ตอนที่ 2016 ไม่ล้มเลิกความคิด

Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์

“ส่งสมบัติในตัวมา จากนั้น… ไสหัวไปซะ!”

ชายที่ร่างกำยำนามว่าเฉิงเสียง สายตาแฝงความเย็นเยียบกวาดมองพวกจินเทียนเสวียนเยวี่ย

“พี่เฉิง พวกเขาคือสหายของหลินสวิน”

หญิงกระโปรงเขียวที่อยู่ข้างๆ เฉิงเสียงเตือนเบาๆ

“กลัวอะไร หลินสวินสังหารเหล่าผู้กล้าหน้าประตูทลาย เรียกได้ว่าเป็นบุคคลที่ไร้ศัตรูในหมู่คนรุ่นเราก็จริง แต่เมื่อการเคลื่อนไหวในเขตต้องห้ามเซียนโบราณปิดม่านลง ผู้ยิ่งใหญ่ที่โลกภายนอกเหล่านั้นจะปล่อยเขาไว้ได้อย่างไร”

ใบหน้าเฉิงเสียงเต็มไปด้วยความไม่พอใจ

“ก็จริง แม้เขาไร้ศัตรูในระดับนี้ แม้จะสามารถชิงมหาสมบัติแรกกำเนิดชิ้นนั้นได้ แต่ยามจากไปจะต้องประสบเคราะห์อย่างแน่นอน”

หญิงชุดเขียวคิดๆ แล้ว ความกังวลในใจก็หายเป็นปลิดทิ้ง

ความดูถูกและชิงชังที่เผยออกมาของทั้งคู่ ทำให้ในใจพวกจินเทียนเสวียนเยวี่ยล้วนเกิดความเดือดดาล

แต่ในเวลาเดียวกันในใจก็ฉงนขึ้นมา

หลินสวินหรือ

ชื่อนี้เหตุใดจึงคุ้นหูขนาดนี้…

อีกอย่าง เหตุใดสองคนนี้จึงคิดว่าพวกเขาเป็นสหายของหลินสวิน

นี่ก็เพราะตั้งแต่เข้าสู่เขตต้องห้ามเซียนโบราณพวกเขาซ่อนตัวมาโดยตลอด ไม่รู้เรื่องที่เกิดขึ้นในเขตต้องห้ามเซียนโบราณแม้แต่น้อย

แน่นอนว่าย่อมไม่รู้ ว่าหลินสวินก็คือจินตู๋อีที่พวกเขารู้จัก

“ยังนิ่งอยู่ทำไม รีบส่งสมบัติมา!”

เฉิงเสียงตะคอก หว่างคิ้วเผยความเหลืออด เต็มไปด้วยไอสังหาร

“หรือพวกเจ้ายังหวังให้หลินสวินมาช่วยพวกเจ้าตอนนี้อีก”

สีหน้าของหญิงกระโปรงเขียวเย็นเยียบขึ้นมา

พวกจินเทียนเสวียนเยวี่ยหัวใจหล่นวูบ พวกเขาเพิ่งเดินออกจากที่ซ่อนก็เจอเคราะห์สังหารเช่นนี้ ทำให้พวกเขารู้สึกทำอะไรไม่ถูก

ตอนนี้เอง เสียงที่ราบเรียบราวกับสายน้ำเสียงหนึ่งดังขึ้น “พี่หลินไม่มาหรอก แต่ข้าจะจัดการแทนเขาเอง”

เงาร่างหนึ่งเดินเข้ามาจากไกลๆ ดวงตากระจ่างใสราวกับทะเลสาบ กลิ่นอายราบเรียบ

แต่พวกเฉิงเสียงต่างขนลุกซู่ สีหน้าเปลี่ยนไปอย่างมาก

“ไป!”

ทั้งสองหนีสุดพลังโดยไม่ลังเล

กลับเห็นชายที่ก้าวเดินจากกลางอากาศคนนั้นชี้ห้วงอากาศลวกๆ สองครั้ง

พรูด! พรูด!

ห่างไปไม่กี่พันจั้ง ร่างของเฉิงเสียงและหญิงกระโปรงเขียวร่วงหล่นจากอากาศ ล้วนถูกพลังดรรชนีน่ากลัวโจมตีทะลุศีรษะ สิ้นชีพทันที

ก่อนตายล้วนไม่ทันได้ตอบสนอง!

พวกจินเทียนเสวียนเยวี่ยสูดหายใจสะท้าน การโจมตีที่ราบเรียบนี้กลับสังหารผู้แข็งแกร่งที่มีคุณสมบัติเข้าสู่เขตต้องห้ามเซียนโบราณสองคน

นี่น่ากลัวมากอย่างไม่ต้องสงสัย!

และในเวลาเดียวกัน พวกจินเทียนเสวียนเยวี่ยก็จำฐานะของผู้มาเยือนได้

หมีอู๋หยา!

ตำนานหนึ่งเดียวในโลกที่ยึดครองอันดับหนึ่งของกระดานราชันอริยะปวงสวรรค์มาหกร้อยปี

เพียงแต่พวกจินเทียนเสวียนเยวี่ยคิดจนหัวแตกก็คิดไม่ออก ว่าหมีอู๋หยาซึ่งมีฐานะเป็นผู้สืบทอดแกนหลักของเรือนมรรคยุทธจักร เหตุใดถึงมาช่วยพวกเขาไว้

“ระดับกึ่งจักรพรรดิ! ไม่… นี่คือระดับมกุฎกึ่งจักรพรรดิ”

ในเวลาเดียวกันจินเทียนเสวียนเยวี่ยก็ค้นพบอีกอย่าง สังเกตเห็นว่ากลิ่นอายของหมีอู๋หยาไม่ใช่ระดับอริยะแล้ว เปลี่ยนเป็นน่ากลัวและลึกล้ำไม่อาจคาดเดายิ่งกว่าเดิม

“อีกสิบวันเขตต้องห้ามเซียนโบราณนี้จะจบลง หากพวกเจ้าเจอพี่หลินก็ฝากบอกเขาว่า ยามออกไปโลกภายนอก หากมีโอกาสหนีจะต้องเคลื่อนไหวในทันที ไม่เช่นนั้น…”

หมีอู๋หยาคิดๆ แล้วก็พูดไว้เพียงเท่านี้ ก่อนหมุนตัวจากไป

ไม่เช่นนั้นอะไร เขาไม่ได้พูดต่อ

แต่ความหมายที่ซ่อนอยู่ ขอแค่ไม่ใช่คนโง่ล้วนฟังออก

เพียงแต่…

พวกจินเทียนเสวียนเยวี่ยยังคิดไม่ตก ว่าเหตุใดหมีอู๋หยาก็คิดว่าพวกเขารู้จักหลินสวิน

หลินสวินนี่เป็นใครกันแน่

เสียดาย ไม่รอให้พวกเขาเอ่ยถาม เงาร่างของหมีอู๋หยาก็จากไปไกลๆ ท่ามกลางฟ้าดินอันกว้างใหญ่แล้ว

“คงไม่ใช่… พี่จินหรอกนะ”

เหลิ่งซิวเจียอดพูดไม่ได้

“เป็นไปได้อย่างไร ตอนที่อยู่เรือนมรรคโลกาสวรรค์พี่จินได้พิสูจน์แล้วว่าเป็นผู้สืบทอดเรือนมรรคคืนกำเนิด หรือคนใหญ่คนโตเหล่านั้นจะมองผิดได้”

เซี่ยอวี่ฮวาขมวดคิ้ว

“หลินสวิน… ข้านึกออกแล้ว ตอนนั้นคนผู้นี้ป่วนแหล่งสถานคุนหลุน สังหารจนเหล่าผู้กล้าทั่วทิศเลือดไหลเป็นสายน้ำ แตกพ่ายทั้งขบวน!”

ดวงตากระจ่างของจินเทียนเสวียนเยวี่ยวาบประกาย มิน่าถึงรู้สึกคุ้นชื่อหลินสวินขนาดนี้

“เพียงแต่ในงานชุมนุมถกมรรคครั้งนี้ หลินสวินนี่ไม่ได้เข้าร่วม… ไม่ถูกสิ… คงไม่ใช่… คงไม่ใช่คุณชายจริงๆ หรอกนะ”

ในใจจินเทียนเสวียนเยวี่ยสะท้าน ตระหนักได้ถึงเรื่องหนึ่ง นางคิดเอาเองว่าฐานะที่แท้จริงของหลินสวินน่าจะเป็นอวี่เสวียน

แต่ตอนนี้จู่ๆ ก็นึกขึ้นได้ว่าในเมื่อฐานะจินตู๋อีเป็นการปลอมแปลงขึ้นมาของคุณชาย ถ้าอย่างนั้นฐานะอวี่เสวียนก็สามารถถูกปลอมแปลงได้เช่นกันไม่ใช่หรือ

“อวี่เสวียน… จินตู๋อี… หลินสวิน”

จินเทียนเสวียนเยวี่ยพึมพำ นึกถึงคำพูดก่อนจากไปของหมีอู๋หยา ในใจนางก็เกิดการคาดการณ์คร่าวๆ

คุณชายที่ตนเคารพนับถืออย่างที่สุด มีความเป็นไปได้สูงมากที่จะเป็นหลินสวิน!

“จากที่หมีอู๋หยาพูด ที่แท้คุณชายเขา… มีความเป็นไปได้สูงมากที่จะช่วงชิงมหาสมบัติแรกกำเนิดชิ้นนั้นมาได้แล้ว…”

ในใจจินเทียนเสวียนเยวี่ยตื่นเต้นขึ้นมาระลอกหนึ่ง อดพูดไม่ได้ “ไป พวกเราเดินทางกันต่อเถอะ ไปสืบข่าวให้แน่ชัด”

……

พร้อมๆ กับเวลาของการออกจากเขตต้องห้ามเซียนโบราณใกล้มาถึง ในเขตต้องห้ามเซียนโบราณไม่ได้เงียบสงบ ในพื้นที่ที่แตกต่างกันทยอยมีความเคลื่อนไหวใหญ่เกิดขึ้น

ข่าวที่หมีอู๋หยาทะลวงระดับบรรลุมกุฎกึ่งจักรพรรดิ ไม่นานก็แพร่สะบัดออกไปอย่างรวดเร็ว ถูกคนไม่น้อยสังเกตเห็น

จากนั้นก็มีขข่าวแพร่ตามมาติดๆ ว่าฮว่าซิงหลี หลิงหงจวงก็ทยอยก้าวสู่ระดับมกุฎกึ่งจักรพรรดิเช่นกัน!

ชั่วขณะหนึ่งดึงดูดสายตาไม่รู้เท่าไหร่ทันที

“ทะลวงระดับในเขตต้องห้ามเซียนโบราณ สามารถหลีกเลี่ยงการเข่นฆ่าของมหาเคราะห์ต้องห้ามได้!”

จนกระทั่งข่าวนี้แพร่ออกไป พลันทำให้ผู้แข็งแกร่งทุกคนเดือดพล่านขึ้นมาทันที

ควรรู้ว่าหากอยู่ในทางเดินโบราณฟ้าดารา ผู้แข็งแกร่งคนใดที่ก้าวสู่ระดับมกุฎกึ่งจักรพรรดิ แทบจะตายเก้ารอดหนึ่ง โอกาสที่จะประสบความสำเร็จริบหรี่มาก

แม้แต่พวกปีศาจที่พรสวรรค์โดดเด่น รากฐานพลังน่ากลัว ก็มีความเป็นไปได้สูงมากที่จะประสบเคราะห์ภายใต้มหาเคราะห์พลิกฟ้านี้

อย่างในโลกใหญ่หงเหมิง ระดับกึ่งจักรพรรดิมีมากมายไม่ใช่เรื่องแปลก แต่จำนวนของมกุฎกึ่งจักรพรรดิกลับน้อยยิ่งกว่าน้อย แทบเป็นตัวตนที่ประหนึ่งสมบัติล้ำค่า

ต่อให้เป็นในขุมอำนาจใหญ่อย่างหกเรือนมรรคใหญ่ สิบเผ่านักรบใหญ่ ผู้สืบทอดที่เป็นมกุฎกึ่งจักรพรรดิก็มีน้อยมาก

พูดสั้นๆ ในระดับกึ่งจักรพรรดิ จะสามารถใช้คำว่า ‘มกุฎ’ ได้หรือไม่นั้น ต่างกันราวฟ้ากับดิน!

เมื่อเป็นเช่นนี้ ยามรับรู้ว่าหากบรรลุระดับในเขตต้องห้ามเซียนโบราณจะสามารถหลีกเลี่ยงมหาเคราะห์ต้องห้ามได้ ผู้แข็งแกร่งเหล่านั้นจะตื่นเต้นเพียงใด

ความจริงพิสูจน์ว่าข่าวลือไม่ใช่เรื่องเท็จ

ในช่วงเวลาหลังจากนั้น บุคคลแห่งยุคที่ครอบครองพลังมกุฎราชันอริยะ เรียกได้ว่าเป็นบุคคลชั้นเลิศในบรรดาคนระดับเดียวกัน เริ่มทยอยทะลวงระดับ หลอมมรรคแห่งมกุฎกึ่งจักรพรรดิ!

“ก็ไม่รู้ว่าหลินสวินทะลวงระดับหรือยัง ข้าอยากไปสู้กับเขาอีกสักครั้ง”

คนบางส่วนหลังจากก้าวสู่ระดับมกุฎกึ่งจักรพรรดิก็อยากรู้อยากลองขึ้นมา สายตาวกกลับไปยังหลินสวินอีกครั้ง

“เพลาๆ หน่อยเถอะ พวกเราสามารถทะลวงระดับขึ้นมาได้ นับประสาอะไรกับคนวิปริตนั่น”

“ไปก็รนหาที่ตาย!”

แต่คนจำนวนมากกว่าล้มเลิกความคิดที่จะประลองกับหลินสวินอย่างชาญฉลาด

ศึกนองเลือดแห่งยุคที่เกิดขึ้นหน้าประตูทลาย จนตอนนี้ยังติดตา ราวกับเงาดำที่ปกคลุมอยู่ในใจของผู้แข็งแกร่งเหล่านี้ ชาตินี้คงไม่อาจสลายได้แล้ว

……

“ที่นี่ไม่ใช่เขาปู้โจวหรอกหรือ”

จินเทียนเสวียนเยวี่ย เซี่ยอวี่ฮวา เหลิ่งซิวเจียมองภูเขาใหญ่กว้างขวางที่ถูกกลิ่นอายทำลายล้างปกคลุมจากไกลๆ ล้วนลอบตกใจไม่สิ้น

พวกเขามุ่งหน้ามาตลอดทาง เพียงเพื่อพิสูจน์เรื่องหนึ่ง

“น่ากลัวเกินไปแล้ว ไม่รู้เลยจริงๆ ว่าประตูทลายที่ว่านั่นอยู่ที่ไหน”

เหลิ่งซิวเจียสีหน้าเคร่งขรึม

“พวกเราจะไปไหม”

สายตาของเซี่ยอวี่ฮวามองไปยังจินเทียนเสวียนเยวี่ย

จินเทียนเสวียนเยวี่ยเองก็ลังเล เขาปู้โจวมีภัยอันตรายและความน่ากลัวซ่อนอยู่ ถ้าหาหลินสวินไม่เจอ กลับทิ้งชีวิตของตนที่นั่นก็จะไม่คุ้ม

“ไม่จำเป็นต้องไปแล้ว เขาจะต้องออกมาเองแน่”

จู่ๆ เสียงหนึ่งก็ดังขึ้น ภิกษุในชุดสงฆ์ แววตาอ่อนโยน หน้าผากเกลี้ยงเกลา ท่าทางราวกับเด็กหนุ่มคนหนึ่งปรากฏตัวกลางอากาศ

หลิงเคอจื่อ!

พวกจินเทียนเสวียนเยวี่ยจำได้ตั้งแต่แวบแรก

หลิงเคอจื่อคล้ายต้องการทำลายความกังวลในใจพวกจินเทียนเสวียนเยวี่ย พูดเสริมอีกประโยคว่า “ข้าเองก็รอเขาอยู่ จะมอบทรัพย์หลังศึกส่วนหนึ่งให้เขา”

พวกจินเทียนเสวียนเยวี่ยสบตากัน ยังคงตื่นตัวและระแวดระวัง

หลิงเคอจื่อเองก็ไม่ได้อธิบายมากไปกว่านี้ สายตาของเขามองไปรอบๆ แล้วพูดว่า “เขาปู้โจวใหญ่มาก แต่ไม่ว่าใครที่มุ่งหน้าไปยังประตูทลายนั่นจะต้องผ่านที่นี่ ในขณะเดียวกันหากหลินสวินออกมาจากประตูทลาย จะต้องปรากฏในพื้นที่แห่งนี้แน่”

“หืม?”

ทันใดนั้นหลิงเคอจื่อนัยน์ตาหดรัด ขมวดคิ้วพูด “ยังไม่ตายใจหรือ หรือคิดเองเออเองว่าก้าวสู่ระดับมกุฎกึ่งจักรพรรดิแล้วก็จะไม่ต้องกลัวเจ้าหมอนั่นแล้ว”

เขาสะบัดแขนเสื้อคราหนึ่ง

ละอองแสงแถบหนึ่งไหลเวียน ปกคลุมพวกจินเทียนเสวียนเยวี่ยที่อยู่ข้างๆ ไว้ภายใน จากนั้นสื่อจิตเสียงเบา ‘อย่าส่งเสียง’

พวกจินเทียนเสวียนเยวี่ยตกตะลึง เงยหน้ามองไปจึงพบว่าไกลออกไปลิบๆ ปรากฏเงาร่างเป็นสายๆ แต่ละคนกลิ่นอายล้วนน่ากลัวอย่างหาที่เปรียบไม่ได้

ผู้นำก็คือจิ่งเทียนหนานนั่นเอง!

จิ่งเทียนหนานเหลือบมองจุดที่หลิงเคอจื่อยืนอยู่ ดูคล้ายทั้งตั้งใจและไม่ตั้งใจ

จากนั้นเขาสูดหายใจลึกคราหนึ่ง มองเขาปู้โจวอันสูงใหญ่โอ่อ่านั่นพร้อมพูดว่า “ทุกท่าน พวกเจ้าแน่ใจหรือว่าจะเคลื่อนไหวพร้อมกับข้าคนแซ่จิ่ง พวกเจ้าคงรู้ดีว่าหากหลินสวินสามารถก้าวสู่ระดับมกุฎกึ่งจักรพรรดิได้เช่นกัน ศักยภาพของเขาจะน่ากลัวเพียงใด”

ข้างๆ จิ่งเทียนหนานยังมีผู้แข็งแกร่งอีกห้าคน เป็นผู้สืบทอดแกนหลักเรือนมรรคจักรวาลสามคน และผู้สืบทอดแกนหลักเรือนมรรคยุทธจักรสองคน

ในนั้นมีซางจื่อเหยี่ยนที่เคยถูกหลินสวินชิงดาบไร้วิชา

ในศึกนองเลือดก่อนหน้านี้ แม้เขาจะถูกหลินสวินกดข่มจนบาดเจ็บสาหัส แต่ไม่ได้ประสบเคราะห์จนสิ้นชีพ

ครั้งนี้หลังจากก้าวสู่ระดับมกุฎกึ่งจักรพรรดิ จึงหมายจะชิงดาบไร้วิชากลับมาอีกครั้ง!

ได้ยินคำถามของจิ่งเทียนหนาน ซางจื่อเหยี่ยนพูดด้วยใบหน้าไร้อารมณ์ “หากสถานการณ์ผิดปกติ ข้าย่อมมีวิธีจัดการ”

คนอื่นๆ ต่างเงียบยอมรับ

“เช่นนั้นก็ดี หากพวกเจ้าโชคร้ายประสบเคราะห์ อย่าโทษว่าข้าคนแซ่จิ่งไม่เตือน” จิ่งเทียนหนานพูดเสียงขรึม

“มาเพราะหลินสวินตามคาด…”

หลิงเคอจื่อเห็นเช่นนี้ ในสายตาวาบประกายฉลาดเฉลียว ลอบกล่าวในใจ ‘ตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบัน พิบัติเคราะห์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดบนเส้นทางการฝึกปราณ บางทีอาจจะเป็นความใจคด โลภ โกรธ โง่ เกลียด รัก ชัง หวัง… พิบัติเคราะห์แห่งความโลภ จะมีสักกี่คนที่ได้รับการยกเว้น’

คิดถึงตรงนี้เขาถอนหายใจในใจคราหนึ่ง

ไม่ได้พูดอะไรมากไปกว่านี้

แต่ตอนที่พวกจิ่งเทียนหนานเตรียมจะเคลื่อนไหว จู่ๆ เสียงกึกก้องประหลาดระลอกหนึ่งพลันดังออกมาจากส่วนลึกของเขาปู้โจว…