ผู้ฝึกหลอม!
หลินสวินเพิ่งเคยได้ยินคนจำพวกนี้เป็นครั้งแรก
ก็เห็นว่าจี้เหลิ่งพูดต่อ “โดยทั่วไปแล้ว ผู้ฝึกหลอมเป็นผู้สืบทอดสายตรงที่มาจากสามยักษ์ใหญ่แห่งโลกมืดแทบทั้งนั้น และมีจำนวนหนึ่งเป็นผู้สืบทอดที่มาจากโลกอื่นในทางเดินโบราณฟ้าดารา”
“เจ้าพวกนี้มองโลกมืดเป็นที่ฝึกหลอม สังหารไม่หวั่นเกรง ทั้งยังครอบครองวิชาต่อสู้รักษาชีวิตไม่น้อย รับมือยากเป็นที่สุด”
หลินสวินถึงได้กระจ่างใจในยามนี้
“ผู้อาวุโส แม้สิบเจ้าแคว้นใหญ่แห่งแคว้นหนาวเหน็บจะน่าหวาดหวั่นหาใดเทียบ แต่ผู้ที่มีอิทธิพลและควบคุมภาพรวมของแคว้นหนาวเหน็บที่แท้จริงก็คือสำนักโบราณจรัสเทพ”
จี้เหลิ่งรีบพูด “อย่างจักรพรรดิมารวายุสังหารที่เป็นเจ้าแคว้นอันดับหนึ่งของแคว้นหนาวเหน็บ เดิมก็เป็นระดับผู้อาวุโสคนหนึ่งในสำนักโบราณจรัสเทพ อำนาจคับฟ้า”
“ดังนั้นครั้งนี้หากพวกเราพบเจอผู้ฝึกหลอมที่มาจากสำนักโบราณจรัสเทพ จะหาเรื่องไม่ได้เด็ดขาด หาไม่แล้วจะต้องชักนำความยุ่งยากมานับไม่ถ้วน”
กับเรื่องนี้หลินสวินไม่ตอบรับหรือปฏิเสธ
เมื่อเอ่ยถึงสำนักโบราณจรัสเทพ หลินสวินก็นึกถึงกึ่งจักรพรรดิปาชี ในใจผุดไอสังหารที่ไม่อาจควบคุมได้
โศกนาฏกรรมของตระกูลหลินในตอนนั้น บัดนี้ความจริงเปิดเผยแล้ว อวิ๋นชิ่งไป๋เป็นเพียงหมากที่ถูกคนอื่นจับวาง ผู้บงการหลังม่านกลับเป็นกึ่งจักรพรรดิปาฉี!
และยามโศกนาฏกรรมตระกูลหลินเกิดขึ้น ยังมีพลังระเบียบต้องห้ามปรากฏขึ้นมาด้วย นี่ทำให้หลินสวินไม่อาจไม่สงสัย ว่าสำนักโบราณจรัสเทพอาจจะเป็นหมาข้างกายจักรพรรดิไร้นามคนก่อนนั่นด้วย!
“ไปเถอะ”
หลินสวินไม่คิดอะไรอีก เริ่มออกเคลื่อนไหว
จี้เหลิ่งรีบตามไปพลางพูดอย่างอดไม่ได้ว่า “ผู้อาวุโส พวกเรา… จะบุกไปแบบนี้เลยหรือ”
ในความคิดเขา การชิงเมืองเมืองหนึ่งต้องวางแผนและเตรียมตัวให้ดี ยามจำเป็นยังต้องไปสืบข้อมูลของศัตรูสักหน่อย แล้ววางแผนอย่างค่อยเป็นค่อยไป
แต่เห็นได้ชัดว่าหลินสวินไม่มีความคิดจะทำแบบนี้ พูดทันทีว่า “ในการต่อสู้ความเร็วล้ำค่า เมืองหม่อนคมเมืองเดียวเท่านั้น บุกไปถึงที่เลยก็พอ”
จี้เหลิ่งกระตุกมุมปากไปครู่หนึ่ง นี่… จะเรียบง่ายหยาบกระด้างไปแล้วกระมัง
ไม่นานนักเค้าโครงเมืองหม่อนคมอันมหึมาโดดเด่นก็ปรากฏขึ้นในสายตา อัสดงยอแสง ชโลมสีแดงดั่งโลหิตไปทั้งเมือง
ประตูเมืองเปิดอ้า มีผู้ฝึกปราณมากมายเข้าๆ ออกๆ ทุกคนกลิ่นอายล้วนแกร่งกล้าถึงที่สุด ไอพิฆาตชวนตะลึง
“ผู้อาวุโส ในเมืองหม่อนคมมีแท่นไฟสัญญาณแท่นหนึ่ง ถ้าเกิดเหตุอันตรายจะจุดแท่นไฟสัญญาณ ผู้แข็งแกร่งที่อยู่ภายใต้ปกครองของเจ้าแคว้นคลั่งโลหิตก็จะรีบมาทันที”
หลังจากมาถึงที่นี่สีหน้าจี้เหลิ่งเปลี่ยนเป็นเคร่งเครียดขึ้นมา เอ่ยพูดรวดเร็วว่า “หลายปีนี้เจ้าแคว้นคีรีดำส่งผู้แข็งแกร่งมาไม่รู้เท่าไร หมายจะชิงเมืองหม่อนคมกลับไป แต่สุดท้ายล้วนคว้าน้ำเหลว สาเหตุก็อยู่ที่แท่นไฟสัญญาณนี่”
“ข้าน้อยเสนอว่าพวกเราควรควบคุมแท่นไฟสัญญาณนี้ให้ได้ก่อนจะดีที่สุด”
จิตรับรู้หลินสวินแผ่ขยาย พริบตาก็ปกคลุมทั้งเมืองหม่อนคมเอาไว้ สัมผัสคร่าวๆ แล้วเอ่ยว่า “แท่นไฟสัญญาณที่เจ้าว่านั่น ใช่ที่สร้างอยู่ในจวนเจ้าเมืองเมืองหม่อนคมหรือไม่”
จี้เหลิ่งพยักหน้าต่อเนื่อง “ใช่แล้วขอรับ”
“ไป”
หลินสวินเดินตรงแน่วไปยังประตูเมือง
ทั้งสองด้านของประตูเมืองมีผู้คุ้มกันที่ดูดุดันหาใดเทียบสอบคนเฝ้าอยู่ เมื่อเห็นหลินสวินหนึ่งในนั้นก็ตะคอกว่า “ดูรูปลักษณ์เจ้าแปลกหน้านัก มาใหม่ล่ะสิ เข้าเมืองต้องจ่ายห้าพันผลึกมรรค!”
หลินสวินเหมือนไม่รู้สึกอะไร สนใจแต่เดินหน้าต่อ
เมื่อเห็นว่าถูกเพิกเฉย ประกายดุร้ายก็ฉายวาบในดวงตาผู้คุ้มกันคนนั้น ทันใดนั้นก็ฟาดฝ่ามือใส่หลินสวิน “ยังกล้าเดินเข้ามาทื่อๆ ช่างไม่รู้ที่ตาย!”
ปึง!
พลังฝ่ามือของผู้คุ้มกันคนนี้ยังไม่ทันโดนหลินสวิน ก็รู้สึกเพียงภาพตรงหน้ามืดไปหมด ร่างกายเหมือนถูกวัวเถื่อนดึกดำบรรพ์ชนเข้าอย่างจัง ถอยกระเด็นดังปึงออกไปอย่างรุนแรง กระแทกเข้ากับกำแพงเมืองและฝังลงไปในนั้น สลบเหมือดไปทันที
ผู้คุ้มกันอีกคนตกตะลึงหน้าถอดสี กำลังจะส่งเสียงก็เห็นว่าหลินสวินสะบัดแขนเสื้อครั้งหนึ่ง
ปึง!
เสียงหนักทึบเสียงหนึ่งดังขึ้น ผู้คุ้มกันคนนี้ถูกกระแทกลงไปกับพื้นเหมือนไม้ซุง โผล่ออกมาให้เห็นแต่ศีรษะ หมดสติตาเหลือกไปแล้ว
ด้านหลินสวินหายลับไปในเมืองตั้งนานแล้ว
จี้เหลิ่งมองจนตาค้าง บุกเข้าไปตรงๆ จริงๆ ด้วย!
เขาไม่กล้าลังเล รีบร้อนตามไป
“หมอนั่นเป็นใคร”
“ฝีมือร้ายกาจเกินไปแล้ว หรือจะมาชิงตำแหน่งเจ้าเมือง”
“ไป ไปดูเรื่องสนุกกัน”
ทั้งในและนอกเมืองมีผู้แข็งแกร่งตกใจ พอได้เห็นภาพนี้ต่างประหลาดใจไปครู่หนึ่ง แต่ไม่ถึงกับตกตะลึง
คนไม่น้อยต่างตามเข้าไปด้วยหมายจะดูเรื่องสนุก
เพราะในโลกมืด เรื่องโกลาหลทำนองนี้เกิดขึ้นบ่อยมากจริงๆ
จวนเจ้าเมือง
หลันเจียวกำลังนั่งขัดสมาธิ เขาผิวขาวสะอาด ใบหน้าสง่างาม มีเพียงหว่างคิ้วที่ปรากฏไออำมหิตซึ่งไม่อาจสลัดไปได้
ในฐานะเจ้าเมือง เขาขึ้นชื่อเรื่อง ‘รีดนาทาเร้น โลภไม่หยุดสิ้น’ เป็นเจ้าเมืองหม่อนคมแห่งนี้ตั้งแต่หกปีก่อน ผลึกมรรคที่เขาเก็บได้แต่ละเดือนมีจำนวนน่าตกใจมากถึงแปดสิบล้านก้อน!
ควรรู้ว่าเมืองทั้งสี่ที่จี้เหลิ่งควบคุมอย่างผีครอบงำ ปีศาจเพลิง ฝังกาบ และกระจับ แต่ละเดือนรวมกันยังเก็บผลึกมรรคได้แค่เก้าสิบล้านเท่านั้น
เทียบกันเช่นนี้ แค่คิดก็รู้ว่าฝีมือขูดรีดและตักตวงผลึกมรรคของหลันเจียวร้ายกาจเพียงไหน
มีเพียงตัวหลันเจียวที่รู้ดีว่า แม้เขามีฐานะเป็นมกุฎราชันอริยะ รากฐานพลังแข็งแกร่ง แต่ตำแหน่งเจ้าเมืองนี้อยู่ได้ไม่นานอยู่แล้ว
เมืองหม่อนคมวุ่นวายเกินไป อาณาเขตที่อยู่ติดกับเจ้าแคว้นคีรีดำถูกมองเป็น ‘เขตมหาพิบัติ’
หลันเจียวคำนวณดูคร่าวๆ เกือบพันปีนี้ โดยเฉลี่ยทุกสิบปีเจ้าเมืองเมืองหม่อนคมจะเกิดเหตุไม่คาดฝันต่างๆ ไม่ถูกฆ่าก็ตกอยู่ใต้อำนาจผู้อื่น
เมื่อเทียบเช่นนี้หลันเจียวจึงไม่กล้าชะล่าใจ
หกปีมานี้นอกจากตอนเก็บบรรณาการผลึกมรรค ช่วงอื่นเขาก็แทบไม่ออกจากเรือน เก็บตัวอยู่แต่ในจวนเจ้าเมือง
“เจ้าก็คือหลันเจียวหรือ”
ทันใดนั้นเสียงราบเรียบเสียงหนึ่งก็ดังขึ้น ปลุกหลันเจียวที่นั่งสมาธิอยู่ให้ตื่นตกใจ
เขายืดตัวลุกขึ้น ร่างกายแผ่พลานุภาพน่ากลัวออกมา ตะคอกลั่นว่า “ใคร”
ขณะที่พูดเขาก็โบกมือครั้งหนึ่ง เพลิงเทพสีฟ้าเข้มสายหนึ่งโฉบออกมา พุ่งไปหาแท่นไฟสัญญาณที่ห่างจากเขาเพียงสามจั้ง!
หกปีที่เป็นเจ้าเมืองมานี้หลันเจียวระวังตัวมาโดยตลอด ต่อให้เป็นการฝึกปราณหรือปิดด่านก็ยังอยู่ข้างแท่นไฟสัญญาณ
เป้าหมายก็เพื่อจุดแท่นไฟสัญญาณได้ทันที ได้รับความช่วยเหลือจากผู้แข็งแกร่งใต้อาณัติเจ้าแคว้นคลั่งโลหิตยามภยันตรายจู่โจมกะทันหัน
แต่ที่ทำให้หลันเจียวหน้าเปลี่ยนสีก็คือ เพลิงเทพสีฟ้าเข้มที่เขาปลดปล่อยสายนั้นกลับดับลงไปอย่างเงียบเชียบกลางคัน ราวกับถูกมือใหญ่ไร้รูปกำจัดไป
สวบ!
หลันเจียวเคลื่อนย้ายผ่านห้วงอากาศ ทะยานหนีเต็มกำลังโดยไม่ลังเล
ปฏิกิริยาอันฉับไวเฉียบคมเช่นนั้น ทำเอาหลินสวินที่ได้เห็นภาพนี้ยังเผยสีหน้าประหลาดอย่างห้ามไม่อยู่
ทว่าเขาก็ไม่ได้มองดูหลันเจียวหนีไปต่อหน้าต่อตา
ปึง!
ครู่ต่อมาหลันเจียวก็โซเซล้มหัวทิ่มจากห้วงอากาศลงมาที่พื้น กุมหัวพลางส่งเสียงอู้อี้เจ็บปวดอยู่ครู่หนึ่ง สายตาพร่ามัว
ความรู้สึกเช่นนั้นก็เหมือนตอนตะบึงหนีอย่างบ้าคลั่งแล้วหัวกระแทกเข้ากับแผ่นเหล็ก
แต่เมื่อเทียบกับความเจ็บปวดเหล่านี้แล้ว สิ่งที่ทำให้หลันเจียวใจหายวาบยิ่งกว่าคือ ด้วยการโจมตีนี้ทำให้เขารู้ถึงความน่ากลัวของผู้มาเยือนโดยสมบูรณ์แล้ว!
หลันเจียวเลือกก้มหัวทันที คุกเข่าลงกับพื้น “ผู้อาวุโสยั้งมือไว้ไมตรีด้วย ข้าน้อยยอมแล้ว!”
ยามจี้เหลิ่งตามหลินสวินมาแล้วได้เห็นภาพนี้เข้า ดวงตาก็แข็งทื่อไปครู่หนึ่ง
ในช่วงสั้นๆ หลันเจียวสำแดงการตอบโต้เมื่อเผชิญหน้ากับอันตรายที่จู่โจมกะทันหัน ชนิดที่เรียกได้ว่าไม่มีที่ติราวกับหลุดมาจากตำรา!
เริ่มจากจะจุดแท่นไฟสัญญาณทันที ครั้นเห็นสถานการณ์ไม่เข้าทีก็เลือกหลบหนีโดยไม่ลังเลสักนิด จนทางหนีถูกปิดตาย เขาก็คุกเข่ายอมแพ้ลงกับพื้นทันที
ความเร็วของปฏิกิริยาเช่นนั้นทำให้จี้เหลิ่งยังอ้าปากค้างด้วยความประหลาดใจ รู้สึกหวั่นไหวเป็นอย่างยิ่ง ไม่ต้องสงสัยเลยว่าความปรารถนาหมายจะมีชีวิตรอดของหลันเจียวยอดเยี่ยมเกินธรรมดาจริงๆ
“จะยอมแพ้… เท่านี้หรือ” หลินสวินยังอึ้งไปอย่างอดไม่ได้
หลันเจียวสีหน้านอบน้อม เอ่ยว่า “ศักยภาพไม่พอก็ควรรู้จักประมาณตน ข้าน้อยฝีมือเทียบผู้อื่นไม่ได้ ถ้ายังอยากรอดชีวิตจะกล้าไปสู้หลังชนฝาอีกได้อย่างไร ผู้อาวุโสมาคราวนี้ ไม่ว่าเพื่อตำแหน่งเจ้าเมืองนี้หรือเพื่อทรัพย์สินที่ข้าน้อยรวบรวมเหล่านั้น สามารถเอาไปได้ทั้งหมด”
“เจ้าหมอนี่ ฉลาดเกินไปแล้ว”
จี้เหลิ่งเอ่ยปากอย่างอดไม่ได้ “ผู้อาวุโส ข้าว่าฆ่าเขาเสียเลยจะดีที่สุดไ
หลันเจียวหน้าเปลี่ยนสีเล็กน้อย เอ่ยเสียงต่ำว่า “สหายยุทธ์ พวกเราต่างใช้ชีวิตในโลกมืด จะต้องไล่บี้กันเองทำไม”
หลินสวินมองลงไปที่เขา แววตาเต็มไปด้วยแววลึกลับ “ไม่ต้องกังวล ในเมื่อเจ้ายอมแพ้ เช่นนั้นข้าก็จะให้โอกาสเจ้าครั้งหนึ่ง”
หลันเจียวเงยหน้าขึ้น เมื่อได้สบสายตาของหลินสวิน จิตใจเขาก็สะท้านรุนแรงโดยพลัน ประหนึ่งฟ้าพลิกดินคว่ำ สติสัมปชัญญะยังสับสนมึนงงขึ้นมา
“โอกาสหรือ”
เขาสีหน้างุนงง
“ใช่ เชื่อฟังคำสั่งข้าตั้งแต่วันนี้ไป เจ้าไม่เพียงอยู่รอดต่อไปได้ ยังได้เป็นเจ้าเมืองเมืองหม่อนคมต่อไปด้วย”
หลินสวินเอ่ยเสียงต่ำลึก
“ได้!”
หลันเจียวรับปาก
ตูม!
ชั่วพริบตานี้พลังที่สะเทือนปั่นป่วนในสภาวะจิตของหลันเจียวนั่นสงบลงทันใด แววตาก็กลับมาแจ่มกระจ่างอย่างช้าๆ
แต่เมื่อมองดูหลินสวิน สายตาของเขาก็มีความกลัวที่ไม่อาจควบคุมได้ผุดขึ้นมาแล้ว เอ่ยเสียงสั่นว่า “ขอบคุณผู้อาวุโสที่ปรานี”
“ตอนนี้ส่งทรัพย์สินที่เจ้าขูดรีดมาในหลายปีนี้มา” หลินสวินเอ่ย
“ขอรับ”
พอหลันเจียวเอ่ยออกมา ไข่มุกสีฟ้าเข้มเปล่งปลั่งเม็ดหนึ่งก็ปรากฏ นี่เป็นไข่มุกเก็บของที่เลี้ยงอยู่ภายในร่างได้
หลินสวินยื่นมือเอารับไป ประเมินเล็กน้อยแล้วนิ่วหน้าอย่างอดไม่ได้ “หกปีที่เจ้าดำรงตำแหน่งเป็นเจ้าเมืองนี้ ตักตวงผลึกมรรคได้หนึ่งร้อยห้าสิบล้านก้อนเองหรือ”
หลันเจียวเอ่ยเสียงถ่อมตัว “ผู้อาวุโสคงไม่รู้ ผลึกมรรคที่ข้าน้อยได้รับแต่ละเดือน แปดส่วนต้องมอบให้เจ้าแคว้นคลั่งโลหิต ที่เหลืออีกสองส่วนยังต้องนำไปใช้จ่ายต่างๆ นานา ผลึกมรรคที่เหลือไว้ได้จริงๆ ยังไม่ถึงหนึ่งส่วนเสียด้วยซ้ำ”
“เจ้าแคว้นคลั่งโลหิตนี่ร้ายกว่าเจ้าแคว้นคีรีดำอีกนะ” จี้เหลิ่งสูดหายใจเย็น
หลินสวินเก็บไข่มุกเก็บของแล้วเอ่ยว่า “รอยามที่ข้าต้องการให้เจ้าลงมือจะมาบอกเจ้า”
พูดจบเขาก็หันหลังไป
“ขอรับ!”
หลันเจียวหมอบอยู่กับพื้น นอบน้อมราวกับทาสรับใช้ที่ว่านอนสอนง่ายถึงแก่นคนหนึ่ง
จนกระทั่งออกมาจากจวนเจ้าเมือง จี้เหลิ่งเอ่ยอย่างอดไม่ไหวว่า “ผู้อาวุโส เมื่อกี้ท่าน… ทำอะไรกับหลันเจียวคนนั้น ทำไมเขาถึงเชื่อฟังได้ขนาดนั้น”
จี้เหลิ่งนึกถึงภาพเมื่อครู่แต่ละภาพ ยังรู้สึกว่าออกจะประหลาดและผิดปกติ ชวนให้คนหวาดหวั่น
“ปาหี่ที่พุ่งเป้าไปที่สภาวะจิตอย่างหนึ่ง เรียกว่า ‘มายาแห่งความหวาดกลัว’”
หลินสวินเอ่ยลวกๆ และไม่ได้อธิบายอะไรอีก
แต่แค่คำว่า ‘มายาแห่งความหวาดกลัว’ นี้ก็ทำให้จี้เหลิ่งมีความคิดผุดขึ้นมาไม่ขาดสาย ยิ่งคิดในใจก็ยิ่งขนลุก เหงื่อกาฬผุดพรายทั้งร่าง
คงไม่ใช่ว่าสภาวะจิตของตนก็โดน ‘มายาแห่งความหวาดกลัว’ นี้เข้าให้โดยไม่รู้ตัว… มานานแล้วกระมัง