เวลาเคลื่อนคล้อย แคว้นหนาวเหน็บกลับสู่ความสงบเหมือนที่ผ่านมา

ความสงบเช่นนี้เป็นการพูดเปรียบเปรย เมืองต่างๆ สถานที่ต่างๆ ยังคงปรากฏเหตุการณ์เข่นฆ่ากันซ้ำๆ อยู่ทุกวัน

โกลาหลและนองเลือด เป็นภาพลักษณ์ที่ยืนยงอยู่ในโลกมืดมานานแล้ว

เมืองแสงเงิน

จี้เหลิ่งนั่งอยู่ในหอสุราเล็กๆ แห่งหนึ่ง คิดเรื่องในใจอยู่เงียบๆ

ผ่านไปหนึ่งเดือนแล้ว ผู้อาวุโสเต้ายวนกลับเหมือนระเหยหายไปจากโลกไม่มีผิด ไม่มีข่าวคราวเกี่ยวกับเขาแพร่ออกมาอีกเลย

เขา… ไปที่ไหนกันแน่

……

และพร้อมกันนั้น เมืองขวดวิญญาณ

เมืองขวดวิญญาณเป็นหนึ่งในสองร้อยสามสิบสี่เมืองที่ ‘เจ้าแคว้นฮวงโหว’ หนึ่งในสิบเจ้าแคว้นใหญ่ปกครองอยู่

บนท้องถนนที่แออัดพลุกพล่าน หลินสวินเอามือไพล่หลังมุ่งหน้าไปนอกเมือง

เวลาหนึ่งเดือน เขาเดินทางอยู่ในอาณาเขตที่เจ้าแคว้นฮวงโหวครอบครอง เหยียบย่างผ่านเมืองต่างๆ ที่กระจายอยู่

ยามนี้เมืองสองร้อยสามสี่แห่งรวมเมืองขวดวิญญาณที่ถูกเจ้าแคว้นฮวงโหวครอบครอง ถูกหลินสวินเดินทางผ่านมาแล้วหนึ่งรอบ

‘ก็ควรไปพบปะเจ้าแคว้นฮวงโหวเสียหน่อยแล้ว’

นอกเมืองหลินสวินทอดถอนใจยาว เคลื่อนย้ายผ่านห้วงอากาศจากไป

เขาแสงต้นเฟิง

ที่พำนักของเจ้าแคว้นฮวงโหว

เมื่อเทียบกับเขาทองทมิฬของเจ้าแคว้นคลั่งโลหิต เขายุทธ์สวรรค์ของเจ้าแคว้นคีรีดำ เขาแสงต้นเฟิงองอาจและสูงตระหง่านยิ่งกว่า บนนั้นตึกอาคารเรียงราย กระบวนผนึกต้องห้ามปิดครอบ การป้องกันเข้มงวดหาใดเปรียบ

เพียงแต่ในสายตาปฐมาจารย์สลักลายมรรคระดับหลินสวิน กระบวนผนึกต้องห้ามแน่นขนัดนั่นก็ไม่ต่างอะไรกับของตกแต่ง

หลินสวินเดินเข้าไปในเขาแสงต้นเฟิงอย่างเงียบเชียบ

บนยอดเขามีคฤหาสน์เก่าแก่ตั้งอยู่ อาบชโลมใต้แสงท้องฟ้า คละคลุ้งด้วยกลิ่นอายศักดิ์สิทธิ์น่าเกรงขาม

ในคฤหาสน์ จักรพรรดิมารฮวงโหวนั่งอยู่หน้าโต๊ะหนังสือ กำลังจดจ่ออ่านข้อมูลแผนภาพลับที่วาดในหนังสัตว์เก่าแก่อยู่

เขารูปร่างกำยำ ผมดำแผ่สยาย สวมชุดคลุมกว้างสีม่วงเข้ม นั่งสบายๆ ก็มีกลิ่นอายเผด็จการที่เหยียดหยันทั่วหล้า

‘หนึ่งปีให้หลัง ‘เคราะห์จ่อมจม’ จะปรากฏขึ้นจริงๆ หรือ… นับแต่อดีตจนปัจจุบัน บันทึกเกี่ยวกับเคราะห์นี้ก็มีเพียงแค่สองครั้งเท่านั้น’

สายตาของเจ้าแคว้นฮวงโหวจับจ้องบนหนังสัตว์ไม่วางตา นิ่วหน้าขบคิด ‘ครั้งแรกคือสมัยยุคดึกดำบรรพ์แรกเริ่ม ตอนนั้นโลกมืดที่ประสบเคราะห์นี้จมสู่การทำลายล้างและความโกลาหลอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน ถูกมองเป็นสถานที่ที่ ‘เหล่าเทพดับสูญ’…’

‘อีกครั้งคือช่วงแรกเริ่มยุคบรรพกาล เคราะห์ใหญ่ร่วงจากฟ้า สรรพสิ่งสิ้นกำลัง มีวิญญาณร้ายสัตว์ประหลาดมาเยือนจากนอกฟ้า ระรานอยู่ในโลกมืด ตัดขาดเส้นทางที่โลกมืดเชื่อมต่อกับโลกภายนอกอย่างสิ้นเชิง และทำให้โลกมืดเป็นเหมือนเกาะโดดเดี่ยว ถูกตัดขาดจากโลกทั่วหล้า…’

‘แล้วครั้งนี้เล่า หากเคราะห์จ่อมจมมาเยือน จะบังเกิดหายนะที่น่ากลัวปานใดขึ้นอีก’

‘น่าแปลก จากที่บันทึกในนี้ เคราะห์จ่อมจมครั้งนี้แตกต่างจากสองครั้งที่ผ่านมา หลังจากเคราะห์ใหญ่ ‘แดนปรินิพพาน’ ก็จะปรากฏ ถูกมองเป็น ‘แดนนิพพานอันดับหนึ่งในหมื่นยุค’…’

เจ้าแคว้นฮวงโหวขมวดคิ้ว

แดนปรินิพพาน?

แดนนิพพานอันดับหนึ่งในหมื่นยุค?

เขาไม่เคยได้ยินมาก่อนเลยสักนิด รู้สึกมืดแปดด้าน

เสียงฝีเท้าระลอกหนึ่งดังขึ้น

นอกโถงปรากฏเงาร่างสูงโปร่งสายหนึ่ง

เจ้าแคว้นฮวงโหวมุ่นคิ้ว กล่าวโดยที่ไม่เงยหน้า “ไม่ได้บอกแล้วหรือ ไม่มีเรื่องด่วนห้ามเข้ามารบกวน!”

เสียงเจือแววไม่สบอารมณ์

“ขออภัยที่มาโดยไม่ได้รับเชิญ รบกวนแล้ว” เงาร่างสูงโปร่งสายนั้นเดินตรงเข้ามาในโถง ท่าทางผ่อนคลาย

เจ้าแคว้นฮวงโหวเงยหน้าขึ้นขวับ นัยน์ตาแผ่ประกายอสนีน่าสยดสยองออกมา “เจ้าเป็นใคร”

เขาเก็บบันทึกหนังสัตว์แล้วหยัดกายขึ้น ชุดคลุมตัวใหญ่สีม่วงเข้มโบกพลิ้วเองโดยไร้ลม ทั่วร่างแผ่ความกดดันแห่งระดับจักรพรรดิที่ราวกับกระแสน้ำหลากออกมา

หลินสวินกล่าวเสียงเรียบ “ข้านำคำสั่งของเจ้าแคว้นคีรีดำ มุ่งหน้ามาประกาศให้ยอมจำนน”

ประกาศให้ยอมจำนน?

เจ้าแคว้นฮวงโหวแทบไม่อยากเชื่อหูตัวเอง “เจ้าบอกว่าเจ้าเฒ่าคีรีดำอยากให้ข้ายอมจำนนต่อเขาหรือ”

หลินสวินพยักหน้า “ถูกต้องแล้ว”

เจ้าแคว้นฮวงโหวเดือดจัดจนหัวเราะ ภาพเช่นนี้ออกจะน่าขันเกินไปแล้ว ตั้งแต่เมื่อไหร่กันที่เจ้าเฒ่าคีรีดำวางมาดใหญ่โตปานนี้ แค่ส่งคนมาคนเดียวก็กล้ามาบอกให้ตนยอมจำนนแล้วหรือ

“เจ้าเข้ามาได้อย่างไร”

จู่ๆ เจ้าแคว้นฮวงโหวก็ตระหนักถึงเรื่องหนึ่ง การป้องกันของเขาแสงต้นเฟิงของตนเข้มงวดปานใด แต่อีกฝ่าย… กลับปรากฏตัวอย่างไร้สุ้มเสียง!

“ย่อมต้องเดินเข้ามาอยู่แล้ว” หลินสวินกล่าวง่ายๆ

แววเดือดดาลบนใบหน้าของเจ้าแคว้นฮวงโหวกลายเป็นมืดทะมึน ขมวดคิ้วจ้องมองหลินสวินอยู่นาน จู่ๆ ก็กล่าวว่า “เจ้า… คงจะไม่ใช่มารกระบี่เต้ายวนนั่นกระมัง”

“ถูกต้อง” หลินสวินพยักหน้า

เห็นได้ชัดว่าเขาสงบนิ่งหาใดเปรียบ เจ้าแคว้นฮวงโหวในฐานะระดับจักรพรรดิที่เรืองอำนาจในโลกมืดมานานปี ยังไม่เคยเห็นกึ่งจักรพรรดิคนไหนกล้าเผชิญหน้าตนตรงๆ เช่นนี้มาก่อน

ชั่วขณะหนึ่งเขาอดแปลกใจแกมสงสัยน้อยๆ ไม่ได้ เจ้าหมอนี่… เอาความมั่นใจมาจากไหนกันแน่ ถึงกล้าโร่มาวางกร่างเพียงลำพัง

ครู่ต่อมาเจ้าแคว้นฮวงโหวก็เข้าใจทันที

ชิ้ง!

พร้อมๆ กับเสียงกระบี่ใสกังวานสายหนึ่ง เย่จื่อกลายเป็นแสงมรรคพุ่งโฉบออกจากกล่องกระบี่ด้านหลังหลินสวิน เจิดจรัสพร่างพราว เจตกระบี่สะท้านฟ้า

เจ้าแคว้นฮวงโหวนัยน์ตาหดรัด โบกแขนเสื้อหนึ่งครา

ตูม!

กฎเกณฑ์สายฟ้าสีดำไร้ทัดเทียมพุ่งโฉบ กลายเป็นยันต์มรรคอสนีที่เจิดจ้าสายหนึ่ง แผ่ครอบไปทางเย่จื่อ

ยันต์นี้วิเศษอัศจรรย์ยิ่งยวด ภายในบรรจุกฎเกณฑ์อสนีเดือดพล่าน วิวัฒน์เป็นวิญญาณอสนีที่ตัวเป็นคนหัวเป็นนก ปีกงอกออกจากด้านหลัง กลิ่นอายทำลายล้างน่าตกใจถึงขีดสุด

ทันทีที่พุ่งออกมา ก็เหมือนอาณาจักรสายฟ้าพิฆาตลงมา!

เย่จื่อพุ่งออกไปดุจดั่งรุ้งยาวที่พาดขวางเวิ้งฟ้า กรีดทึ้งห้วงอากาศ มีอานุภาพดุดันไม่อาจทัดเทียม

ฉัวะ!

เพียงพริบตายันต์ฟ้าคำรามนั่นก็ถูกกรีดขาด สายฟ้ากระเซ็นกระสาย พังครืนแตกสลายออกไป

เจ้าแคว้นฮวงโหวนัยน์ตาหดรัด เบื้องหน้ามีดาบบินเล่มหนึ่งปรากฏออกมา เขียวสว่างเรืองรอง มีลำแสงหนาวเหน็บคมกริบที่ชวนสยดสยองไหลเวียน

ยามนี้เขาขับเคลื่อนกำลังทั้งหมด พลังที่ระดับจักรพรรดิถูกเขาโคจรเต็มที่ กฎเกณฑ์สายฟ้าสีดำที่ใหญ่หนาเจิดจรัสสายแล้วสายเล่ารายล้อมทั่วร่าง อานุภาพน่ากลัวถึงขีดสุด

ฟุ่บ!

เมื่อดาบบินสีเขียวนั่นฟันออกมา เจ้าแคว้นฮวงโหวก็เคลื่อนไหวตามมาติดๆ เร็วจนน่าเหลือเชื่อ

ทว่าได้ยินเพียงเสียงกระแทกจวนหูจะดับดังขึ้นคราหนึ่ง ดาบบินนั่นถูกหนึ่งกระบี่ซัดปลิว และลำคอของเจ้าแคว้นฮวงโหวก็ถูกปราณกระบี่สายหนึ่งพาดเอาไว้!

เร็วเกินไปแล้ว!

เร็วจนตอนที่เจ้าแคว้นฮวงโหวเพิ่งจะตอบสนอง ปราณกระบี่ก็พุ่งแหวกมาถึงแล้ว และร่างของเขาก็หยุดชะงักทั้งอย่างนี้ แข็งทื่ออยู่กลางห้วงอากาศ ไม่กล้าเข้าใกล้อีกแม้แต่คืบเดียว

เพียงพริบตา หนึ่งกระบี่สยบจักรพรรดิ!

เจ้าแคว้นฮวงโหวหน้าเปลี่ยนสีครั้งใหญ่ เขาเพิ่งหมายจะถอยออกไป ปราณกระบี่ที่พาดอยู่ตรงลำคอก็ส่งเสียงครวญกระหึ่มขึ้นทันใด กรีดแหวกผิวของเขา เลือดสดๆ สายหนึ่งไหลหลั่งออกมา

“ระดับจักรพรรดิขั้นสองเท่านั้น ขัดขืนต่อไปก็เปลืองแรงเปล่า” เสียงของเย่จื่อราบเรียบ เหมือนกำลังเอ่ยเรื่องดินฟ้าอากาศ

ในใจเจ้าแคว้นฮวงโหวเย็นวาบ ไม่กล้าเคลื่อนไหวสุ่มสี่สุ่มห้าสักนิด เขามองไปทางหลินสวิน น้ำเสียงแหบพร่า “มิน่าเจ้าเฒ่าคีรีดำถึงสามารถฮุบอาณาเขตของเจ้าเฒ่าคลั่งโลหิตได้ราบรื่นปานนั้น ที่แท้ข้างกายถึงกับมีบริวารที่น่าทึ่งเช่นเจ้าอยู่”

หลินสวินระบายยิ้มน้อยๆ “ชมเกินไปแล้ว”

“ฆ่าหรือไม่” เย่จื่อถาม

“ตีให้สลบ จับเป็น”

“ได้”

ตึง!

ครู่ต่อมาเจ้าแคว้นฮวงโหวก็หมดสติไป ถูกเย่จื่อใช้วิชาลับกักขัง

“หลินสวิน เจ้าดู”

เย่จื่อพลันสังเกตเห็นว่าเจ้าแคว้นฮวงโหวหมดสติไปแล้ว แต่ในมือยังคงกำม้วนคัมภีร์หนังสัตว์คร่ำคร่าม้วนหนึ่งเอาไว้แน่น

เขาคว้าเอาของสิ่งนี้ออกมายื่นให้หลินสวิน

หลินสวินเปิดม้วนคัมภีร์หนังสัตว์ออก บนนั้นสลักอักษรโบราณที่ตวัดยุ่งเหยิงเป็นแถวๆ ลายอักษรบางส่วนเลือนรางไปแล้ว เห็นได้ชัดว่าอยู่ในโลกมาเนิ่นนาน ถูกกาลเวลากัดกร่อน

หลินสวินพลิกอ่านจบก็อดอึ้งไปไม่ได้

ที่แท้บนม้วนคัมภีร์หนังสัตว์นี้ สิ่งที่บันทึกไว้คือ ‘เคราะห์จ่อมจม’ สองครั้งที่เคยปรากฏในกาลเวลาที่ผ่านมาของโลกมืด

ครั้งแรกเกิดขึ้นช่วงแรกเริ่มดึกดำบรรพ์ หลังจากเคราะห์นี้ปะทุ ทำให้โลกมืดจมสู่การทำลายล้างครั้งใหญ่ พวกน่าสะพรึงมากมายที่ถูกมองเป็นเทพไท้ต่างฝังร่างอยู่ภายใต้เคราะห์จ่อมจมทั้งสิ้น

ตั้งแต่ตอนนั้นมาโลกมืดก็ถูกมองเป็นสถานที่ฝังร่างของเหล่าเทพ

เคราะห์จ่อมจมครั้งที่สองเกิดขึ้นในช่วงแรกเริ่มบรรพกาล เคราะห์ใหญ่ร่วงจากฟ้า ฟ้าดินโหยไห้ มีวิญญาณร้ายสัตว์ประหลาดมากมายห้อตะบึงมาจากนอกฟ้า ตัดขาดเส้นทางเชื่อมต่อโลกมืดกับโลกภายนอก

และตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา โลกมืดก็ราวกับเกาะโดดเดี่ยวที่ลอยล่องอยู่นอกทางเดินโบราณฟ้าดารา ตัดขาดจากโลกอื่น

และตอนนี้ จากบันทึกในม้วนคัมภีร์หนังสัตว์นั่น อีกประมาณหนึ่งปีเคราะห์จ่อมจมจะมาเยือนโลกมืดอีกครั้ง

เพียงแต่ครั้งนี้แตกต่างจากที่ผ่านมา เป็นไปได้สูงว่าอาจปรากฏสถานที่ที่ถูกขนานนามว่า ‘แดนปรินิพพาน’

และสถานที่นี้ถูกเรียกว่าเป็น ‘แดนนิพพานอันดับหนึ่งในหมื่นยุค’!

“เย่จื่อ เจ้าเคยได้ยินข่าวเกี่ยวกับเคราะห์จ่อมจมบ้างหรือไม่” หลินสวินอดเอ่ยถามไม่ได้

เย่จื่อส่ายหน้า

หลินสวินครุ่นคิดแต่ก็คิดไม่ออก จึงเก็บม้วนคัมภีร์หนังสัตว์นี้ไว้ ลอบกล่าวในใจ หากเกิดเคราะห์จ่อมจมครั้งที่สามขึ้นจริง เช่นนั้นหลังจากนี้หนึ่งปีอาจจะมีโอกาสได้ประสบ…

หนึ่งปี… ยังอีกยาวไกล…

ขณะที่หลินสวินเดินออกจากเขาแสงต้นเฟิง ระหว่างทางไม่ได้ชักนำให้เกิดการเคลื่อนไหวใดๆ

และในวันนี้

เจ้าเมืองสองร้อยสามสี่แห่งในอาณัติของเจ้าแคว้นฮวงโหว ต่างประกาศต่อภายนอกพร้อมกันว่าจะเชื่อฟังคำสั่งของมารกระบี่เต้ายวน สวามิภักดิ์ต่อเจ้าแคว้นคีรีดำ!

ทันทีที่แพร่ออกไป แคว้นหนาวเหน็บที่เพิ่งสงบสุขได้หนึ่งเดือนก็เกิดคลื่นใหญ่ สะท้านสะเทือนไปทั่วอีกครั้ง

“อะไรนะ? เป็นมารกระบี่เต้ายวนนี่อีกแล้ว!? เจ้าหมอนี่ก็ร้ายกาจเกินไปแล้วกระมัง นี่เพิ่งหนึ่งเดือนเท่านั้นก็สร้างการเคลื่อนไหวใหญ่โตเช่นนี้ขึ้นแล้ว!”

“น่ากลัวเกินไปแล้ว ครั้งนี้เมืองทั้งหมดที่อยู่ใต้อาณัติของเจ้าแคว้นฮวงโหวถึงกับทรยศในวันเดียวกันหมด มารกระบี่เต้ายวนนั่นทำได้อย่างไรกันแน่”

“เบื้องหลังนี้ต้องมีการสนับสนุนจากเจ้าแคว้นคีรีดำแน่ หาไม่แค่เขาคนเดียว มีหรือจะมีปัญญาทำขนาดนี้ได้”

เสียงฮือฮาไม่รู้เท่าไหร่ดังขึ้น แทรกไปด้วยความสะท้านสะเทือนและกริ่งเกรง

และขณะที่ผู้คนกำลังเฝ้ารอว่าเจ้าแคว้นฮวงโหวจะตอบสนองอย่างไรนั้น จู่ๆ กลับมีข่าวสะท้านฟ้าอย่างหนึ่งแพร่ออกมาอีก…

“เจ้าแคว้นฮวงโหวถูกกำราบ ยอมจำนนต่อเจ้าแคว้นคีรีดำ!”

หินก้อนเดียวทำให้เกิดคลื่นพันระลอก นี่เรียกได้ว่าสะเทือนฟ้าดินอย่างสิ้นเชิง ทำให้เจ้าแคว้นอื่นๆ ในแคว้นหนาวเหน็บต่างนั่งไม่ติด

ยามอาณาเขตของเจ้าแคว้นคลั่งโลหิตถูกฮุบไป ยังเกิดการต่อสู้นองเลือดครั้งหนึ่ง

แต่เจ้าแคว้นฮวงโหวกลับดีนัก ถึงกับถูกกำราบยอมจำนนตรงๆ ภายใต้สถานการณ์ที่ไม่มีใครล่วงรู้!

นี่น่าเหลือเชื่อเกินไปอย่างไม่ต้องสงสัย และทำให้ผู้คนรู้สึกใจสะท้านหาใดเปรียบ

ถึงขั้นที่คนมากมายต่างไม่อยากเชื่อ ไม่อาจยอมรับ คิดว่าข่าวนี้ไม่มีทางเป็นเรื่องจริง

แต่เมื่อเวลาเคลื่อนคล้อย และมีข่าวยืนยันที่มากขึ้นเรื่อยๆ ในที่สุดผู้คนก็เชื่อแล้วว่าเจ้าแคว้นฮวงโหวพ่ายแพ้จริงๆ!

เพราะในเขาแสงต้นเฟิงแห่งนั้นไม่เห็นเงาร่างของเจ้าแคว้นฮวงโหวนานแล้ว เหมือนระเหยหายไปจากโลก อันตรธานไร้ร่องรอย

หากเขายังมีชีวิตอยู่ หากเขาไม่ได้ถูกกำราบ ยามพบเจอการทรยศของเจ้าเมืองเหล่านั้น มีหรือจะไม่เคลื่อนไหวเลย