ลายมรรคเปล่งประกาย หวีดร้องดั่งสายฝน

หากไม่ได้เห็นด้วยตาตัวเอง ย่อมไม่อาจบรรยายความยิ่งใหญ่ของภาพนั้นได้สักนิด

และภายใต้การเข่นฆ่าเช่นนี้ เฒ่าดึกดำบรรพ์ระดับบรรพจารย์จักรพรรดิคนแล้วคนเล่าถูกสังหาร กายสิ้นมรรคสลาย น้ำเลือดสีแดงสดย้อมฟ้าดินให้เป็นสีแดงบาดตา

นี่เป็นภาพที่ทำให้ทั่วหล้าสั่นสะท้าน ทำให้สรรพชีวิตสิ้นหวังได้

บรรพจารย์จักรพรรดิ สูงส่งและแข็งแกร่ง โอหังเหนือทั่วหล้า หยิ่งผยองเหนือห้วงอากาศปานใด ประหนึ่งนายเหนือหัวบนทางเดินโบราณฟ้าดาราแห่งนี้

แต่ในตอนนี้กลับถูกสังหารอย่างไร้ปรานีไปทีละคน!

พวกเขาหลบหนีอย่างบ้าคลั่ง ต้านทานอย่างเสียสติ ทุ่มพลังทั้งหมดที่มี แต่ภายใต้การถล่มสังหารของลายมรรคเปล่งประกายเต็มฟ้านั้นกลับดูไร้พลังได้ปานนั้น…

เฒ่าโดดเดี่ยวกับราชครูหลบหนีไปไกลนานแล้ว เพราะพวกเขาต่างไม่อาจแทรกแซงได้ เมื่อได้เห็นภาพนองเลือดภาพแล้วภาพเล่าที่เกิดขึ้น พวกเขาก็สูดหายใจสะท้านอย่างอดไม่ได้ ดวงตาแข็งทื่อ

พวกรั่วซู่ หลี่เสวียนเวยก็คุมความสะท้านที่ผุดขึ้นในใจไว้ไม่อยู่

ปีนั้นจักจั่นทองตัวนั้นหมอบอยู่นอกภูเขาสำนักคีรีดวงกมล ตัวเล็กจ้อยปานนั้น แต่กลับถูกอาจารย์ชื่นชมว่ามรรคสูงล้ำฟ้า

จนกระทั่งตอนนี้ พวกเขาจึงรู้ซึ้งถึงพลังที่แท้จริงของคำว่า ‘มรรคสูงล้ำฟ้า’

ด้วยระดับของพวกเขาในตอนนี้ ล้วนสัมผัสได้ถึงความตระการตาหาใดเทียบ ในใจมีเพียงความคิดเดียวว่า ไม่แน่อาจจะมีเพียงคนอย่างศิษย์พี่ใหญ่กับศิษย์พี่รองถึงเทียบสูงต่ำกับคนผู้นี้ได้กระมัง

ส่วนหลินสวิน…

เห็นเพียงว่าหลังชายหนุ่มจักจั่นทองลงมือ บรรพจารย์จักรพรรดิ ณ ที่นั้นก็ร่วงโรยราวสายฝน ทำเอาตาเบิกกว้างทันที สั่นสะท้านในใจ

ทุกอย่างที่ได้เห็นในวันนี้ล้วนเหนือกว่าจินตนาการของเขาไปโดยสิ้นเชิง ทั้งยังทำให้เขารู้ซึ้งถึงความห่างชั้นของตัวเอง

มกุฎกึ่งจักรพรรดิ อาจเรียกได้ว่าเป็นผู้แข็งแกร่งที่สุดใต้ระดับจักรพรรดิ สามารถทำให้ผู้ฝึกปราณส่วนมากบนโลกนี้ยกย่องเชิดชู

แต่พอเทียบกับระดับจักรพรรดิ กลับด้อยกว่ามาก และควรรู้ว่าระดับจักรพรรดิแบ่งออกเป็นเก้าชั้น ไหนจะบุคคลระดับบรรพจารย์จักรพรรดิอีก!

และในศึกตรงหน้านี้ บรรพจารย์จักรพรรดิ… ยังทำอะไรไม่ได้!

เทียบกันตามลำดับเช่นนี้ หลินสวินถึงเข้าใจว่ามรรควิถีที่ตนมีในตอนนี้แตกต่างขนาดไหนเมื่อเทียบกับยอดยักษ์ใหญ่ที่แท้จริง

ไม่อาจเทียบได้สักนิด!

‘ศิษย์น้อง เจ้าฝึกปราณจนตอนนี้ ยังไม่ถึงร้อยปีก็เป็นระดับมกุฎกึ่งจักรพรรดิคนหนึ่งแล้ว ผู้สืบทอดคีรีดวงกมลอย่างพวกเราไม่มีใครเทียบกับเจ้าได้สักคน’

เสียงของรั่วซู่ดังขึ้นในโสตประสาทของหลินสวิน ‘มองดูระดับบรรพจารย์จักรพรรดิเหล่านั้น แต่ละคนอยู่มาแล้วไม่รู้กี่ปี ถ้าให้เวลาเจ้ามากพอ เจ้าจะต้องประสบความสำเร็จกว่าพวกเขาแน่นอน!’

นางคล้ายรับรู้ได้เช่นกันว่าเหตุการณ์ที่ได้เห็นในวันนี้แต่ละภาพ จะกระทบกระเทือนจิตใจหลินสวินอย่างยากจินตนาการ ดังนั้นจึงใส่ใจดูหลินสวินอยู่ตลอด ด้วยกลัวว่าจิตมรรคของเขาจะถูกสั่นคลอน

‘วันนี้เจ้าอยู่ในการประชันหมากยิ่งใหญ่ครั้งนี้ ได้พบ ได้เห็น ได้สัมผัส มองไปทั้งทางเดินโบราณฟ้าดารา จะมีคนรุ่นเดียวกันคนไหนมีประสบการณ์อย่างเจ้า’

‘และประสบการณ์เช่นนี้ จะเป็นประโยชน์กับการฝึกปราณของเจ้าในภายภาคหน้า’

เสียงของรั่วซู่ประหนึ่งน้ำพุอันอ่อนโยนใสกระจ่าง ดังขึ้นในใจของหลินสวิน ทำให้ใจเขาแปรเปลี่ยนเป็นสงบและผ่องแผ้ว

‘ขอบคุณศิษย์พี่ที่ชี้แนะ’

หลินสวินเอ่ยจริงจัง

เขาเองก็รู้ดีว่าการได้เข้าร่วมการประชันหมากยิ่งใหญ่อย่างเต็มตัวในวันนี้ ต่อให้เป็นเพียงผู้เฝ้ามองคนหนึ่ง แต่นี่ก็เรียกได้ว่าอัศจรรย์เป็นที่สุด ทำให้เขาได้ประโยชน์ไปชั่วชีวิต

เพียงครู่เดียวเท่านั้น

การห้ำหั่น ณ ที่นั้นก็ปิดฉากลงแล้ว เฒ่าดึกดำบรรพ์ระดับบรรพจารย์จักรพรรดิทั้งสิ้นสิบห้าคนต่างถูกสังหารคาที่ เลือดสาดกระเซ็นไปทั้งนภาคราม

ชายหนุ่มจักจั่นทองยืนอยู่กลางอากาศตั้งแต่เริ่มจนจบ เรียบเฉยยากจับต้อง

ถ้าไม่ได้เห็นกับตา ใครจะกล้าเชื่อว่าชายหนุ่มผู้สุภาพอ่อนโยนเช่นนี้ จะกำราบบรรพจารย์จักรพรรดิสิบห้าคนได้ในเวลาอันสั้น

เรื่องนี้หากกระจายออกไป ทั้งฟ้าดาราจะต้องสะท้านสะเทือน!

และบริเวณที่อยู่ไกลลิบ ยังมีระดับจักรพรรดิจำนวนหนึ่งจับตามองภาพนองเลือดหาใดเทียบนี้เช่นกัน แต่ละคนต่างตกตะลึงจนขนลุกเกรียว หนาวสะท้านไปทั้งตัว

ความแข็งแกร่งของจักรพรรดิยุทธ์ เหิมเกริมหยิ่งผยอง จองหองทะลุเมฆา อหังการเหลือประมาณ

แต่ชายหนุ่มจักจั่นทองผู้นี้ดูคล้ายราบเรียบสงบนิ่ง แต่อานุภาพที่เผยออกมาโดยไม่ตั้งใจกลับไม่ด้อยไปกว่าจักรพรรดิยุทธ์!

เขาเป็นใครกัน

ทำไมบนโลกนี้ถึงมีคนเช่นเขา

“ศิษย์เอ๋ย สักวันหนึ่งหากเจ้าทัดเทียมเขาได้ ต่อให้ข้าผู้เป็นอาจารย์ตายไปก็ยิ้มลงเมืองผีได้”

บรรพจารย์จักรพรรดิฉานถูทอดถอนใจ

“อาจารย์ ขนาดท่านยังไม่ไหว ข้าก็ยิ่งไม่ไหว”

หลิงเคอจื่อมองไม่เห็นความเป็นไปของศึกนี้สักนิดเช่นเดียวกับหลินสวิน แต่เขากลับรู้ดีว่าผู้ที่กำราบระดับบรรพจารย์จักรพรรดิได้มากมายน่ากลัวปานไหน และคิดจะเทียบกับคนเช่นนี้ในภายหน้า ช่างเป็นเรื่องที่ไม่อาจจินตนาการได้

“ไม่เอาไหน”

มือข้างหนึ่งของบรรพจารย์จักรพรรดิฉานถูตบใส่ศีรษะโล้นของหลิงเคอจื่อ

อีกด้านหนึ่งเสวียนจิ่วอิ้นเอ่ยถามอย่างงุนงงว่า “ท่านพ่อ บรรพบุรุษตระกูลเสวียนของเราหาคนที่ร้ายกาจเหมือนคนนั้นได้สักคนหรือไม่”

เสวียนซั่งเฉินมุมปากกระตุกไปครู่หนึ่ง สักพักถึงโพล่งออกมาคำเดียวว่า “มี”

“มีหรือ” เสวียนจิ่วอิ้นกังขา

“แน่นอน”

แววประหลาดปรากฏขึ้นในดวงตาเสวียนซั่งเฉิน “เจ้าลูกชาย จำไว้เสมอว่าพวกเราแซ่อะไร!”

……

กลางฟ้าดิน กลิ่นคาวเลือดเข้มข้น เขม่าควันอบอวล

ควันหลงจากการต่อสู้โกลาหลถาโถมอยู่ในห้วงอากาศ และศึกอันดุเดือดที่ส่วนลึกของวังวนเวิ้งฟ้านั้นยังคงดำเนินต่อไป

เพียงแต่ขณะนี้สายตาของทั้งที่นั้นต่างถูกชายหนุ่มจักจั่นทองที่ยืนอยู่กลางอากาศดึงดูด

“สหายยุทธ์ผู้นี้ หรือจะบรรลุระดับบรรพจารย์ไปแล้ว”

เฒ่าโดดเดี่ยวเหม่อไปครู่สั้นๆ ก่อนเอ่ยปากถามอย่างอดไม่ได้

จักจั่นทองส่ายหัว เอ่ยว่า “ระดับการฝึกปราณไม่สำคัญกับข้าแล้ว”

นี่หมายความว่าอย่างไร

บำเพ็ญมหามรรค การแบ่งสูงต่ำตัดสินความแข็งแกร่งและอ่อนแอของมรรควิถีที่ครอบครอง จะไม่สำคัญได้อย่างไร

มีเพียงเฒ่าโดดเดี่ยวกับราชครูที่คล้ายตระหนักอะไรบางอย่าง ต่างเผยสีหน้าตกตะลึง

“จะตัดสินแพ้ชนะแล้ว…”

จักจั่นทองพูดเบาๆ ดวงตาฉายแววลึกลับสุดหยั่ง คล้ายเห็นภาพการต่อสู้ในส่วนลึกของวังวนเวิ้งฟ้าหมดแล้ว

ทุกคนในที่นั้นล้วนใจสั่นสะท้าน

……

โลกใหญ่หงเหมิง ราตรีนิรันดร์ปกคลุม เปี่ยมไปด้วยกลิ่นอายเคราะห์ไพศาลราวกับวันโลกาวินาศ ทำให้สรรพชีวิตมากมายหวาดผวา ตกอยู่ในความประหวั่นพรั่นพรึงอย่างบอกไม่ถูก

และหลังจากจักจั่นทองสังหารเฒ่าดึกดำบรรพ์ระดับบรรพจารย์จักรพรรดิเหล่านั้นแล้ว ในขุมอำนาจใหญ่อย่างหกเรือนมรรคใหญ่ สิบเผ่านักรบใหญ่ และเผ่าจักรพรรดิดึกดำบรรพ์ต่างก็วุ่นวายหวาดวิตก

“ทำไมบาดเจ็บล้มตายกันหนักหน่วงเช่นนี้”

“เศษเดนคีรีดวงกมลนั่น หรือจะยังต้านการโจมตีของพลังระเบียบต้องห้ามได้ด้วย”

“ไม่…! ผู้อาวุโสร่วงหล่นไปได้อย่างไร!”

เสียงที่เผยความเสียขวัญและตื่นตะลึงแผ่ขยายไปในหมู่ขุมอำนาจใหญ่เหล่านี้

แม้ไม่ได้เข้าร่วมศึกนี้ แต่ด้วยรากฐานพลังของขุมอำนาจใหญ่เหล่านี้ ก็ยังคงรู้เรื่องที่เกิดขึ้นในการประชันหมากครั้งนี้ได้ทันที

ครั้งได้รู้ว่าตอนนี้เหล่าบรรพจารย์จักรพรรดิที่เข้าร่วมการประชันหมากคราวนี้แทบจะถูกสังหารจนหมด ไม่รู้กี่คนที่หน้ามืดไปครู่หนึ่ง ฟ้าดินหมุนคว้าง รู้สึกเหมือนถูกสายฟ้าฟาด

ถ้าไม่ใช่รู้ว่าจอมจักรพรรดิไร้นามลงมือกำราบจักรพรรดิยุทธ์แล้ว เกรงว่าขุมอำนาจใหญ่เหล่านี้จะตกอยู่ในความโกลาหลวุ่นวายไปนานแล้ว

นี่เป็นสิ่งที่รับได้ยากเกินไปแล้วจริงๆ

ควรรู้ว่าคราวนี้เพื่อต่อกรกับผู้สืบทอดคีรีดวงกมล ชิงเอามหาสมบัติแรกกำเนิดมา เพียงแค่ในโลกใหญ่หงเหมิงก็มีบุคคลระดับบรรพจารย์จักรพรรดิหลายสิบคนลงมือแล้ว!

เช่นบรรพจารย์จักรพรรดิที่อยู่ในสามเรือนมรรคใหญ่อย่างจักรวาล ยุทธจักร ดึกดำบรรพ์ แทบจะออกเคลื่อนไหวเต็มกำลัง

ในสถานการณ์เช่นนี้ยังมีพลังระเบียบต้องห้ามเขย่าขวัญอีก มองไปทั้งทางเดินโบราณฟ้าดารายังเรียกได้ว่าเป็นกำลังพลชั้นยอดที่ไม่อาจมีศัตรูใดเทียบเทียม!

แต่ใครจะคิดว่าต่อให้อยู่ในสถานการณ์เช่นนั้น ระดับบรรพจารย์จักรพรรดิกลับประสบเคราะห์ มลายเป็นเถ้าธุลีพลิ้วลอยหายไปทีละคน

ส่วนระดับจักรพรรดิที่ตายไปในการประชันหมากยิ่งไม่ใช่ส่วนน้อย!

บรรพจารย์จักรพรรดิ เป็นบรรพจารย์แห่งมรรคสายหนึ่ง ต่อให้อยู่ในขุมอำนาจอย่างเรือนมรรคจักรวาล ดึกดำบรรพ์ ยุทธจักร จำนวนของระดับบรรพจารย์จักรพรรดิก็นับนิ้วได้

ตายไปมากมายขนาดนี้ในคราวเดียว แรงโจมตีเช่นนี้จะหนักหน่วงเกินไปแล้ว สามารถทำให้พลังดั้งเดิมของพวกเขาเสียหาย ถึงขั้นสั่นคลอนถึงรากฐานของสำนักพวกเขา!

ที่เดียวที่ไม่ได้รับผลกระทบก็คือเรือนมรรคโลกาสวรรค์

แต่เมื่อได้รู้ข่าวที่เรียกได้ว่าน่าสะท้านใจเหล่านี้ เฒ่าดึกดำบรรพ์ในเรือนมรรคโลกาสวรรค์ทั้งมวลต่างรับรู้ได้ว่า…

ไม่ว่าผลลัพธ์ของการประชันหมากยิ่งใหญ่คราวนี้จะเป็นอย่างไร รูปการณ์ของทั้งทางเดินโบราณฟ้าดาราต่างก็เกิดการเปลี่ยนแปลงพลิกฟ้าพลิกดินแล้ว

ฟ้า จะเปลี่ยนแล้ว!

……

วังวนเวิ้งฟ้าเริ่มส่งเสียงอึกทึกรุนแรง ปรากฏร่องรอยโกลาหลอันตราย พลังต่อสู้น่ากลัวอึงอลเหิมเกริมอยู่ภายในนั้น แค่เสียงห้ำหั่นที่แว่วออกมาก็น่าอกสั่นขวัญแขวน ประหวั่นพรั่นพรึงเพราะสิ่งนี้

ในที่สุดวังวนเวิ้งฟ้านั้นก็ถล่มลงมากะทันหัน พร้อมกับเสียงระเบิดสะเทือนฟ้าดินเสียงหนึ่ง!

ตูม!

ชั่วพริบตานั้นคล้ายกับเวิ้งฟ้ายุบตัว หมื่นโลกทั่วหล้าทั้งทางเดินโบราณฟ้าดาราพลันสั่นระรัว สิ่งมีชีวิตไม่รู้เท่าไรต่างตกใจจนวิญญาณแทบหลุดออกจากร่างในขณะนี้

ชั่วพริบตาที่วังวนเวิ้งฟ้านั้นถล่มลง พลังระเบียบต้องห้ามที่โถมซัดเหมือนน้ำท่วมซึ่งสั่งสมมานานแล้ว ไหลหลั่งลงมาจากเวิ้งฟ้าแล้วกระจายตัวออกไป

ชายหนุ่มจักจั่นทองสะบัดแขนเสื้อโดยไม่ลังเล

แสงทองเต็มฟ้าพุ่งขึ้น แปลงเป็นม่านแสงแถบหนึ่งปกคลุมพวกหลินสวิน รั่วซู่ไว้ภายใน ทำให้ทุกคนรอดพ้นอันตรายคราวแล้วคราวเล่า หลบการโจมตีของพลังน่ากลัวเช่นนี้ได้

ครู่หนึ่งความปั่นป่วนทั้งหมดนี้ถึงค่อยๆ คืนสู่ความสงบ

เมื่อครรลองสายตากลับมาแจ่มชัด ก็เห็นว่าฟ้าดินแห่งนี้กลายเป็นเศษซากโดยสมบูรณ์ ทุกที่มีแต่ร่องรอยพังพินาศยับเยิน ห้วงอากาศมีรอยแยกมหึมารอยแล้วรอยเล่ายืดขยายไปไกล

เวิ้งฟ้าขมุกขมัว กลิ่นอายทำลายล้างอบอวลในอากาศ เมื่อมองไปก็เห็นว่าฟ้าดินแห่งนี้ราวกับถูกทำลายแหลกกระจุย!

หลินสวินสูดหายใจหนาวเยือกอย่างอดไม่ได้

“ศิษย์พี่ใหญ่ล่ะ”

“ศึกนี้ใครชนะกันแน่”

พวกรั่วซู่แผ่ขยายจิตรับรู้กวาดไปทั้งที่นั้น สีหน้าแต่ละคนต่างเจือไปด้วยความกระวนกระวาย

“ชนะแล้ว…”

ไกลออกไปชายหนุ่มจักจั่นทองยืนอยู่ท่ามกลางฟ้าดินที่พังพินาศย่อยยับ เสื้อผ้าโบกปลิวตามลม ในดวงตากระจ่างเรียบเฉยเผยแววเหม่อลอยอย่างเห็นได้ยาก

ผลลัพธ์นี้เดิมก็อยู่ในความคาดหมายของเขา แต่พอเกิดขึ้นจริงๆ ก็ยังทำให้เขารู้สึกสั่นสะท้านอย่างประหลาด คราวนี้ ในที่สุดก็… ชนะแล้ว…

ก็ในตอนนี้เองห้วงอากาศส่งเสียงครั่นครืน ฟ้าดินโกลาหล เงาร่างหนึ่งพุ่งขึ้นมาจากผืนดิน

ดุจเปลวเพลิงลุกโชนสายหนึ่งพุ่งออกมาจากความพินาศย่อยยับ ส่องแสงบนฟ้าดินที่ถูกความมืดมนกดทับนั้น

เงาร่างนั้นมีบาดแผลเต็มตัว เลือดสดๆ หลั่งริน แต่กลับยังจองหองและอวดดีได้ปานนั้น พลานุภาพที่ร่างนั้นปล่อยออกมายังสะท้านเก้าชั้นฟ้าเหมือนเดิม

ชั่วพริบตาที่เงาร่างนี้ปรากฏตัว กาลเวลาเหมือนหยุดนิ่ง ภาพคล้ายหยุดชะงัก กลายเป็นแสงเดียวท่ามกลางฟ้าดินแห่งนี้