล้วนหยุดอยู่ในระดับกึ่งจักรพรรดิหนึ่งชั้น

เหตุผลเพราะว่า ตั้งแต่ฝึกปราณมา ผู้ฝึกปราณเหล่านี้บ้างฝึกหลอมปราณโดยเฉพาะ บ้างฝึกหลอมจิตโดยเฉพาะ บ้างฝึกหลอมกายโดยเฉพาะ

เพราะมรรคาที่เสาะแสวงจำกัดเพียงด้านเดียว ดังนั้นแม้ในอนาคตจะเริ่มฝึกอีกสองสาย แต่หลังจากกลายเป็นระดับกึ่งจักรพรรดิ เนื่องจากรากฐานมหามรรค ทำให้ต้องหยุดอยู่ที่หนึ่งชั้น ไม่สามารถบรรลุได้อีก

อย่างเช่นเหล่ากึ่งจักรพรรดิที่หลินสวินสังหารมาก่อนหน้านี้ อยู่ในระดับกึ่งจักรพรรดิหนึ่งชั้นแทบจะทั้งหมด

และที่แตกต่างจากกึ่งจักรพรรดิทั่วไปคือ หลินสวินในตอนนี้เป็นมกุฎกึ่งจักรพรรดิแล้ว ฝึกมรรคาสามสายมาด้วยกัน หลอมรวมไตรมรรคเป็นหนึ่ง ก่อเกิดหนึ่งเดียวอันสัมบูรณ์นานแล้ว

นี่ก็ทำให้เขาแตกต่างจากมกุฎกึ่งจักรพรรดิคนอื่นๆ ในระดับกึ่งจักรพรรดิหนึ่งชั้นฟ้านี้ เพลิงเทพมหามรรคควบรวมภายในร่างกาย ขณะเดียวกันก็ผสานนัยเร้นลับของมรรคาทั้งสามอย่างหลอมกาย หลอมปราณและหลอมจิตเข้าด้วยกัน

ควรรู้ว่ามกุฎกึ่งจักรพรรดิทั่วไป ไม่ว่าจะควบรวมเพลิงเทพระดับใด ยามเป็นกึ่งจักรพรรดิหนึ่งชั้นฟ้า เพลิงเทพมหามรรคที่ควบรวมออกมา เพียงสามารถหลอมมรรคาได้ชนิดเดียวจากสามสายเท่านั้น!

เช่นนี้ก็สามารถดูออกว่ามรรควิถีของหลินสวินในตอนนี้แตกต่างขนาดไหน เหมือนเป็นอีกหนึ่งประเภทโดยสมบูรณ์!

แต่นี่ก็ไม่ใช่ว่าพลังปราณของหลินสวินจะก้าวกระโดด กลายเป็นผู้แข็งแกร่งกึ่งจักรพรรดิสามชั้นฟ้าได้ในคราเดียว แต่เป็นเพลิงเทพมหามรรคที่เขาควบรวมออกมาแปลกประหลาดเกินไป

หลินสวินเองก็สังเกตเห็นจุดนี้ หยั่งถึงอย่างละเอียดอยู่นาน ก็ได้แค่ตัดสินอย่างคลุมเครือ ว่าแม้เพลิงเทพมหามรรคของตนจะแตกต่าง แต่กลับมีเอกลักษณ์ พลังที่ควบรวมออกมายิ่งแข็งแกร่งไม่ธรรมดา!

‘ระดับกึ่งจักรพรรดิ สามารถควบคุมกฎเกณฑ์ระดับจักรพรรดิที่บกพร่องไม่สมบูรณ์ นี่ก็คือเหตุผลที่ถูกเรียกว่ากึ่งจักรพรรดิ…’

หลินสวินสงบอารมณ์สัมผัสมรรควิถีแห่งตนไปพลาง ใคร่ครวญไปด้วย

‘และข้าฝึกคัมภีร์มหามรรคหวงถิง ด้วยพลังในตอนนี้สามารถไปหยั่งรู้นัยเร้นลับของระดับห้าธรรมได้แล้ว หากฝึกสำเร็จ มีห้าร่างแยก ก็สามารถครอบครองการรับรู้และมรรควิถีที่ไม่ด้อยไปกว่าร่างต้น…’

‘ถึงตอนนั้น ต่อให้เจอการปิดล้อมโจมตีอีก ข้าลงมือคนเดียวก็มีพลังต่อสู้เทียบเท่าหกคนแล้ว!’

เวลาล่วงเลย หลินสวินค่อยๆ จมจ่อมอยู่ในการฝึกปราณ

……

เขตต้องห้ามเซียนโบราณ ส่วนลึกของเทือกเขาแห่งหนึ่ง ด้านล่างยอดเขาที่ไม่สะดุดตาแห่งหนึ่งมีถ้ำใต้ดินตามธรรมชาติอยู่

“อีกไม่ถึงสิบวันเขตต้องห้ามเซียนโบราณก็จะสิ้นสุดลงแล้ว”

เซี่ยอวี่ฮวาตื่นขึ้นจากการทำสมาธิพึมพำ “เวลาผ่านไปไวจริงๆ”

“ก็ไม่รู้ว่าตอนนี้พี่จินเป็นอย่างไรบ้าง เขาเคลื่อนไหวคนเดียว ไม่รู้ว่าจะสามารถช่วงชิงมหาโชคที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับมหาสมบัติแรกกำเนิดนั่นได้หรือไม่”

เหลิ่งซิวเจียที่อยู่ข้างๆ เผยสีหน้ากังวล

“ต้องได้อย่างแน่นอน!”

ดวงตาคู่งามของจินเทียนเสวียนเยวี่ยเผยความแน่วแน่

ข้างๆ ทั้งสามมีแอ่งน้ำที่เต็มไปด้วยไอเย็น ในแอ่งน้ำมีคลื่นสีขาวหิมะเกลือกกลิ้ง กลิ่นหอมสดชื่นตลบอบอวลออกมา

นี่คือแอ่งน้ำที่มหัศจรรย์อย่างที่สุดแห่งหนึ่ง ไอเย็นที่พวยพุ่งออกมาเต็มไปด้วยพลังมหามรรคที่ยากจะจินตนาการ

ในการฝึกปราณครั้งนี้ ทำให้พวกเขาทั้งสามล้วนเก็บเกี่ยวผลประโยชน์ที่คาดไม่ถึง

อันที่จริงหลังจากเข้าสู่เขตต้องห้ามเซียนโบราณ ไม่นานทั้งสามก็ได้เจอกัน และเคลื่อนไหวในฟ้าดินที่เต็มไปด้วยอันตรายนี้ด้วยกัน

พวกเขาไม่โลภในวาสนาอะไร สิ่งที่คิดถึงเป็นอันดับแรกคือจะป้องกันตัวเองอย่างไร เพื่อให้รอดออกจากเขตต้องห้ามเซียนโบราณแห่งนี้

ภายหลังพวกเขาค้นพบถ้ำใต้ดินนี้โดยบังเอิญ รวมถึงแอ่งน้ำเย็นมหัศจรรย์ตามธรรมชาตินี้ด้วย

ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมาทั้งสามก็ซ่อนตัวอยู่ที่นี่ สงบใจฝึกฝน จนกระทั่งตอนนี้ยังไม่ออกจากที่นี่แม้แต่ครึ่งก้าว แต่ก็ไม่ได้เจออันตรายอะไร

เพียงแต่เมื่อเห็นว่าเวลาที่เขตต้องห้ามเซียนโบราณจะปิดม่านใกล้มาเยือน ทั้งสามก็อดนึกถึงหลินสวินไม่ได้ เป็นห่วงเขาขึ้นมา

“หรือไม่พวกเราออกไปสืบข่าวข้างนอกสักหน่อยเป็นอย่างไร”

เหลิ่งซิวเจียเสนอ

จินเทียนเสวียนเยวี่ยกับเซี่ยอวี่ฮวาสบตากัน ใคร่ครวญครู่หนึ่งๆ แล้วตอบรับ

จากนั้นทั้งสามเคลื่อนไหวด้วยกัน ไปจากถ้ำใต้ดินแห่งนี้

แต่พวกเขาเพิ่งจากไปได้ไม่นาน ก็เจอผู้แข็งแกร่งสองคนที่กำลังเสาะหาวาสนาในภูเขาใหญ่

ชายหญิงคู่นี้ฝ่ายชายกำยำ ไหล่กว้างเอวสอบ แววตาน่ากลัว ส่วนฝ่ายหญิงอยู่ในชุดกระโปรงเขียว รูปลักษณ์เย้ายวน ท่าทางอ้อนแอ้น

ทั้งสองล้วนมาจากโลกอื่นในฟ้าดารา

ยามสังเกตเห็นเงาร่างของพวกจินเทียนเสวียนเยวี่ยแต่ไกล ในใจทั้งสองพลันตกตะลึง เผยความระแวงออกมา

ทว่าหลังจากจำฐานะของพวกจินเทียนเสวียนเยวี่ยได้ ทั้งสองก็เผยสีหน้าผ่อนคลาย หว่างคิ้วเผยความดูถูกไม่มากก็น้อย

พวกเขาจะไม่รู้ได้อย่างไรว่ายามอยู่ในแดนลับโลกาสวรรค์ หากไม่ใช่เพราะหลินสวินคุ้มครอง พวกเขาสามคนเกรงว่าคงไม่มีคุณสมบัติเข้ามาในเขตต้องห้ามเซียนโบราณแห่งนี้ด้วยซ้ำ!