หลังจากการ ‘แลกเปลี่ยนเรียนรู้’ ครั้งนี้สิ้นสุดลง หลินสวินหายใจโรยรินแล้ว นอนอยู่บนพื้นหญ้าริมทะเลสาบราวกับปลาเค็มตัวหนึ่ง สายตาว่างเปล่า
เขาเป็นมกุฎกึ่งจักรพรรดิ รากฐานแข็งแกร่งถึงขั้นเหนือจินตนาการ กฎเกณฑ์กึ่งจักรพรรดิที่ครอบครองก็แทบจะไม่ต่างจากระดับจักรพรรดิแท้
แต่ในการแลกเปลี่ยนเรียนรู้กับซีในช่วงหลายวันมานี้ เขาถูกทารุณจนเหมือนปลาเค็มตัวหนึ่งทุกครั้ง ใช้ทุกวิธีต้านทานก็ไม่มีประโยชน์
อะไรที่เรียกว่าสิ้นหวัง
ในที่สุดหลินสวินก็รับรู้แล้ว
จนกระทั่งครู่ใหญ่ หลินสวินจึงได้สติจากความรู้สึกไร้เรี่ยวแรงและชาวาบนั้น
เย่จื่อพุ่งมาอย่างรวดเร็ว เด็ดโอสถล้ำค่าท่อนแล้วท่อนเล่ายัดเข้าปากหลินสวิน
ช่วยไม่ได้ พลังกายของหลินสวินแห้งเหือดนานแล้ว แม้แต่เรี่ยวแรงจะยกมือยังไม่มี
“ผู้อาวุโส การแลกเปลี่ยนเรียนรู้เช่นนี้สมควรจะสิ้นสุดลงแล้วกระมัง”
ผ่านไปอีกครู่หนึ่ง เมื่อหลินสวินรู้สึกถึงพลังที่พวยพุ่งไปทั่วร่างใหม่อีกครั้งถึงหันหน้าไปอย่างยากลำบาก มองไปยังซีที่นั่งอยู่บนกิ่งต้นหลิว
“หือ รีบอะไร รอเมื่อไหร่ที่จอมจักรพรรดิไร้นามคนใหม่มา เมื่อนั้นการแลกเปลี่ยนเรียนรู้นี้ก็จะสิ้นสุดลง”
ซีเสียงราบเรียบ
ภาพตรงหน้าหลินสวินดำมืดไประลอกหนึ่ง
หากจอมจักรพรรดิไร้นามคนใหม่นั่นไม่มาเสียที หลังจากนี้ไม่ใช่ว่าตนต้องถูกเหยียบย่ำ ทรมาน และทารุณเช่นนี้ไปเรื่อยๆ หรือ
“หลินสวิน พลังปราณของเจ้าทะลวงแล้ว”
จู่ๆ เย่จื่อก็ส่งเสียง น้ำเสียงแฝงความตกใจเสี้ยวหนึ่ง
หลินสวินอึ้งไป สัมผัสกับการเปลี่ยนแปลงอันมหัศจรรย์ที่กำลังเกิดขึ้นทั่วร่างแล้วอดอึ้งงันไม่ได้
ทะลวง… เช่นนี้เลยหรือ!?
แววตาเขาตะลึงไปอีกระลอก
ครั้งก่อนยามจะทะลวงเข้ารู้ระดับมกุฎกึ่งจักรพรรดิ เขาผ่านการเข่นฆ่านองเลือดที่ยากจะพบเจอหน้าประตูทลาย สุดท้ายพาร่างที่บาดเจ็บสาหัสใกล้ตายปลดปล่อยถึงขีดสุด พุ่งเข้าประตูทลายไป
การทะลวงระดับครั้งนั้น เกิดขึ้นภายใต้อาการหมดสติ
แต่ตอนนี้ห่างจากการทะลวงระดับครั้งก่อนแค่เดือนกว่าเท่านั้น แต่พลังปราณของเขากลับเปลี่ยนแปลงอีกครั้ง ก้าวสู่มกุฎกึ่งจักรพรรดิสองชั้นฟ้าแล้ว!
ความเร็วในการทะลวงระดับที่รวดเร็วเช่นนี้ เรียกได้ว่าน่าตกตะลึงยิ่ง ทำเอาตัวหลินสวินเองยังรู้สึกเหลือเชื่อ
“สิบวันก่อนหน้านี้ รวมแล้วเจ้าแลกเปลี่ยนเรียนรู้กับจักรพรรดิกระบี่นภาประสานสิบเก้าครั้ง สิบห้าครั้งแรกล้วนจบลงที่ความพ่ายแพ้ หลังจากครั้งที่สิบห้าก็เริ่มพลิกสถานการณ์ ครอบครองพลังกดดันจักรพรรดิกระบี่นภาประสาน”
เย่จื่อที่อยู่พูดอย่างรวดเร็ว “แต่พลังจากจักรพรรดิกระบี่นภาประสานสำแดงพลังต่อสู้สามส่วน เจ้าตกสู่สถานการณ์พ่ายแพ้ถูกกดข่มอีกครั้ง”
“การแลกเปลี่ยนเรียนรู้เช่นนี้ แม้พ่ายแพ้ต่อเนื่อง แต่กลับทำให้เจ้าได้รับการเคี่ยวกรำถึงขีดสุดในการต่อสู้ มรรควิถีและพลังต่อสู้แห่งตนล้วนมั่นคงและเปลี่ยนแปลงไปอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน”
“และในสิบวันนี้ ซีแลกเปลี่ยนกับเจ้ามาสิบครั้ง ทุกครั้งล้วนบีบจนเจ้าสู้สุดกำลัง ใช้พลังจนแห้งเหือดถึงค่อยเลิกรา นี่เหมือนได้นิพพานครั้งแล้วครั้งเล่า ทำให้พลังของเจ้าเกิดการเปลี่ยนแปลงถึงขีดสุด”
พูดถึงตรงนี้ เย่จื่อพูดอย่างชื่นชม “ที่ยากที่สุดคือ ทุกครั้งที่ซีลงมือ เรี่ยวแรงล้วนพอดี หากหนักไปนิดก็จะทำลายฐานมรรคของเจ้า เบาไปก็ไม่สามารถทำให้ศักยภาพแฝงของเจ้าปลดปล่อยถึงขีดสุด ฝีมือเช่นนี้เรียกได้ว่ามหัศจรรย์อย่างที่สุด”
หลินสวินอึ้งไป “เจ้าพูดเช่นนี้ หรือข้ายังต้องซาบซึ้งบุญคุณด้วย”
เย่จื่อพูดอย่างจริงจัง “แค่หนึ่งเดือนเท่านั้นก็ทำให้พลังปราณของเจ้าทะลวงขั้น หากเป็นผู้ฝึกปราณคนอื่นคงดีใจจนโขกหัวคำนับนานแล้ว”
หลินสวินสัมผัสการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นรอบตัวอย่างต่อเนื่อง ในใจรู้สึกแปลกประหลาด ถูกทรมานมาหลายวันขนาดนี้ ที่แท้ก็เพื่อตนเองทั้งนั้นหรือ
ไม่ใช่การอ้างเรื่องแลกเปลี่ยนเรียนรู้เพื่อระบายความโกรธจริงๆ หรือ
เย่จื่อพูดว่า “แน่นอนว่าช่วงที่ผ่านมานี้เจ้าใช้โอสถสมบัติที่เรียกได้ว่าชั้นเลิศไปเจ็ดสิบหกชนิด ทุกชนิดล้วนมูลค่ามหาศาล ระดับจักรพรรดิทั่วไปไม่มีบุญจะได้ใช้ โชคดีที่เจ้ามั่งคั่ง ไม่เช่นนั้นอยากจะทะลวงในระยะเวลาอันสั้นเช่นนี้… ถือว่ายากมาก”
หลินสวินในตอนนี้เรียกได้ว่ามั่งคั่งจริงๆ เพียงแค่ทรัพย์หลังศึกที่ได้มาช่วงนี้ก็มากมายมหาศาล นับไม่ถ้วนแล้ว
ต้องรู้ว่าตอนที่อยู่เขตต้องห้ามเซียนโบราณ เขาก็เคยได้รับทรัพย์หลังศึกมากมายเช่นกัน ไม่ขาดสมบัติที่แม้แต่ระดับจักรพรรดิยังหมายตา!
ดังนั้นต่อให้รู้ว่าตนใช้โอสถสมบัติชั้นเลิศไปมากขนาดนี้แล้ว ก็ไม่รู้สึกปวดใจเลยสักนิด
เขาในตอนนี้ฟื้นตัวอย่างสิ้นเชิงแล้ว นั่งทำสมาธิสงบจิต เพื่อสร้างความมั่นคงให้พลังใหม่ที่เพิ่งครอบครองหลังจากทะลวงขั้น
เย่จื่อลังเลอยู่ครู่หนึ่ง สุดท้ายก็พูดว่า “ดังนั้น ข้าเสนอว่าการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ยังต้องดำเนินต่อไป”
มุมปากของหลินสวินกระตุกอย่างแรงคราหนึ่ง
สิบวันที่ผ่านมาก็เหมือนกับฝันร้าย ไม่เพียงแค่ร่างกายถูกกำราบ สภาวะจิตและจิตวิญญาณของเขาเองก็แบกรับความกระทบกระเทือนจากความสิ้นหวัง ไร้เรี่ยวแรงอยู่ตลอดเวลา
ความรู้สึกเช่นนั้น ด้วยอุปนิสัยที่กร้าวแกร่งอย่างหลินสวินยังแทบจะทนไม่ไหวแล้ว
แต่เมื่อนึกถึงว่าการ ‘แลกเปลี่ยนเรียนรู้’ อันเป็นเอกลักษณ์เช่นนี้ สามารถทำให้พลังปราณของตนเกิดการเปลี่ยนแปลงในเวลาสั้นๆ ได้ หลินสวินก็ลังเลเล็กน้อย ก่อนจะกัดฟันตอบรับไป
ในใจเย่จื่ออดชื่นชมไม่ได้ ‘ตามคาด เขาชอบฝึกโดยการถูกทรมานที่สุด…’
ซีเหลือบมองหลินสวินคราหนึ่งแล้วเอ่ยว่า “พลังปราณของเจ้าทะลวงแล้ว ตอนที่แลกเปลี่ยนกันข้าก็จะเพิ่มพลังขึ้นไปอีกหน่อยด้วย เจ้าเตรียมตัวให้ดี”
ในใจหลินสวินกระตุกคราหนึ่ง อดพูดไม่ได้ “ผู้อาวุโส ที่ท่านแลกเปลี่ยนเรียนรู้กับข้าก่อนหน้านี้ใช้พลังไปกี่ส่วนหรือ”
“กี่ส่วน?”
เสียงของซีเผยแววประหลาด
เย่จื่อคิดๆ แล้วเอ่ยอย่างใคร่ครวญจริงจัง “จากที่ข้าคาดเดา… คง… ห่างจากหนึ่งส่วนไปไกล…”
หลินสวิน “…”
……
แคว้นวิญญาณหมอก
ในฐานะหนึ่งในสี่สิบเก้าแคว้นแห่งโลกใหญ่หงเหมิง อาณาเขตของแคว้นวิญญาณหมอกไม่ถึงกับใหญ่ที่สุด แต่ก็ไม่ได้เล็กที่สุด อิทธิพลด้านการฝึกปราณของแคว้นวิญญาณหมอกไม่ถึงกับแข็งแกร่งที่สุด แต่ก็ไม่ได้อ่อนแอที่สุด
สรุปแล้วแคว้นวิญญาณหมอกธรรมดามาก ไม่ว่าจะเทียบด้านใดกับแคว้นอื่นๆ ก็ไม่โดดเด่น แต่ก็ไม่ด้อย อยู่ตรงกลางอย่างยิ่ง
สำนักเร้นฤทธิ์เทพก็ตั้งอยู่ในแคว้นวิญญาณหมอก รากฐานเก่าแก่อย่างที่สุด แต่อิทธิพลอย่างมากก็อยู่ในระดับสิบอันดับแรกของแคว้นวิญญาณหมอกเท่านั้น
หลังจากเร่งเดินทางอีกสิบกว่าวัน หลินสวินมาถึงแคว้นวิญญาณหมอกอย่างราบรื่น มาเยือนแดงมงคลอาณาเขตของสำนักเร้นฤทธิ์เทพ…
เขาต้นถง
ทว่าตอนที่หลินสวินไปถึง กลับพบโดยพลันว่าเขามงคลที่นับว่าเป็นอันดับหนึ่งในหมู่อันดับหนึ่งของแคว้นวิญญาณหมอก กลับไม่เห็นเงาคนเลย!
อีกทั้งประตูภูเขาของสำนักเร้นฤทธิ์เทพเปิดกว้าง กระบวนค่ายกลใหญ่ที่ปกคลุมอยู่บนภูเขาก็หยุดการโคจร
เมื่อเดินเข้าไปก็เห็นว่าสิ่งก่อสร้างเก่าแก่ที่เรียงรายล้วนว่างเปล่า ปรากฏร่องรอยวุ่นวายทั่วทุกที่
หลินสวินค้นหาอยู่นาน แทบจะหาทั้งในและนอกสำนักเร้นฤทธิ์เทพรอบหนึ่งแล้ว สุดท้ายจึงมั่นใจว่าผู้ฝึกปราณทุกคนในสำนักเร้นฤทธิ์เทพคงจะออกจากเขาต้นถงหมดแล้ว
อีกทั้งยังจากไปอย่างเร่งรีบอย่างเห็นได้ชัด โอสถเทพจำนวนหนึ่งในไร่โอสถยังไม่ทันเก็บด้วยซ้ำ
ในที่นี้ไม่มีร่องรอยการต่อสู้ใดๆ นี่พิสูจน์ได้เพียงว่า ผู้ฝึกปราณสำนักเร้นฤทธิ์เทพเป็นฝ่ายจากไปเอง สำหรับเหตุผลที่จากไปนั้นหลินสวินกลับเดาไม่ออก
‘ยุ่งยากแล้ว…’
หลินสวินขมวดคิ้ว ตอนนี้เขายืนอยู่หน้าตำหนักเก่าแก่ที่เงียบเชียบแห่งหนึ่งเพียงลำพัง แสงตะวันยามเย็นสาดส่อง ทอดเงายาวมากมายบนแผ่นหินเขียวที่เต็มไปด้วยรอยด่าง
หอฤทธิ์เทพและสำนักเร้นฤทธิ์เทพมีต้นกำเนิดเดียวกัน หลินสวินมาคราวนี้ก็เพื่อหาข้อมูลการเดินทางไปแดนเจินหลง
แต่กลับคิดไม่ถึงว่าขุมอำนาจที่เก่าแก่อย่างที่สุดนี้ดันหายไปอย่างแปลกประหลาดเช่นนี้ เหลือไว้เพียงเขาต้นถงที่ว่างเปล่า
‘การจากไปของสำนักหนึ่งต้องชักนำให้เกิดความเคลื่อนไหวไม่น้อยแน่ ก่อนเกิดเรื่องขึ้นต้องมีสัญญาณบางอย่างปรากฏออกมา…’
หลินสวินนิ่งคิด ตัดสินใจเดินทางไปสืบข่าวในเมืองที่ใกล้เขาต้นถงที่สุด
แต่ตอนที่เขาจะจากไป จู่ๆ ในใจพลันสะท้าน รู้สึกถึงกลิ่นอายอันตรายถึงชีวิต
แทบจะในเวลาเดียวกัน ซีปรากฏอย่างเงียบๆ คว้าเบาๆ คราหนึ่งก็พาเขามาอยู่ใต้หลังคาตำหนักที่อยู่ไกลๆ แห่งหนึ่งแล้ว
“มีคนร้ายกาจปรากฏตัว อย่าพูดอะไร”
ละอองแสงรอบตัวซีไหลเวียน กลายเป็นพลังมหัศจรรย์ชนิดหนึ่งปกคลุมนางและหลินสวินไว้ภายใน ทำให้ทั้งสองราวกับหายไปกลางอากาศ
ฮุม…
หน้าตำหนักที่หลินสวินยืนอยู่เมื่อครู่ ห้วงอากาศเกิดคลื่นระลอกหนึ่ง ปรากฏเงาร่างหลายสายมีทั้งหญิงและชาย กลิ่นอายแม้จะเก็บงำไปแล้วแต่กลับมีอานุภาพน่ากลัวอันไร้รูป
พวกเขายืนอยู่ภายใต้แสงอาทิตย์อัสดง ประหนึ่งเหล่าเทพที่ยืนอยู่ในแสงยามตะวันรอน!
ตอนที่เห็นเงาร่างของคนที่เป็นผู้นำ หลินสวินนัยน์ตาหดรัดทันที ความทรงจำที่หลับใหลอยู่ในใจมานานถูกปลุกขึ้น
ผู้นำคนนั้นคือหญิงชุดม่วง เงาร่างสูงเพรียวอย่างที่สุด เอวบางพันด้วยเชือกสีทอง ผมยาวสีม่วงดุจน้ำตกทิ้งตัวลู่ลง บนเส้นผมเจือแสงประกายแปลกประหลาด
นางแบกทวนเล่มหนึ่งไว้ข้างหลัง ชุดม่วงผมม่วง ยืนอยู่ตรงนั้นก็ประหนึ่งปราการสวรรค์ที่ขวางกั้น ให้ความรู้สึกว่าได้แต่แหงนมอง สูงส่งไร้ขอบเขต
เผชิญหน้ากับเงาร่างนี้ ก็เหมือนมดแหงนมองท้องฟ้า!
‘เป็นผู้หญิงชุดม่วงที่ตามฆ่าท่านลู่!’
ในใจหลินสวินสะท้านรุนแรง เขาจะลืมผู้หญิงคนนี้ได้อย่างไร
ตอนนั้นเขาเคยหวนกลับโลกชั้นล่าง กลับไปยังบ้านในหมู่บ้านเฟยอวิ๋นที่เขาเคยอยู่ และเป็นที่นั่นที่เขาได้เจอพลังเจตจำนงซึ่งท่านลู่ทิ้งเอาไว้โดยบังเอิญ
ก็เพราะเหตุกาณ์ที่แปลงจากพลังแห่งเจตจำนงเสี้ยวนั้น ทำให้หลินสวินได้เห็นหญิงชุดม่วงที่ตามฆ่าท่านลู่
และทำให้หลินสวินได้รู้ว่า หญิงชุดม่วงมาจากฟากฝั่งฟ้าดารา มาเพื่อตามฆ่าลั่วชิงสวินมารดาของเขาและท่านลู่โดยเฉพาะ!
เพียงแต่หลินสวินคิดไม่ถึงเลยว่า จะเจอหญิงชุดม่วงคนนี้ในสำนักเร้นฤทธิ์เทพอันว่างเปล่าแห่งนี้!
นี่เห็นได้ชัดว่าเหลือเชื่อเกินไป
“ข้าจะไปแดนเจินหลง แต่สำนักที่รู้ทางไปแดนเจินหลงกลับหายไปในชั่วค่ำคืน…”
หน้าตำหนักหญิงชุดม่วงคนนั้นเอ่ยปาก เสียงไพเราะอย่างที่สุด แต่กลับเผยความเย็นเยียบและเฉยชาเสียดกระดูก
ข้างกายนางมีผู้ชายติดตามอยู่สามคน ตอนนี้ต่างตัวสั่น เผยสีหน้าลนลานตกใจ
“ผู้อาวุโส พวกเราไม่เคยปล่อยข่าวให้รั่วไหลสักนิด แม้แต่พวกเราก็ไม่รู้ว่าเหตุใดคนของสำนักเร้นฤทธิ์เทพจึงหายไปโดยไร้ร่องรอย ท่าน… ท่านอย่าเข้าใจผิดเด็ดขาด”
เฒ่าชราผมขาวคนหนึ่งรีบอธิบาย
หญิงชุดม่วงตบไหล่เฒ่าชราคนนั้นเบาๆ พูดว่า “ข้าไม่สนใจเรื่องเข้าใจผิด ข้าสนใจเพียงว่าเหตุใดจึงเกิดสถานการณ์เช่นนี้ เข้าใจหรือไม่”
ตอนที่นิ้วมือขาวกระจ่างเรียวยาวของนางยกออกจากไหล่เฒ่าชรา ร่างของอีกฝ่ายราวกับกระดาษที่ถูกเผา กลายเป็นขี้เถ้าปลิวกระจาย!