นางาฮิโกะ อิโตะถอนหายใจและเอ่ยขอโทษด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยความเสียใจ “ก่อนหน้านี้เรื่องที่เคยทำให้คุณเย่ขุ่นเคือง หวังว่าคุณเย่จะไม่ถือสา!”
เย่เฉินเองก็ใจกว้างเช่นกัน เขายิ้มน้อยๆและเอ่ยว่า “คุณอิโตะเกรงใจแล้ว ความเข้าใจผิดก่อนหน้านี้นับแต่นี้ไปถือว่าผ่านพ้นไปแล้ว ไม่จำเป็นต้องพูดถึงมันอีก”
ความหมายอีกแบบของคำที่เย่เฉินเพิ่งจะเอ่ยไปก็คือ ความเข้าใจผิดไม่จำเป็นต้องเอ่ยถึงอีก เรื่องเงิน4.5พันล้านดอลลาร์ก็อย่าได้พูดถึงอีกเช่นกัน
แม้ว่าเขาจะไม่ได้ขาดแคลนเงิน แต่ในเมื่อเงินเข้ากระเป๋าเขาไปแล้ว เขาเองก็ไม่อยากจะคายมันออกมาง่ายๆ
ไม่ใช่ว่าเขาต้องการแบล็กเมล์เงินของนางาฮิโกะ อิโตะ กุญแจสำคัญก็คือถึงแม้ว่าเงินจะถูกคายออกมา ก็ไม่อาจจะเอามันออกมาได้ที่นี่อย่างง่ายๆ
อย่างน้อยที่สุด เงินนี้หากอิโตะ นานาโกะต้องการมันในอนาคตตนก็จะนำมันออกมาและมอบมันให้กับเธอ
แต่ว่านี่อาจจะต้องรอหลังจากที่อิโตะ นานาโกะสืบทอดตระกูลอิโตะไปแล้ว
นางาฮิโกะ อิโตะเองก็ทันคนเช่นกัน เมื่อเขาได้ยินคำพูดนี้ก็เข้าใจว่าเย่เฉินหมายถึงอะไร
4.5พันล้านดอลลาร์ถือเป็นเงินจำนวนมหาศาลจริง แต่เมื่อเย่เฉินไม่ต้องการให้ เขาเองก็ไม่เหมาะที่จะไปไล่บี้ให้เย่เฉินคืนมันมา
ท้ายที่สุดแล้ว เย่เฉินก็ช่วยชีวิตลูกสาวของตนเอาไว้ อีกทั้งยังทำให้เธอหายดีอย่างสมบูรณ์ นี่ถือเป็นบุญคุณอันใหญ่หลวงจริงๆ
ไม่อย่างนั้น ต่อให้ลูกสาวของตนไม่ได้เจอกับอันตราย แต่ชั่วชีวิตที่เหลือก็ไม่อาจหลีกหนีไปจากรถเข็นและความทรมานจากอาการเจ็บป่วยได้
ดังนั้น นางาฮิโกะ อิโตะเองก็มีจิตสำนึกที่จะไม่พูดถึงเรื่องเงิน 4.5 พันล้านดอลลาร์เช่นกัน แต่ถามขึ้นด้วยความสงสัยอย่างยิ่ง “คุณเย่ คุณเข้าไปช่วยเหลือนานาโกะโดยบังเอิญได้อย่างไร?”
เย่เฉินตอบตามความจริง “เดิมทีผมไปที่โอซาก้าเพื่อเข้าควบคุมสายการผลิตของบริษัทผลิตยาโคบายาและได้ยินมาว่าคุณหนูนานาโกะอยู่ในเกียวโต อีกทั้งยังใช้เวลาขับรถเพียง 40 นาทีจากโอซาก้าไปยังเกียวโต ดังนั้นก็เลยอยากไปพบเธอสักหน่อย คิดไม่ถึงว่าจะเจอเข้ากับนินจาของตระกูลฟูจิบายาชิ ดังนั้นจึงยื่นมือเข้าช่วยเหลือ”
พูดไป เย่เฉินก็อดถอนหายใจออกมาไม่ได้ “นี่ถือเป็นความประจวบเหมาะจริงๆ ถ้าหากผมไปช้ากว่านี้อีกสักหน่อย เกรงว่าคงไร้กำลังที่จะช่วยเหลือแล้ว”
นางาฮิโกะ อิโตะเองก็พยักหน้าด้วยสีหน้าวิตกกังวลเช่นกัน เขาถอนหายใจ “ต้องขอบคุณคุณเย่จริงๆ!”
พูดจบ เขาก็ไม่สามารถระงับความโกรธของตนเอาไว้ได้และพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า “นินจาของตระกูลฟูจิบายาชิภักดีต่อทากาฮาชิ มาจิ ฉันไม่เข้าใจเลยว่าทำไมทากาฮาชิ มาจิถึงต้องลงมือกับฉัน! ทุกคนต่างแข่งขันกันเพื่อให้ได้ร่วมมือกับตระกูลซู ต่อให้ในยามปกติจะมีความขัดแย้งไม่ลงรอยกันอยู่บ้าง แต่ก็ไม่จำเป็นต้องส่งนักฆ่ามาฆ่าลูกสาวของฉันแบบนี้?! ”
เย่เฉินขมวดคิ้วทันที “คุณว่าอะไรนะ? ตระกูลซู? ตระกูลซูไหน?”
นางาฮิโกะ อิโตะเอ่ยอธิบาย “เป็นตระกูลซูที่เป็นตระกูลใหญ่อันดับต้น ๆ ในประเทศจีน พวกเขาต้องการมีส่วนร่วมในการขนส่งทางทะเล และสนใจท่าเรือหลายแห่งในญี่ปุ่น ดังนั้นพวกเขาจึงต้องการร่วมมือกับตระกูลชาวญี่ปุ่น พวกเราตระกูลอิโตะและตระกูลทากาฮาชิล้วนอยู่มีในรายชื่อตระกูลของพวกเขาด้วย”
พูดไป นางาฮิโกะ อิโตะเอ่ยขึ้นมาอีกครั้ง “สำหรับพวกเราทั้งสองตระกูลแล้ว ใครก็ตามที่สามารถร่วมมือกับตระกูลซูได้ คนนั้นก็จะมีโอกาสเหนือกว่าอีกฝ่ายและกลายเป็นตระกูลอันดับหนึ่งในญี่ปุ่น ดังนั้นเราทั้งคู่จึงให้ความสำคัญอย่างยิ่งกับความร่วมมือในครั้งนี้ แต่ไม่คาดคิดเลยว่า ทากาฮาชิ มาจิจะทำแบบนี้!”
จู่ๆเย่เฉินก็นึกขึ้นได้ว่าตอนที่เขาอยู่ในเกียวโต ได้สะกดรอยตามนินจาอิงะไปแล้วช่วยชาวจีนสองคนนั้นเอาไว้
หรือว่า พวกเขาเป็นคนของตระกูลซู?!
เมื่อคิดถึงตรงนี้ เย่เฉินก็รีบถาม “คุณอิโตะ ครั้งนี้ตระกูลซูส่งใครมาพูดคุยเกี่ยวกับความร่วมมือกับคุณ?”
นางาฮิโกะ อิโตะเอ่ย “ส่งหลานชายและหลานสาวคนโตของพวกเขามา คนหนึ่งชื่อซูจือเฟย อีกคนหนึ่งชื่อซูจื้อหยู”
เย่เฉินขมวดคิ้วและถามว่า “ทั้งคู่ยังเด็กอยู่หรือไม่? ผู้หญิงอายุยี่สิบต้นๆ และผู้ชายอายุราวๆยี่สิบห้ายี่สิบหก?”
“ใช่!”นางาฮิโกะ อิโตะเอ่ย “ซูจือเฟยอายุประมาณยี่สิบห้ายี่สิบหกนี่แหละ ส่วนซูจือหยูน่าจะอายุพอๆกับนานาโกะ อายุยี่สิบสองปีเหมือนกัน”
พูดไป นางาฮิโกะ อิโตะจึงถอนหายใจและกล่าวว่า “แต่ว่า ใครจะคาดคิดว่าสองพี่น้องของตระกูลซู หลังจากมาถึงญี่ปุ่นก็ถูกคนลักพาตัวไปอย่างน่าประหลาด! คนที่ลักพาตัวยังฆ่าผู้ติดตามตระกูลของตระกูลซูไปมากกว่าสิบคน เรื่องนี้กลายเป็นเรื่องใหญ่โตในโตเกียว ฉันกับทากาฮาชิ มาจิก็ถูกกรมตำรวจนครบาลโตเกียวระบุว่าเป็นผู้ต้องสงสัย!”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ เย่เฉินก็แน่ใจได้อย่างคร่าวๆแล้วว่า สองพี่น้องที่ตนเองช่วยชีวิตเอาไว้โดยบังเอิญในโตเกียวและปล่อยตัวไปก็คือหลานชายคนโตและหลานสาวคนโตของตระกูลซู!
เมื่อคิดถึงตรงนี้ สีหน้าของเย่เฉินก็ย่ำแย่อย่างยิ่ง!
ตระกูลซู!