สวบ!

แผนภาพอาณาเขตแคว้นหนาวเหน็บที่จัดทำอย่างประณีตผืนหนึ่งคลี่ออก บนนั้นอธิบายการกระจายตัวของเมืองใหญ่ต่างๆ ในแคว้นหนาวเหน็บอย่างละเอียด

อาณาเขตที่สิบเจ้าแคว้นใหญ่ครอบครองถูกทำเครื่องหมายไว้อย่างชัดเจน

ประกายเทพไหววูบในดวงตาจักรพรรดิมารคีรีดำขณะจับจ้องแผนภาพนั้น

สุดท้ายนิ้วมือเขาจิ้มลงไปบนพื้นที่หนึ่งในนั้น เอ่ยเสียงต่ำลึกว่า “ส่งข่าวให้มารกระบี่เต้ายวน ให้เขาไปชิงอาณาเขตที่เจ้าหมีเฒ่าคลั่งโลหิตนั่นครอบครอง ขอเพียงเป็นอาณาเขตที่เขาจัดการได้ ข้าจะยกให้เขาควบคุมทั้งหมด!”

“นายท่าน ถ้ามารกระบี่เต้ายวนปฏิเสธล่ะ”

“ในเมื่อเลือกสวามิภักดิ์ จะมีใครไม่ลงแรงขายชีวิตให้ข้าอีก ไปเถิด เขาเป็นคนฉลาด รู้ว่าควรเลือกอย่างไร”

“ขอรับ”

……

เมืองผีครอบงำ

จวนเจ้าเมือง เมื่อได้รู้คำสั่งที่เจ้าแคว้นคีรีดำสั่งมา จี้เหลิ่งเพียงรู้สึกว่าฟ้าดินตรงหน้าหมุนติ้วไปชั่วขณะ แทบล้มลงไป

“หมีเฒ่านั่น… มีใครกล้าไปแหย่ด้วยหรือ เจ้าแคว้นคีรีดำอยากส่งผู้อาวุโสเต้ายวนไปตายชัดๆ เลยนะ…”

จี้เหลิ่งอกสั่นขวัญแขวน

เดิมเขานึกว่าเจ้าแคว้นคีรีดำจะมองหลินสวินอีกแบบหนึ่ง ยังคิดว่าตั้งแต่นี้ไปจะได้รับการคุ้มครองจากเจ้าแคว้นคีรีดำ ภายหน้าก็ไม่ต้องกลัดกลุ้มเรื่องเอาชีวิตรอดอีก

ใครจะคิดว่าไม่ใช่แบบนี้เลยสักนิด!

“ผู้อาวุโส เรื่องใหญ่ไม่สู้ดี!”

จี้เหลิ่งมาหาหลินสวินทันที สีหน้าขมขื่นและกังวลใจมาก ก่อนจะแจ้งคำสั่งที่เจ้าแคว้นคีรีดำมอบหมายให้หลินสวินในคราวเดียว

พื้นที่ที่เจ้าแคว้นคีรีดำครอบครองอยู่เป็นเพียงอาณาเขตส่วนน้อยในแคว้นหนาวเหน็บ อาณาเขตที่ติดกับของเจ้าแคว้นคีรีดำ มี ‘เจ้าแคว้นคลั่งโลหิต’ หนึ่งในสิบเจ้าแคว้นใหญ่ครอบครอง

หลายปีมานี้เจ้าแคว้นคีรีดำกับเจ้าแคว้นคลั่งโลหิตขัดแย้งกันหลายครั้ง เข่นฆ่ากันจนเลือดไหลเป็นสายน้ำเพื่อชิงอาณาเขต โหดร้ายถึงที่สุด

แต่ส่วนใหญ่ก็มักเป็นเจ้าแคว้นคีรีดำที่เป็นฝ่ายขาดทุนมากหน่อย

อย่างก่อนหน้านี้ เมืองที่เจ้าแคว้นคีรีดำครอบครองมีถึงร้อยเก้าสิบกว่าเมือง แต่ตอนนี้กลับเหลือเพียงหนึ่งร้อยเก้าเมือง

เมืองที่หายไปเหล่านั้นถูกขุมอำนาจที่อยู่ใต้อาณัติเจ้าแคว้นคลั่งโลหิตฮุบไปแทบทั้งนั้น

กล่าวอย่างไม่เกินเลย ในสิบเจ้าแคว้นใหญ่ ขุมอำนาจใต้อาณัติเจ้าแคว้นคีรีดำกับขุมอำนาจใต้อาณัติเจ้าแคว้นคลั่งโลหิตผูกแค้นถึงตายกันไว้นานแล้ว

ไม่กี่ปีมานี้เจ้าแคว้นคีรีดำพยายามไปกู้อาณาเขตที่เสียไปเหล่านั้นมาโดยตลอด แต่ไม่เคยได้ดังปรารถนา สิ่งนี้กลายเป็นความเจ็บปวดของเขาไปแล้ว

ดังนั้นเมื่อจี้เหลิ่งได้รับคำสั่ง เขาก็รู้ได้ทันทีว่าเหตุการณ์ไม่เข้าทีแล้ว!

จี้เหลิ่งพูดต้นสายปลายเหตุออกมาจนหมด อดเอ่ยอย่างซึมๆ ไม่ได้ว่า “ผู้อาวุโส พวกเราทั้งล่วงเกินเจ้าแคว้นคีรีดำไม่ได้ และยิ่งไม่อาจล่วงเกินเจ้าแคว้นคลั่งโลหิตด้วย ข้าคิดว่าพวกเรา… หนีกันเถอะ…”

นัยน์ตาดำของหลินสวินวาบวาว เอ่ยว่า “เจ้าไม่รู้สึกว่านี่เป็นโอกาสหรือ”

จี้เหลิ่งอึ้งไป “โอกาสหรือ”

หลินสวินแววตาลุ่มลึก “เจ้าแคว้นคีรีดำต้องการยืมดาบฆ่าคน ใช้สิ่งนี้มาทดสอบใจภักดีของข้า ถ้าข้าตายไป แม้เขาไม่อาจได้ดังที่หวังแต่ก็จะไม่รู้สึกเวทนาแต่อย่างใด ทว่า… ถ้าข้ายังรอดล่ะ”

จี้เหลิ่งยิ้มขื่นเอ่ยว่า “รอดหรือ จะเป็นไปได้อย่างไร กำลังของเจ้าแคว้นคลั่งโลหิตน่ากลัวยิ่งกว่าอีก ถ้าพวกเราไปท้าทายเขา ช่วงสั้นๆ อาจจะพอได้ประโยชน์อยู่บ้าง แต่นานเข้าเจ้าแคว้นคลั่งโลหิตจะปล่อยพวกเราไปได้อย่างไร”

หลินสวินเอ่ยจริงจังว่า “พวกเราแค่รับหน้าที่บุกยึดเมือง ถ้าเจออันตรายถึงชีวิตจริงๆ ก็หนีกลับอาณาเขตเจ้าแคว้นคีรีดำ ถึงตอนนั้นเจ้าคิดว่าเจ้าแคว้นคีรีดำจะนิ่งดูดายได้หรือ”

จี้เหลิ่งเอ่ยลังเล “แต่ว่า… จะเสี่ยงเกินไปหรือเปล่า”

หลินสวินยิ้ม เอ่ยแฝงนัยลึกล้ำ “ถ้าไม่ทำอะไรบางอย่าง จะให้เจ้าแคว้นคีรีดำมาตั้งใจคุ้มครองพวกเราได้อย่างไร”

เขาเสริมในใจอีกประโยคหนึ่งว่า ‘เผือกร้อนลูกนี้ เจ้าแคว้นคีรีดำทิ้งไม่ได้แล้ว’

“ผู้อาวุโส ท่าน… มั่นใจจริงๆ หรือ”

จี้เหลิ่งสูดหายใจลึกเฮือกหนึ่งพลางเอ่ยถาม

หลินสวินลุกขึ้น ตบไหล่จี้เหลิ่งแล้วเอ่ยว่า “จี้เหลิ่ง เจ้าเป็นคนมีความสามารถคนหนึ่ง นี่ก็คือสาเหตุที่ข้าไม่ฆ่าเจ้า ความสามารถที่เจ้าแสดงออกก็ไม่เลว ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอะไร อย่างน้อยก็ไม่ได้ทำให้ข้าจับจุดอ่อนอะไรได้”

หลินสวินพูดถึงตรงนี้จี้เหลิ่งก็เหงื่อผุดท่วมตัว ตอนนี้เขาถึงตระหนักได้ว่า ช่วงที่ผ่านมานี้ทุกการเคลื่อนไหวของเขาถูกหลินสวินจับตามองมานานแล้ว

“ตอนนี้ข้าให้โอกาสเจ้าครั้งหนึ่ง ขอเพียงคว้าไว้ได้ ภายหน้าไม่ใช่แค่ให้เจ้าเป็นเจ้าเมือง ต่อให้เป็นเจ้าแคว้นก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้ จุดสำคัญก็อยู่ที่ว่าเจ้ากล้าพอไหม”

หลินสวินพูดจบจี้เหลิ่งก็สะท้านไปทั้งตัวครู่หนึ่ง ตกตะลึงตาเบิกกว้าง เจ้าแคว้นหรือ อย่างตนน่ะหรือ

ถ้าคำพูดนี้เป็นคนอื่นพูด จี้เหลิ่งคงถ่มน้ำลายใส่หน้าเขาไปนานแล้ว ล้อเล่นอะไรกัน ตนเป็นมกุฎมหาอริยะคนหนึ่ง ไม่ใช่กึ่งจักรพรรดิด้วยซ้ำ ยังกล้าคะนึงหาตำแหน่งเจ้าแคว้นอีกหรือ

เพ้อฝันทั้งเพ!

แต่คำพูดนี้ออกมาจากปากหลินสวิน กลับทำให้จี้เหลิ่งใจสะท้านนัก ทั้งยังเกิดความคิดที่เหนือจริงเสี้ยวหนึ่งขึ้นมา

เขาสะบัดหัวฉับพลันคล้ายพยายามตั้งสติ ถึงค่อยใคร่ครวญแล้วเอ่ยว่า “ผู้อาวุโส… ท่านไม่ได้พูดเล่นจริงๆ ใช่ไหม”

“เจ้าว่าข้าเหมือนล้อเล่นอยู่หรือ” หลินสวินสีหน้าจริงจัง

จี้เหลิ่งสีหน้าสับสนไปหมด “แต่ว่า ข้า… รู้สึกไม่มั่นใจน่ะ… ท่านจะชี้แนะสักหน่อยได้หรือไม่”

หลินสวินพูด “ตอนนี้บอกไปเจ้าต้องไม่เชื่อแน่ ไม่สู้ทุ่มสุดตัวไปอาณาเขตเจ้าแคว้นคลั่งโลหิตกับข้าสักครั้ง แน่นอนว่าถ้าเจ้าไม่อยากไปข้าก็ไม่ฝืนใจ เอาอย่างนี้แล้วกัน เจ้าไปไตร่ตรองดูก่อน ถ้าตรองดีแล้วพรุ่งนี้เช้าตรู่ก็ออกเดินทาง”

“ขอรับ”

จี้เหลิ่งรีบรับปาก

จนเมื่อมองดูจี้เหลิ่งจากไป หลินสวินถึงถอนใจในใจอย่างอดไม่ได้

‘ซี… ตกลงไปไหนกันแน่’

‘เพราะชื่อเสียงของข้าในตอนนี้ยังไม่โด่งดังมากพอหรือ นางก็เลยไม่รู้ว่าข้าอยู่ที่แคว้นหนาวเหน็บแห่งนี้’

‘เช่นนั้นก็ลองก่อเรื่องดูสักตั้ง อย่างน้อยให้ชื่อเต้ายวนนี้กึกก้องสะท้านสะเทือน… ดังไปทั่วเวิ้งฟ้าแคว้นหนาวเหน็บ!’

……

เช้าวันรุ่งขึ้น

หลินสวินตื่นขึ้นจากการนั่งสมาธิ จี้เหลิ่งที่นอนไม่หลับทั้งคืนรออยู่นอกโถงใหญ่แล้ว

“ตัดสินใจแล้วหรือ”

หลินสวินยืดตัวลุกขึ้น ยิ้มพลางเดินออกมาจากโถงใหญ่

จี้เหลิ่งสูดหายใจลึกเฮือกหนึ่งแล้วพยักหน้าน้อยๆ

หลังกลับไปเมื่อวานเขาก็สับสนไปทั้งคืน รู้สึกขัดแย้งในใจ สุดท้ายก็ยังข่มความทะเยอะทะยานไม่สมจริงในใจนั้นไม่ลง และตัดสินใจเด็ดขาด

ครู่ต่อมาจี้เหลิ่งก็ล้วงม้วนหยกม้วนหนึ่งออกมาส่งให้หลินสวิน “ผู้อาวุโสท่านดู นี่เป็นแผนภาพอาณาเขตของเจ้าแคว้นคลั่งโลหิตที่ข้าจัดแยกไว้…”

“อิทธิพลของเจ้าแคว้นคลั่งโลหิตครอบคลุมเมืองสองร้อยสี่สิบเก้าเมือง ใต้อาณัติมีแม่ทัพศึกระดับกึ่งจักรพรรดิห้าสิบเก้าคน นี่เป็นกำลังหลักของเขา ทั้งยังน่ากลัวเป็นที่สุด”

“ในกลุ่มนี้ที่ควรจับตามองมีสองคน คนหนึ่งชื่อหลี่ว์เสียน อีกคนชื่อชิงหยาง ต่างเป็นมกุฎกึ่งจักรพรรดิ ทั้งแคว้นหนาวเหน็บเรียกได้ว่าชื่อดังกระฉ่อน น่ากลัวเป็นที่สุด พวกเขาสองคนเป็นมือซ้ายมือขวาของเจ้าแคว้นคลั่งโลหิต”

ฟังถึงตอนนี้หลินสวินอดเผยสีหน้าพิกลไม่ได้

มกุฎกึ่งจักรพรรดิ!

นี่จะหายากเกินไปแล้ว มองไปทั่วหล้ายังเรียกได้ว่าน้อยนิด ใครจะคิดว่าใต้อาณัติเจ้าแคว้นคลั่งโลหิตจะมีคนเช่นนี้ แถมยังมีถึงสองคนด้วย!

คิดถึงตรงนี้หลินสวินก็ถามอย่างอดไม่ได้ว่า “ลูกน้องเจ้าแคว้นคีรีดำมีมกุฎกึ่งจักรพรรดิหรือไม่”

จี้เหลิ่งตอบ “มี แต่มีแค่คนเดียว ชื่อว่า ‘เลี่ยกวง’”

หลินสวินร้องอ้อ เปิดม้วนหยกที่จี้เหลิ่งส่งมาม้วนนั้น พูดพลางพลิกอ่าน “เจ้าว่าต่อ”

“เมื่อคืนข้าวิเคราะห์มาแล้ว ถ้าจะไปกินเมืองที่เจ้าแคว้นคลั่งโลหิตครอบครอง วิธีที่ปลอดภัยที่สุดก็คือเข้าโจมตีจากรอบนอก เก็บพวกที่อ่อนแอก่อน…”

เห็นได้ชัดว่าจี้เหลิ่งทำการบ้านมามากพอ ตอนนี้พูดจาฉะฉาน ดึงเอาข้อมูลแต่ละอย่างมาเรียบเรียบได้เป็นอย่างดี คุ้นเคยเหมือนนิ้วมือตัวเอง

และนี่ก็เป็นสิ่งที่หลินสวินชื่นชมจี้เหลิ่ง

แม้พลังต่อสู้เจ้าหมอนี่ไม่ดี แต่เปี่ยมปัญญามากแผนการ ละเอียดรอบคอบ ฝากเรื่องจุกจิกพวกนั้นให้เขา รับรองว่าจะทำออกมาได้ดีเลิศ

“ผู้อาวุโส จากที่ข้าดู พวกเราสามารถเริ่มลงมือจาก ‘เมืองหม่อนคม’ ก่อน เมืองนี้ติดกับอาณาเขตที่เจ้าแคว้นคีรีดำครอบครอง เจ้าเมือง ‘หลันเจียว’ แม้เป็นมกุฎราชันอริยะ…”

จี้เหลิ่งไม่ทันพูดจบหลินสวินก็ตัดบทว่า “ก็ทำแบบนี้แหละ”

จี้เหลิ่งอึ้งไป เขายังไม่ทันวิเคราะห์ข้อดีข้อเสียเลยนะ ทำไมถึงตัดสินใจแล้วล่ะ

หลินสวินตบไหล่เขา “เจ้าจัดการ ข้าวางใจ”

จี้เหลิ่งเป็นเฒ่าชราที่ผ่านการนองเลือดมานับไม่ถ้วน โลดแล่นในโลกมืดมานานปี นิสัยใจคอถูกเคี่ยวกรำให้เย็นชาเข้มแข็งหาใดเทียบมานานแล้ว

แต่ขณะนี้ในใจกลับอุ่นร้อนขึ้นมา รู้สึกแสบจมูกไปครู่หนึ่ง ในโลกมืด ความรู้สึกที่ได้รับความเชื่อถือเช่นนี้… หาได้ยากยิ่งจริงๆ…

……

เช้าตรู่วันนั้นหลินสวินกับจี้เหลิ่งก็ออกจากเมืองผีครอบงำ

เวลาย่ำค่ำทั้งสองก็มาถึงกลางเทือกเขาอันตรายที่ห่างจากเมืองหม่อนคมสามพันลี้แล้ว

วู้มๆๆ…

ไอพิฆาตดุดันพวยพุ่งในภูผาธารา อบอวลไปด้วยกลิ่นอายเหม็นเน่าคาวเลือดเตะจมูก ลมภูเขาหวีดร้อง เย็นเยียบเสียดกระดูกดุจดาบ

หลินสวินยืนมือไพล่หลังอยู่บนยอดเขาลูกหนึ่ง เอ่ยว่า “โลกมืดระเบียบพังทลาย ปั่นป่วนวุ่นวาย ทุกวันจะเกิดการเข่นฆ่านับไม่ถ้วน ด้วยพลังอริยะ ไม่ทันไรก็ทำลายเมืองทิ้งได้เมืองหนึ่ง แต่เหตุใดผู้คนถึงยึดติดกับการแย่งครองเมืองเช่นนี้”

เขาไม่เข้าใจจริงๆ

“ผู้อาวุโสไม่รู้อะไร เมืองพังแล้วยังสร้างได้ มีเพียงได้ยึดครองเมือง ถึงดึงดูดให้ผู้แข็งแกร่งที่พเนจรในโลกมืดมาพึ่งพิงได้ พอคนมากก็จะเก็บเกี่ยวทรัพยากรฝึกปราณได้โดยไม่มีที่สิ้นสุด จึงทำให้ขุมอำนาจตนแข็งแกร่งขึ้นไม่หยุด”

จี้เหลิ่งพูดอย่างรวดเร็ว “ก็เหมือนเมืองหม่อนคมนั่น อยู่ติดกับอาณาเขตที่เจ้าแคว้นคีรีดำครอบครอง ก็เป็นหนึ่งในพื้นที่ที่ปั่นป่วนนองเลือดที่สุด”

“เพียงแค่ในช่วงเกือบพันปีมานี้ก็ถูกทำลายมาแล้วห้าสิบกว่าครั้ง เจ้าเมืองที่ยึดเมืองนี้เปลี่ยนมาแล้วร้อยกว่าคน”

“แต่ต่อให้เป็นเช่นนี้ หลังจากการต่อสู้ห้ำหั่นแต่ละครั้งจบลง เมืองนี้ก็จะเกิดขึ้นใหม่จากซากปรักหักพัง และมีผู้แข็งแกร่งมากมายมาเยือนเช่นกัน”

“ในหมู่ผู้แข็งแกร่งเหล่านี้ส่วนมากเป็นพวกหนีตาย เป้าหมายที่มาเมืองหม่อนคมก็ง่ายนัก เพราะที่นี่มีการต่อสู้ปะทุขึ้นอย่างต่อเนื่อง ขอเพียงดวงแข็งพอ ศักยภาพแข็งแกร่งมากพอ ยิ่งฆ่าคนมาก ทรัพย์หลังศึกที่ได้รับก็จะมากตามไปด้วย”

“พูดง่ายๆ นี่ก็คือการเอาชีวิตมาแลกทรัพย์สิน”

“ทั้งยังมีผู้แข็งแกร่งบางคนมาเพื่อเคี่ยวกรำพลังปราณ คนประเภทนี้มีน้อยนิด แต่คนพวกนี้ก็น่ากลัวที่สุด ถูกเรียกขานว่า ‘ผู้ฝึกหลอม’”

“พวกเขามักมีรากฐานและพลังน่ากลัวหาใดเทียบ ใช้การต่อสู้เป็นการหลอมปราณ หลอมมหามรรคในกายตน เข่นฆ่านับไม่ถ้วน น่าหวาดผวากว่าพวกหนีตายพวกนั้นอีก!”