ฟ้าดารากว้างใหญ่ไพศาล ตลอดทางยานข้ามโลกของเรือนเร้นหมอกถูกสายตาเหี้ยมเกรียมนับไม่ถ้วนจ้องมอง ผู้โดยสารบนยานพลันอึดอัดไปทั้งตัว
นี่ก็เหมือนขับเคลื่อนไปในดินแดนชั่วร้าย สิ่งที่มองเห็นทั้งหมดล้วนเป็นไอสังหาร!
ชายวัยกลางคนกลับดูสุขุมเยือกเย็นหาใดเปรียบ “ทุกท่านไม่จำเป็นต้องกังวล พวกที่เห็นระหว่างทางนั้น ล้วนได้แค่ขอข้าวกินบนฟ้าดารานี้ ไม่อาจพูดได้ว่าเป็นพวกร้ายกาจอะไร”
“ใช่ว่าข้าน้อยโอ้อวด ในโลกมืดนี้ ภายใต้สถานการณ์ทั่วไปยังไม่มีใครกล้าหาเรื่องเรือนเร้นหมอกของข้ามาก่อน!”
คำพูดของเขาเจือความมาดมั่นหาใดเปรียบ ความมั่นใจเต็มเปี่ยม
ทว่ายังไม่รอให้ทุกคนอุ่นใจ บนยานข้ามโลกพลันมีเสียงร้องหนึ่งดังขึ้น “มี… มีคนมาแล้ว!”
ชายวัยกลางคนอึ้งงัน เงยหน้ามองออกไป
ฟ้าดาราไกลลิบมีร่างสูงโปร่งสันโดษเดินมา นางสวมชุดคลุมม่วง ผมม่วงทั้งศีรษะ พาดทวนเล่มหนึ่งบนแผ่นหลัง บนใบหน้างามเต็มไปด้วยความเฉยชาเยียบเย็น
นางตัวคนเดียวชัดๆ แต่เมื่อเดินเข้ามาฟ้าดาราใกล้เคียงกลับพลิกม้วนอย่างไร้สุ้มเสียง ดวงดาวนับไม่ถ้วนสะท้านไหว ส่ายสั่นคล้ายจะร่วงหล่น
พวกเหี้ยมโหดที่ซุ่มโจมตีอยู่บนดวงดาวบางคนต่างหลบไม่ทัน ร่างกายระเบิดออกเงียบๆ กลายเป็นชิ้นส่วนชุ่มเลือด
ชุดม่วง ผมม่วง พาดทวน นางเดินมาเหมือนราชันสังหารปรากฏตัวบนโลก พาให้ฟ้าดาราสั่นสะเทือน!
ยานข้ามโลกที่ท่องทะยานพลันหยุดลง ชะงักค้างอยู่ตรงนั้น ไม่อาจเข้าใกล้ได้แม้เพียงคืบ ราวกับถูกมือใหญ่ที่มองไม่เห็นจับไว้
บนยานข้ามโลก ชายวัยกลางคนสีหน้าซีดเผือด ร่างชุ่มไปด้วยเหงื่อ ความรู้สึกหวาดกลัวที่ยากจะบรรยายแผ่ลามไปทั้งตัวราวกระแสลมเย็น
ก่อนหน้านี้เขายังพูดจาคล่องปาก บอกว่าโดยทั่วไปในโลกมืดนี้ไม่มีใครกล้าหาเรื่องเรือนเร้นหมอก
แต่เพียงพริบตาก็มีเคราะห์สังหารใหญ่ที่คาดไม่ถึงซัดเข้ามา!
เวลานี้ชายวัยกลางคนแม้แต่วาจายังกล่าวไม่ออก ถึงขั้นไม่กล้าขยับเขยื้อนเพียงนิด
ผู้โดยสารคนอื่นบนยานก็ขนพองสยองเกล้ากันหมด ราวตกสู่ถ้ำน้ำแข็ง
คนผู้นี้เป็นใคร
ทำไมถึงน่ากลัวเช่นนี้
บรรยากาศก็กดดันถึงขีดสุด พาให้ผู้คนหายใจลำบาก
หญิงชุดม่วงยืนห่างออกไป นัยน์ตาที่เฉยชาไร้ความรู้สึกกวาดมองมาบนยานข้ามโลก
ขอแค่เป็นคนที่ถูกสายตาของนางกวาดมอง ย่อมไม่มีใครไม่สั่นไปทั้งตัว ราวกับถูกสายตาของมัจจุราชจับจ้อง ตกใจจนสภาวะจิตและเจตจำนงของพวกเขาแทบจะพังทลาย
“เจ้าเดรัจฉาน ในที่สุดเจ้าก็ปรากฏตัวแล้ว…”
หญิงชุดม่วงเอ่ยปาก ขณะที่เสียงเรียบเฉยดังก้องนางก็ลงมือแล้ว
มือบางขาวกระจ่างเหยียดออกมา คว้าจับกลางอากาศ
ตูม!
ห้วงอากาศรอบยานข้ามโลกพลันบีบตัวเข้ามา เหมือนลูกโป่งน้ำที่ถูกบีบ ห้วงอากาศแปรปรวนน่ากลัว ส่งเสียงกัมปนาทสะท้านฟ้าสะเทือนดิน
เห็นว่ายานข้ามโลกใกล้ถูกตะครุบแหลก แสงระเบียบศักดิ์สิทธิ์ที่ส่องประกายราวภาพฝันพลันโฉบออกมา
พริบตานั้น…
ห้วงอากาศที่ทรุดตัวดังเลื่อนลั่นพลันหยุดชะงัก ราวกับจับตัวเป็นน้ำแข็ง พลังน่าพรั่นพรึงที่ปั่นป่วนหยุดนิ่งอยู่ตรงนั้นอย่างน่าประหลาด
จากนั้นก็ดับสลายไปพร้อมกัน มีเพียงยานข้ามโลกซึ่งอยู่กลางสภาพแปรปรวนดุดันที่ปลอดภัย!
พร้อมกันนั้นร่างทรงสง่าเหมือนภาพมายาก้าวออกมาจากยานข้ามโลก ยืนอยู่กลางอากาศ รอบกายมีโซ่ระเบียบหลายสายร้อยถักเข้าด้วยกัน ละอองแสงไหลวนประหนึ่งเทพเซียน
คนผู้นี้แน่นอนว่าเป็นซี!
สวบ!
เงาร่างผ่าเผยของหลินสวินพุ่งตามมาติดๆ ยืนอยู่ข้างกายซี บนใบหน้าหล่อเหลาเต็มไปด้วยความจริงจัง เขาคิดไม่ถึงเลยว่าหญิงชุดม่วงที่มีนามว่าเหยี่ยนซิงนี่จะมาเร็วเช่นนี้
นางหาตนเจอได้อย่างไร
“ที่แท้ก็มีคนคุ้มครองข้างกาย”
ห่างออกไป นัยน์ตาของหญิงชุดม่วงนามเหยี่ยนซิงส่องประกายม่วงวาววามดูประหลาดชวนประหวั่น จ้องมองซีแล้วกล่าวราบเรียบ “เพียงแต่อาศัยคนอย่างเจ้าคงขวางไม่อยู่”
ซีสะบัดแขนเสื้อคราหนึ่ง ยานข้ามโลกของเรือนเร้นหมอกถูกเคลื่อนย้ายจากไปทันที หายไปจากเขตแดนดาราแถบนี้
จากนั้นนางจึงกล่าว “เย่จื่อ พาเขาไป เจ้าคนชั้นต่ำนี่ข้าจัดการเอง”
คำว่า ‘คนชั้นต่ำ’ ทำให้มองออกว่าซีรังเกียจและดูถูกเหยี่ยนซิงอยู่ในใจ
“ได้”
เย่จื่อโฉบพุ่งออกมา ตกปากรับคำโดยไม่ลังเล เงาร่างแผ่แสงกระบี่สายหนึ่งมาหุ้มตัวหลินสวินไว้ ก่อนพุ่งตัวไปยังโลกมืดที่อยู่ห่างออกไป
“พวกเจ้าไปตามเจ้าเดรัจฉานนั่น”
เหยี่ยนซิงขมวดคิ้วไม่ลงมือ เพียงแต่ออกคำสั่งลงมา
การปรากฏตัวของซีทำให้นางรับรู้ถึงอันตราย และทำให้นางไม่กล้าแบ่งสมาธิไปตอนนี้
“ขอรับ!”
เงาร่างสองสายปรากฏตัวกลางอากาศ คนหนึ่งคือชายชุดเทา อีกคนคือชายชราชุดหรู บนตัวทั้งสองล้วนแผ่กลิ่นอายน่ากลัวของระดับจักรพรรดิออกมา
เพียงพริบตาทั้งสองก็ไล่ตามเย่จื่อไป
ซีก็ขมวดคิ้ว ไม่ออกมือขวางเช่นกัน
“ตอนนี้ก็เหลือแค่เจ้ากับข้าแล้ว”
เหยี่ยนซิงปลดทวนที่พาดแผ่นหลังมาไว้ในมืออย่างสบายๆ นัยน์ตาที่แผ่แสงม่วงประหลาดเต็มไปด้วยไอสังหารอำมหิต “เอาอย่างไร ตัดสินเป็นตายหรือ”
“ได้”
ซีเหยียดร่างทรงสง่าสูงโปร่งครู่หนึ่ง กล่าวอย่างจริงจัง “ข้าไม่ได้สู้เต็มกำลังมานานมากแล้ว หากเจ้าทำให้ข้าผิดหวัง ข้ารับรองว่าเจ้าจะตายอย่างอนาถ”
เหยี่ยนซิงยิ้มหยันพลางกล่าว “ได้สิ”
เงาร่างของนางไหววูบ โบกสะบัดทวน
ตูม!
ฟ้าดาราแถบนี้ตกอยู่ในความปั่นป่วนทันที ดวงดาวที่เดิมส่ายสั่นคล้ายจะร่วงหล่นนับไม่ถ้วน ระเบิดกระจุยดังสนั่นในพริบตา สภาพอากาศแปรปรวนแผ่ขยายไปทั่วทิศดุจกระแสน้ำ
“สุดท้ายต่อสู้ที่นี่ก็ดูจำกัดมือเท้าอยู่บ้าง กล้าตามมาสู้กันหรือไม่”
เงาร่างของซีพลิ้วไหว เพียงพริบตาก็เคลื่อนขวางฟ้าดาราไร้ขอบเขตไป
“ทำไมจะไม่กล้า”
เหยี่ยนซิงก้าวเท้าออกไปหนึ่งก้าว เสียงตูมดังสนั่น พุ่งทลายพันธนาการอากาศตามไป
…
“สวรรค์ นั่นคือตัวตนที่น่ากลัวระดับใดกันแน่”
“อย่างน้อย… อย่างน้อยก็น่าจะเป็นการต่อสู้ระหว่างระดับจักรพรรดิ!”
“ระดับจักรพรรดิ? ข้าว่าเป็นระดับบรรพจารย์มากกว่า ไม่เห็นหรือว่าทันทีที่ผู้หญิงคนนั้นปรากฏตัว ฟ้าดาราล้วนสั่นสะเทือน ถูกอานุภาพของนางทำให้หวั่นหวาด”
“น่ากลัว!”
ห่างออกไป บนยานข้ามโลกที่ซียื่นมือช่วยให้พ้นเคราะห์ พวกชายวัยกลางคนเพิ่งดึงสติกลับมาจากความรู้สึกหวาดผวาตื่นตระหนก
แม้ว่าซีกับเหยี่ยนซิงจะหายไป แต่ในฟ้าดาราแถบนี้ยังเหลือกลิ่นอายน่ากลัวของพวกนางอยู่ พาให้คนขวัญหนีดีฝ่อ
“พูดถึงเรื่องพวกนี้ทำไม รีบไปสิ!”
ชายวัยกลางคนออกคำสั่ง
…
ในฟ้าดารา แสงเคลื่อนไหวที่วิวัฒน์จากเย่จื่อส่องประกายกลางอากาศ
“เย่จื่อ เจ้าว่าซีจะเป็นอะไรไหม”
หลินสวินกังวล
“ไม่เป็นไรหรอก”
เย่จื่อพูดโดยไม่ต้องคิด “แม้ว่านางจะเสียความทรงจำบางส่วนในอดีตไปเหมือนข้า แต่ข้าสัมผัสได้ว่าก่อนหน้านี้นางต้องเป็นบุคคลที่ยิ่งใหญ่คนหนึ่งแน่”
หลินสวินถอนใจเบาๆ “ใช่ นางดูน่าเหลือเชื่อจริงๆ”
ปกปักษ์ห้องโถงมรรคาสวรรค์ราวกับคนเฝ้าประตู ในกาลเวลาเนิ่นนานไร้สิ้นสุดบนทางเดินโบราณฟ้าดารานี้ ทุกครั้งที่นางปรากฏตัว ไม่ว่าจะเป็นเรื่องใดก็แก้ไขได้โดยง่าย
แม้แต่ตอนที่อยู่ในดินแดนรกร้างโบราณ ยามเผชิญหน้ากับการสังหารของพลังระเบียบต้องห้าม นางก็ไม่หวาดหวั่นแม้แต่น้อย
นางลืมว่าตนเป็นใคร
นางรู้แค่ว่าตอนที่ได้สติตื่นขึ้นมา ก็อยู่ในห้องโถงมรรคาสวรรค์แล้ว
ก่อนหน้านี้เมื่อนานมาแล้ว ผู้นำตระกูลเสวียนเสวียนซั่งเฉินเคยเข้าไปในห้องโถงมรรคาสวรรค์ และเคยทะลวงด่านทั้งเก้าของทางเดินเมฆาหยก ถึงขั้นแง้มประตูสวรรค์บานนั้นได้เสี้ยวหนึ่ง
แม้ว่าสุดท้ายจะล้มเหลวกลับไป แต่เสวียนซั่งเฉินในตอนนี้ได้เป็นผู้นำตระกูลเสวียนแล้ว ครอบครองอานุภาพที่ปกคลุมฟ้าดิน ถูกมองเป็นจักรพรรดิกระบี่ที่มีพลังต่อสู้แข็งแกร่งที่สุดบนฟ้าดารา!
ส่วนซีก็เคยเป็นพยานในการเติบโตของเสวียนซั่งเฉิน!
จากจุดนี้ก็สามารถมองออกว่า ความเป็นมาของซีไม่ธรรมดาระดับใด
เพียงแต่คู่ต่อสู้ของซีในครั้งนี้ก็แข็งแกร่งจนไม่อาจจินตนาการได้เช่นกัน ตั้งแต่สมัยดึกดำบรรพ์ก็เคยมาจากฟากฝั่งฟ้าดารา ตามล่าจนลู่ป๋อหยาและลั่วชิงสวินได้แต่ซ่อนตัวอยู่ในโลกชั้นล่าง…
นี่ทำให้หลินสวินอดเป็นห่วงแทนซีไม่ได้
“หลินสวิน พวกเขาตามมาแล้ว”
เย่จื่อพลันส่งเสียง “คนหนึ่งมีพลังปราณระดับจักรพรรดิขั้นสี่ อีกคนมีพลังปราณระดับจักรพรรดิขั้นห้า หากสู้กันตัวต่อตัวข้ายังพอต้านได้ แต่หากสองรุมหนึ่ง… ก็ได้แต่สู้สุดชีวิตแล้ว”
หลินสวินหันกลับไปอย่างอดไม่อยู่
ก็เห็นว่าในฟ้าดาราเบื้องหลัง เงาร่างของระดับจักรพรรดิที่น่าหวาดกลัวสองสายแหวกพันธนาการอากาศมาดั่งรุ้งเทพเจิดจ้า ไล่ตามมาด้วยความเร็วที่สะเทือนใต้หล้า
ตอนอยู่บน ‘เขาต้นถง’ ของสำนักเร้นฤทธิ์เทพ หลินสวินเคยเจอสองคนนี้มาก่อน ล้วนเป็นสัตว์ประหลาดเฒ่าระดับจักรพรรดิที่เชื่อฟังคำสั่งเหยี่ยนซิง
แต่หลินสวินกลับคิดไม่ถึง ว่าพลังปราณของอีกฝ่ายจะน่ากลัวเช่นนี้!
“หลินสวิน ยังมีอีกเรื่องที่ยากจัดการ”
เย่จื่อกล่าว “ในเขตแดนดาราที่โลกมืดตั้งอยู่นี้ปกคลุมด้วยพลังระเบียบต้องห้ามเช่นกัน หากไม่อาจจัดการกับเจ้าสองคนข้างหลังนั่นโดยเร็ว เกรงว่าจะถูกพลังระเบียบต้องห้ามจับจ้อง”
นัยน์ตาหลินสวินพลันหดรัด
เหยี่ยนซิงก็น่ากลัวพอแล้ว หากดึงดูดความสนใจของพลังระเบียบต้องห้ามมาอีก ย่อมทำให้จอมจักรพรรดิไร้นามคนใหม่นั่นรู้ตัว…
ผลที่ตามมานั้นไม่กล้าแม้แต่จะคิดจริงๆ
หลินสวินหนักใจขึ้นมาทันที
ขนาดยังไม่ถึงโลกมืดอย่างแท้จริง เคราะห์ใหญ่ก็ซัดโถม นี่คือสิ่งที่หลินสวินคิดไม่ถึงมาก่อน
“หลินสวิน ข้าจะไปขวางสองคนนั้นไว้ เจ้ามุ่งหน้าไปยังโลกมืดคนเดียวเถอะ”
เย่จื่อราวกับตัดสินใจได้ “หากข้ารอดไปได้ก็จะไปหาเจ้า”
น้ำเสียงของเขาราบเรียบเหมือนเคย
แต่ความเด็ดเดี่ยวในคำพูดกลับทำให้หลินสวินหน้าเปลี่ยนสี ปฏิเสธโดยไม่ลังเล “เย่จื่อ ครั้งนี้เจ้าต้องเชื่อข้า! แค่ฆ่าหมาแก่สองตัวที่ไล่ตามมา ไม่จำเป็นต้องให้เจ้าไปสู้สุดชีวิต!”
ครั้งก่อนตอนที่ถูกพวกจักรพรรดิกระบี่เยือกแข็งล้อมโจมตี เย่จื่อก็เคยสู้สุดชีวิตโดยไม่ห่วงตัวเอง ภาพต่างๆ นั้นยังประจักษ์ชัดในสายตา หลินสวินมีหรือจะให้เรื่องเช่นนี้เกิดขึ้นอีก
เย่จื่อเอ่ยเสียงเบา “หลินสวิน เดิมทีข้าก็เป็นวิญญาณกระบี่ ไม่กลัวตายอยู่แล้ว นับแต่อดีตจนปัจจุบัน การมีอยู่ของวิญญาณอาวุธ เดิมทีก็เป็นตัวตายตัวแทนของเจ้าของ แม้ว่าเจ้าจะไม่ใช่เจ้านายของข้า แต่ได้ตายแทนเจ้าสักครั้ง… จะเป็นไร”
หลินสวินกล่าวหนักแน่น “วิญญาณกระบี่แล้วอย่างไร ใครหน้าไหนกำหนด วิญญาณกระบี่จำเป็นต้องพลีชีพเหมือนคนโง่ด้วยหรือ จำไว้ว่าอยู่กับข้าหลินสวิน ต่อให้อับจนหนทางจริง ถ้าจะตายก็ต้องสู้ตายด้วยกัน!”
เย่จื่อตะลึงงัน
คำพูดที่เจือโทสะนี้ของหลินสวินกลับกระเทือนใจเขาอย่างไม่เคยมีมาก่อน ทำให้เขาเงียบไปนานพอควร กล่าวยิ้มสดใสทันใด “จู่ๆ ข้าก็นึกขึ้นมาได้ ก่อนหน้านี้เคยมีคนกล่าวประโยคหนึ่งกับข้า”
“อะไรหรือ”
เย่จื่อสูดหายใจลึกพลางกล่าว “เอาตัวรอดคนเดียว ไม่สู้ร่วมเป็นร่วมตาย เช่นนั้นหากต้องตายก็ยินดี!”
หลินสวินขานรับทันที “ลูกผู้ชายต้องเป็นเช่นนี้!”
“ทว่า…”
นัยน์ตาดำเขาล้ำลึก “พวกเรายังไม่ถึงเวลาเข้าตาจน เย่จื่อ หากข้าชิงโอกาสให้เจ้าได้หนึ่งพริบตา เจ้าจะฆ่าหมาแก่สองตัวนั้นได้หรือไม่”