เสียงลมอึงอล เมืองผีครอบงำเพิ่งคึกคักได้ไม่กี่วัน พอข่าวที่หลินสวินล่วงเกินเจ้าเมืองคีรีดำกระจายออกไป ทั้งเมืองก็กลับสู่สภาพเดิม กระทั่งเปลี่ยนเป็นเงียบเหงาวังเวงกว่าแต่ก่อน

จวนเจ้าเมือง

“ผู้อาวุโส พวกเรา… หนีดีไหมขอรับ”

จี้เหลิ่งกัดฟัน ดวงตาฉายแววดุร้าย “ทั้งแคว้นหนาวเหน็บมีสิบเจ้าแดนใหญ่ เจ้าแคว้นแต่ละคนครอบครองอาณาเขตต่างๆ กันไป เจ้าแคว้นคีรีดำรับพวกเราไม่ได้ พวกเราก็ไปหาอาณาเขตของเจ้าแคว้นอื่น ต่อให้ทั้งแคว้นหนาวเหน็บไม่รับพวกเรา จะไปแคว้นอื่นก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่”

เขาหยุดไปแล้วเอ่ยต่อว่า “ดังคำกล่าวที่ว่า ที่นี่อยู่ไม่ได้ก็ต้องมีที่อื่นให้อยู่ได้ ด้วยพลังของท่านผู้อาวุโส จะกังวลว่าจะไม่อาจกลับมาผงาดได้อีกไปทำไม”

หลินสวินนั่งขัดสมาธิกับพื้น กำลังสัมผัสนัยเร้นลับกายมรรคเพลิงแดง เมื่อได้ยินวาจาก็พูดว่า “เจ้าคิดมากไปหรือเปล่า”

คิดมากไปหรือ

จี้เหลิ่งอึ้งไป ทันใดนั้นก็ร้อนรนแล้ว “ผู้อาวุโส ตามที่ข้ารู้มา แม้เจ้าแคว้นคีรีดำจะมีฐานะเป็นระดับจักรพรรดิ แต่จิตใจคับแคบเป็นที่สุด เรื่องเล็กน้อยยังต้องแก้แค้น พวกเราฆ่าซานหย่งคนนั้นไป เขาจะต้องไม่เลิกราแต่โดยดีแน่…”

ไม่ทันรอให้พูดจบก็ถูกหลินสวินตัดบทว่า “เรื่องยังไม่ทันเลวร้ายถึงขั้นนั้น ถ้าเจ้าอยากจากไปตอนนี้ก็ไปได้ ถ้าเจ้าอยากอยู่ต่อ ข้าคุ้มครองไม่ให้เจ้าประสบเคราะห์ก็พอแล้ว”

จี้เหลิ่งฉงนใจไม่หยุดไปครู่หนึ่ง เขาเดาไม่ออกว่าหลินสวินไปเอาความมั่นใจมาจากไหนกันแน่

“ไปเถอะ”

หลินสวินโบกมือ พูดไล่แขก

“เช่นนั้นข้าน้อยก็จะไม่รบกวนผู้อาวุโสแล้ว”

จี้เหลิ่งจากไปพร้อมความกับความกังขาเต็มอก ในใจสับสนหาใดเทียบ ตกลงจะไป… หรือจะอยู่

หลินสวินคร้านจะสนใจความรู้สึกจี้เหลิ่ง

เขาขับเคลื่อนความคิด กายมรรคเพลิงแดงที่แต่งกายด้วยชุดแดงก็ปรากฏออกมา

ก็เมื่อวานนี้เองที่เขาควบรวมความรู้สึกนึกคิดกับมรรควิถีของกายมรรคเพลิงแดงได้สำเร็จ สำหรับหลินสวินแล้ว เรื่องนี้เท่ากับสามารถประหยัดเวลาและกำลังวังชาในการฝึกปราณไปได้มาก!

‘ตั้งแต่วันนี้ไป เจ้ามาฝึก ‘คัมภีร์เก้ากระถางสยบหล้า’ ‘คัมภีร์สลายอัศจรรย์มรรคเพลิงผลาญ’ ‘วิชาตรีศาสตร์หวนกำเนิด’ กับมรดกไปไร้หวน…’’

หลินสวินถ่ายทอดพลังมรดกที่มีอยู่กับตัวให้กายมรรคเพลิงแดงผ่านจิตสำนึกทีละวิชา

ในกลุ่มนี้ ‘คัมภีร์สลายอัศจรรย์มรรคเพลิงผลาญ’ เป็นยอดมรดกที่ศิษย์พี่ห้าชื่อจวินสร้างขึ้น และศิษย์พี่ชื่อจวินก็เป็นถึงบุคคลน่ากลัวที่ขนาดศิษย์พี่รั่วซู่ยังยอมรับว่าสู้ไม่ได้คนหนึ่ง

คัมภีร์มรดกของเขาย่อมยอดเยี่ยม

‘วิชาตรีศาสตร์หวนกำเนิด’ เป็นคัมภีร์ที่ศิษย์พี่สิบห้าชิงถิงสร้างขึ้น อัศจรรย์หาใดเทียบเช่นกัน

ส่วน ‘ไปไร้หวน’ เป็นสิ่งที่จักรพรรดิสงครามอู๋ยางถ่ายทอดให้…

หลังจากถ่ายทอดมรดกหลายอย่างไปแล้ว หลินสวินก็เก็บกายมรรคเพลิงแดง

‘มีกายมรรคไม้เขียวกับกายมรรคเพลิงแดงร่วมกันช่วยฝึกคัมภีร์หยั่งรู้มหามรรค ไม่เกินหนึ่งเดือนก็จะควบรวมจิตนึกคิดกับมรรควิถีของกายมรรคดินเหลืองได้!’

หลินสวินรับรู้ได้อย่างฉับไวว่าหลังจากควบรวมจิตนึกคิดกับมรรควิถีของกายมรรคเพลิงแดงแล้ว พลังปราณของเขาเองก็พัฒนาไม่น้อย อยู่ไม่ไกลจากระดับมกุฎกึ่งจักรพรรดิขั้นสามแล้ว!

ที่อัศจรรย์ที่สุดก็คือ การยกระดับการฝึกปราณจะกระตุ้นให้พลังของร่างแยกมหามรรคเพิ่มสูงขึ้นราวน้ำขึ้น มรรควิถีมีพัฒนาการฉับไวเหมือนน้ำขึ้นไปด้วย

‘จากความเร็วในการฝึกฝนเช่นนี้ น่าจะสามารถหยั่งถึงส่วนที่เกี่ยวข้องกับ ‘ระดับกึ่งจักรพรรดิ’ ในมรดกวิชาที่ตัวข้าครอบครองทั้งหมดอย่างทะลุปรุโปร่ง แล้วแปลงเป็นวิชาของตัวเองก่อนที่จะแจ้งมรรคบรรลุจักรพรรดิได้’

‘ดึงเอาจุดเด่นของทุกอย่างมาศึกษาอย่างถ้วนทั่ว จึงจะสั่งสมความรู้ได้ช้าๆ มองสถานการณ์ได้รอบด้าน’

‘มรรคของข้า เดิมก็บรรจุหมื่นมรรค วิวัฒน์หมื่นวิชาทั่วหล้า เช่นนี้ถึงสร้างมรรคที่มีเพียงหนึ่งตลอดกาลได้…’

หลินสวินตกอยู่ในห้วงความคิดอีกครั้ง

ในช่วงที่รอซีอยู่นี้ เขายิ่งตระหนักได้ว่าถ้าไม่รีบยกระดับพลังต่อสู้ตัวเองโดยเร็วที่สุด สถานการณ์ในภายหน้าจะมีแต่อันตรายยิ่งขึ้น

……

ณ เขายุทธ์สวรรค์ แคว้นหนาวเหน็บ

ภูเขาสูงลิบตระหง่านเกรียงไกร ตึกรามบ้านช่องโอ่อ่าเก่าแก่ เรียงรายคดเคี้ยวจากตีนเขาขึ้นไปจนถึงยอดเขา

นอกจากนี้ยังมีพลังกระบวนผนึกต้องห้ามอันคลุมเครือและน่ากลัวเป็นชั้นๆ ปกคุลมไปทั้งเขายุทธ์สวรรค์

ในตำหนักสีขาวโพลนโปร่งใสทั้งหลังบนยอดเขา เจ้าแคว้นคีรีดำนั่งตัวตรงอยู่บนที่นั่งประธานตรงกลาง นิ่วหน้าน้อยๆ แววตาน่ากลัว

เขาแต่งชุดดำทั้งตัว ผมยาวสีเลือดดกหนาสยายลงมา เผยใบหน้าหล่อเหลาขาวสะอาด ดวงตาลุ่มลึกทั้งสองสุกสกาวยิ่งกว่าดวงดารา

เจ้าแคว้นคีรีดำ ฉายามรรค ‘จักรพรรดิมารคีรีดำ’ ปรากฏตัวในโลกมืดเมื่อหนึ่งแสนสามหมื่นเก้าพันปีก่อน ส่วนที่มาที่ไปของเขาแต่ละคนพูดต่างกันไป

บ้างบอกว่าในอดีตเขาเป็นเจ้าสำนักของเผ่าจักรพรรดิดึกดำบรรพ์ตระกูลหนึ่ง เพราะทำความผิดใหญ่หลวงไม่อาจอภัยได้ จึงถูกตระกูลกำราบ หลังจากโชคดีหลบหนีมาได้ก็แทรกซึมเข้ามาในโลกมืด

บางคนบอกว่าเขาเป็นสัตว์ประหลาดเฒ่าผู้หนึ่งของเผ่านักรบผีสวรรค์ หนึ่งในสิบเผ่านักรบใหญ่ เพราะก่อเรื่องสังหารมากมาย จึงถูกขุมอำนาจมากมายประกาศจับ ด้วยถูกบีบจึงมาเก็บตัวที่โลกมืด

ทั้งยังว่า…

สรุปแล้วไม่ว่าจะเป็นคำพูดใดต่างพิสูจน์ได้เรื่องหนึ่ง นั่นก็คือจักรพรรดิมารคีรีดำแข็งแกร่งนัก! แข็งแกร่งจนเรื่องล่ำลือของเขามีแต่กลิ่นอายชวนใจหาย

โถงใหญ่เงียบเชียบ สิงเหลียนฉี่คุกเข่าอยู่กลับพื้น ในใจสั่นระรัวด้วยความกลัว ยังไม่กล้าแม้จะแสดงความโมโห

“เสียงเดียวก็กำราบพวกเจ้าสองคนได้ ดูท่ามารกระบี่เต้ายวนที่ว่านี่น่าจะเป็นคนที่ยอดเยี่ยมคนหนึ่งนะ”

ครู่ใหญ่จักรพรรดิมารคีรีดำถึงเอ่ยทอดถอนใจ

สิงเหลียนฉี่กัดฟันพูดว่า “นายท่าน ไม่ว่าเจ้านั่นจะเยี่ยมยอดเพียงไหน การกระทำนี้ของเขาก็ท้าทายเดชของนายท่านไปแล้ว จะปล่อยเขาไม่ได้!”

จักรพรรดิมารคีรีดำยิ้มหยันออกมา “สิงเหลียนฉี่ ข้าถามเจ้าหน่อย เหตุใดเขาฆ่าแต่ซานหย่ง แต่ให้เจ้ารอด แถมยังเอาบรรณาการมาพบข้าด้วย”

สิงเหลียนฉี่ชะงักไป เขาไม่ทันเอ่ยปากจักรพรรดิมารคีรีดำก็เอ่ยเสียงเหี้ยมไปแล้วว่า “ถ้าเจ้าไม่พูดความจริงออกมา ก็อย่าหาว่าข้าไม่เกรงใจ”

สิงเหลียนฉี่สั่นไปทั้งตัว สีหน้าผกผันไม่ว่างเว้น ก่อนหน้านี้ตอนเขารายงานจักรพรรดิมารคีรีดำ ได้ปิดบังความจริงบางอย่างจริงๆ พูดแต่เรื่องที่ไม่เป็นผลดีกับหลินสวิน

แต่เห็นได้ชัดว่าคนคิดชั่วอย่างเขาถูกมองออกแล้ว

“นายท่าน ข้าน้อยสำนึกผิดแล้ว!”

สิงเหลียนฉี่เผยสีหน้าหวาดกลัว โขกศีรษะกับพื้นอย่างแรง

“ข้าแค่อยากรู้ความจริง” จักรพรรดิมารคีรีดำสีหน้าเฉยเมย “ถ้าเจ้าไม่บอก รอข้าสืบออกมาได้ เจ้ามีแต่จะตายอย่างอนาถยิ่งกว่านี้”

สิงเหลียนฉี่หน้าเปลี่ยนสียกใหญ่ สูดหายใจลึกเฮือกหนึ่ง แข็งใจพูดความจริงออกมา รวมถึงเรื่องที่เขาได้รับ ‘ผลประโยชน์’ เช่นไรจากเจ้าเมืองเหล่านั้น และยังไปกดข่มหลินสวินกับจี้เหลิ่งอย่างไร ไม่กล้าปิดบังอีกแม้แต่นิด

พอฟังจบจักรพรรดิมารคีรีดำยิ้มขึ้นมา แต่รอยยิ้มนั้นกลับทำให้สิงเหลียนฉี่รู้สึกขนลุกซู่ วิญญาณแทบหลุดลอย

“หมาถูกบีบจนร้อนรนยังกัดคนอื่น นับประสาอะไรกับขู่เอาผลึกมรรคร้อยล้านก้อน…”

เมื่อจักรพรรดิมารคีรีดำยืนขึ้น สีหน้ามองไม่เห็นรอยยิ้มสักนิด “ถ้าเปลี่ยนเป็นข้า คงฆ่าพวกเจ้าไปนานแล้วเช่นกัน”

“โลกมืดนี้ไม่มีกฎอะไรให้พูดกันได้จริงๆ แต่ในอาณาเขตของข้า กฎระเบียบที่ข้าตั้งก็คือกฎที่ใหญ่ที่สุด แต่ข้ากลับคิดไม่ถึงว่าพวกเจ้า… เพื่อผลประโยชน์บางอย่างที่ว่าก็กล้าทำลายกฎข้า”

“พวกเจ้าช่างขวัญกล้าเสียจริง!”

สิงเหลียนฉี่ชุ่มเหงื่อไปทั้งตัวเหมือนตกลงไปในหลุมน้ำแข็ง

จู่ๆ เขาก็นึกถึงคำของหลินสวิน ‘ข้าจะอภัยให้เจ้าครั้งหนึ่ง แค่ไม่รู้ว่าหลังจากเจ้ากลับไปคราวนี้ เจ้าแคว้นคีรีดำจะยกโทษให้เจ้าหรือไม่”

ก็ในตอนนี้เองเขาถึงเพิ่งพบว่า เมื่อเทียบกับคนใต้อาณัติถูกฆ่าตาย สิ่งที่เจ้าแคว้นคีรีดำสนใจยิ่งกว่าก็คือกฎที่ตนตั้งขึ้น แต่กลับถูกลูกน้องของตัวเองฝ่าฝืนและทำลาย!

“ความแค้นของซานหย่งต้องชำระ ถึงอย่างไรเขาก็เป็นคนของข้า มาตายแบบนี้แล้ว ไม่ว่าจะด้วยความรู้สึกหรือเหตุผลข้าก็จะนิ่งดูดายไม่ได้”

จักรพรรดิมารคีรีดำครุ่นคิดแล้วเอ่ยว่า “แต่ก่อนล้างแค้น เจ้าไม่คิดว่าตัวเองพลาดจ่ายค่าตอบแทนอะไรไปหรือ”

สิงเหลียนฉี่สีหน้าหวาดกลัวไปหมด “นายท่าน ข้าน้อยแม้ทำผิดบางอย่าง แต่… โทษไม่ถึงตายนะขอรับ!”

“ไม่ เจ้าต้องตาย”

จักรพรรดิมารคีรีดำสีหน้าจริงจัง “เจ้าตายแล้ว ข้าถึงจะแก้แค้นให้พวกเจ้าได้อย่างเต็มที่ไม่ใช่หรือ”

เสียงยังไม่ทันเงียบลง เขาก็ยื่นมือออกไปคว้ากลางอากาศเบาๆ

ฟุบ!

หัวของสิงเหลียนฉี่ถูกเด็ดลงมาอยู่ในมือจักรพรรดิมารคีรีดำเหมือนผลไม้ผลหนึ่ง ก่อนตายสีหน้ายังพรั่นพรึงยิ่งยวดไม่คลาย

จักรพรรดิมารคีรีดำชูมือขึ้น ปิดตาที่เบิกกว้างของสิงเหลียนฉี่ให้สนิทแล้วเอ่ยเสียเบาว่า “เด็กๆ เอาหัวนี้ไปมอบให้มารกระบี่เต้ายวนเมืองผีครอบงำ บอกเขาว่าข้าแยกแยะบทลงโทษและรางวัลได้ ต้องการผู้มีความสามารถ ตั้งแต่วันนี้ไปขอเพียงเขามารกระบี่เต้ายวนสวามิภักดิ์กับข้า เรื่องในอดีตจะไม่เอาความ”

“ขอรับ”

นอกโถงใหญ่มีเสียงแหบแห้งเสียงหนึ่งดังขึ้น

ขณะเดียวกันศีรษะของสิงเหลียนฉี่ก็ถูกเขวี้ยงออกมาจากในโถง

ภายในโถงใหญ่ จักรพรรดิมารคีรีดำเอยเฉยชาว่า “ดาบดีก็ต้องใช้ให้ดี ถ้าฆ่าไปก็น่าเสียดายนัก…”

……

เมืองผีครอบงำ

เมื่อสองมือของจี้เหลิ่งยกศีรษะเลือดไหลรินของสิงเหลียนฉี่นั้นมาให้เห็น หลินสวินที่กำลังฝึกตนอยู่ก็อึ้งไปอย่างอดไม่ได้

“อยากให้ข้าสวามิภักดิ์หรือ” เขาเอ่ยถาม

“ใช่ขอรับ”

จี้เหลิ่งสีหน้ายำเกรงเจือปนไปกับความประจบ “จากจุดนี้จะเห็นว่าใต้เท้าเจ้าแคว้นคีรีดำแยกแยะบทลงโทษและรางวัลได้จริงๆ สติปัญญาดุจคบเพลิง รู้ว่าท่านผู้อาวุโสพลังต่อสู้เยี่ยมยอด ถึงขนาดเกิดความรู้สึกเสียดายคนเก่ง นี่เป็นเรื่องดีเท่าฟ้าเชียวนะขอรับ”

พูดถึงตรงนี้เสียงเขาก็ยิ่งตื่นเต้นขึ้นมา

“เหอะๆ”

หลินสวินหัวเราะ แววตาพิกล “เอาสิ ขอเพียงเขาไม่กังวลว่าจะนำภัยมาถึงตัว ทำไมข้าจะไม่ยินดีล่ะ”

จี้เหลิ่งอึ้งไป นี่หมายความว่าอย่างไร

หลินสวินกลับไม่อธิบายอีก โบกมือพูดว่า “เจ้าไปถามเจ้าแคว้นคีรีดำว่าเงื่อนไขหลังสวามิภักดิ์คืออะไร ขอเพียงไม่เกินกว่าเหตุข้าจะรับปากทั้งนั้น”

ในใจจี้เหลิ่งยิ่งกังขา รู้สึกว่าหลินสวินตอบรับอย่างยินดีเกินไป กลับทำให้รู้สึกไม่สบายใจ…

แต่เขาไม่กล้าถามอีก รีบรับคำสั่งออกไป

และหลังจากจี้เหลิ่งจากไป หลินสวินก็หัวเราะอย่างอดไม่ได้ขึ้นมาอีก พึมพำในใจว่า ‘นี่เจ้าโดดลงหลุมมาเอง ภายหน้าอยากปีนออกไป… ก็สายไปแล้ว…”

หลินสวินมั่นใจว่าในโลกมืดแห่งนี้ ไม่ช้าก็เร็วฐานะของตนจะถูกมองออกเข้าสักวัน

และเมื่อฐานะของตนถูกมองออกจริงๆ…

เจ้าแคว้นคีรีดำที่เป็น ‘ลูกพี่ใหญ่’ ของตนจะไม่พลอยติดร่างแหไปด้วยได้อย่างไร

คิดถึงตรงนี้หลินสวินยังเวทนาอย่างอดไม่อยู่ กระบี่มีสองคม ใช้ไม่ดี… จะทำร้ายตัวเองเอาได้…

และเมื่อได้รับคำตอบกลับของหลินสวิน จักรพรรดิมารคีรีดำก็ยิ้มแล้ว ในใจเบิกบาน

ในความคิดเขา มารกระบี่เต้ายวนคนนี้เป็นคนฉลาดอย่างแน่นอน รู้ว่าเลือกก้มหัวและสวามิภักดิ์ถึงจะอยู่รอดในโลกมืดนี้ได้นานยิ่งขึ้น

——