ยามเมื่อข่าวแพร่กลับมายังอาณาเขตของเจ้าแคว้นคีรีดำ ก็เรียกความสะท้านสะเทือนครั้งใหญ่ขึ้นเช่นเดียวกัน

แม้แต่ผู้แข็งแกร่งที่ติดตามอยู่ข้างกายเจ้าแคว้นคีรีดำพวกนั้นยังไม่กล้าเชื่อ เพิ่งหนึ่งเดือนเท่านั้น ถึงกับมีเจ้าแคว้นคนหนึ่งยอมสวามิภักดิ์ภายใต้ปกครองของเจ้าแคว้นคีรีดำอีกแล้ว

ที่น่าขันที่สุดคือ ตั้งแต่ต้นจนจบพวกเขาถึงกับไม่รู้เรื่องรู้ราวอย่างสิ้นเชิง!

และมีคนนึกถึงประโยคนั้นที่เจ้าแคว้นคีรีดำเคยพูดก่อนปิดด่านเมื่อหนึ่งเดือนก่อนขึ้นมา…

‘ข้าได้สั่งให้มารกระบี่เต้ายวนเคลื่อนไหวไปทำเรื่องหนึ่งแล้ว ส่วนเป็นเรื่องอะไรนั้น รอผ่านไปสักระยะพวกเจ้าก็จะรู้…’

ตอนนี้ในที่สุดพวกเขาก็รู้แล้ว แต่เมื่อนึกถึงว่ามารกระบี่เต้ายวนคนเดียวก็ช่วยเจ้าแคว้นคีรีดำทำการใหญ่เช่นนี้ ก็ยังอดใจสั่นและสะท้านสะเทือนไปพักหนึ่งไม่ได้

เจ้าหมอนั่นร้ายกาจเกินไปแล้วกระมัง

“ปิดด่านอะไร ข้าว่าใต้เท้าคีรีดำมุ่งหน้าไปอาณาเขตของเจ้าแคว้นฮวงโหวนั่นเพียงลำพังต่างหาก หาไม่ลำพังแค่มารกระบี่เต้ายวนคนเดียว มีหรือจะสยบเจ้าแคว้นฮวงโหวได้”

มีคนสันนิษฐานเช่นนี้ และได้รับการเห็นด้วยจากคนส่วนใหญ่อย่างรวดเร็ว

และมีเพียงอธิบายเช่นนี้จึงจะสมเหตุสมผล

‘เจ้าแคว้นคีรีดำอะไร ต้องเป็นฝีมือผู้อาวุโสเต้ายวนคนเดียวแน่’

และยามที่จี้เหลิ่งได้รับข่าว ก็คาดการณ์อย่างมั่นใจทันทีว่าเรื่องนี้ต้องไม่เกี่ยวกับเจ้าแคว้นคีรีดำอย่างแน่นอน!

เพียงแต่เมื่อนึกถึงว่าแม้แต่เจ้าแคว้นฮวงโหวก็ยังไม่ใช่คู่ต่อสู้ของผู้อาวุโสเต้ายวนคนนี้ จี้เหลิ่งก็อดสะท้านไปชั่วขณะไม่ได้

แข็งแกร่ง!

แข็งแกร่งเกินไปแล้ว!

เดือนเดียว ตัวคนคนเดียว กลืนขุมอำนาจเจ้าแคว้นแห่งหนึ่ง!

……

ผ่านเรื่องราวครั้งนี้ ชื่อเสียงของมารกระบี่เต้ายวนก็กึกก้องอยู่ใต้เวิ้งฟ้าแคว้นหนาวเหน็บอย่างสมบูรณ์!

แน่นอน ไม่ว่าเมื่อใดที่เอ่ยถึงเขา จะต้องถูกเอ่ยพร้อมเจ้าแคว้นคีรีดำด้วย ใครต่างก็คิดไม่ถึงว่าเจ้าแคว้นคีรีดำรับบริวารที่โดดเด่นเหนือธรรมดาเช่นนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่

และสำหรับเจ้าแคว้นคนอื่นๆ ในแคว้นหนาวเหน็บ เจ้าแคว้นคีรีดำได้กลายเป็นภัยคุกคามใหญ่อย่างหนึ่ง

หนึ่งเดือนก่อน เขากลืนกินอาณาเขตฃของเจ้าแคว้นคลั่งโลหิต

หนึ่งเดือนต่อมา เขาก็รวบกลืนอาณาเขตของเจ้าแคว้นฮวงโหวอีก

ความเร็วของการแผ่ขยายอำนาจเช่นนี้เรียกได้ว่าน่าตะหนก ใครก็ไม่สามารถฟันธงว่าเดือนต่อไปจะเกิดเรื่องพรรค์ขึ้นอีกหรือไม่

“ความตะกละของเจ้าเฒ่าคีรีดำนี่ออกจะไม่น่าดูเกินไปแล้ว! ข้าไม่อาจนั่งนิ่งรอความตายเช่นนี้ได้เด็ดขาด!”

เขาวั่นโม่ เจ้าแคว้นหลิ่นเฟิงสีหน้ามืดทะมึน

เขารูปร่างซูบผอม หน้าตาดุจเด็กหนุ่ม มีผมสีแดงที่เด่นเตะตา ระหว่างกะพริบตาผุดลักษณ์ประหลาดน่าสะพรึงประหนึ่งผลาญสวรรค์ทำลายดินก็ไม่ปาน

อาณาเขตของเขาติดกับเจ้าแคว้นฮวงโหว อีกด้านหนึ่งก็เชื่อมต่อกับอาณาเขตเดิมของเจ้าแคว้นคลั่งโลหิต

นี่ทำให้เขาไม่อาจไม่กังวลใจ ว่าเป้าหมายต่อไปที่เจ้าแคว้นคีรีดำจะกลืนกินจะเป็นตน

“รายงาน…”

เสียงร้อนรนสายหนึ่งดังขึ้นนอกโถงใหญ่ “นายท่าน เจ้าแคว้นหมิงเยวี่ย เจ้าแคว้นเฟยหยา เจ้าแคว้นฮุยซวงร่มตัวมาเยือนพร้อมกัน ยามนี้กำลังรออยู่ด้านนอกประตูภูเขา”

เจ้าแคว้นหลิ่นเฟิงอึ้งไป จากนั้นก็เผยแววยินดีกล่าวว่า “รีบเชิญมาเร็วเข้า!”

ในใจเขาก็มีลางสังหรณ์ก่อนแล้ว เจ้าแคว้นทั้งสามคนนี้เกรงว่าคงเพราะถูกกระตุ้นจากเจ้าแคว้นคีรีดำ รู้สึกได้ถึงภัยคุกคามครั้งใหญ่แล้ว

ไม่ทันไรเงาร่างสามสายปรากฏขึ้นนอกโถง

ชายชราซูบผอมที่ผมหงอกขาว ดวงหน้าขึงขัง มือกำแส้หางม้าสีเลือดด้ามหนึ่ง นัยน์ตาเจือประกายแสงสีฟ้าเข้มที่แปลกพิสดาร

นี่คือเจ้าแคว้นหมิงเยวี่ย

ชายวัยกลางคนร่างแกร่งล่ำ สวมเกราะดำ โครงหน้าดุดันชวนครั่นคร้าม ยามก้าวเดินก็เหมือนภูเขาเทพเคลื่อนที่ ให้ความรู้สึกกดดันหาใดเปรียบแก่ผู้คน

นี่คือเจ้าแคว้นเฟยหยา

อีกหนึ่งเงาร่างหนึ่งเป็นหญิงบอบบางอรชร ผมยาวเกล้ามวย ดวงหน้าโดดเด่น สีหน้าเย็นเยียบเย่อหยิ่ง นี่คือเจ้าแคว้นฮุยซวง

สามคนนี้ต่างเป็นระดับจักรพรรดิที่ครองอาณาเขตในแคว้นหนาวเหน็บนานปี ผ่านประสบการณ์เลวร้ายทุกรูปแบบ เห็นฝนเลือดลมคาวมาจนชิน

แต่เวลานี้สีหน้าของพวกเขาต่างเจือแววอึมครึมเสี้ยวหนึ่ง

“เชิญทั้งสามท่าน”

เจ้าแคว้นหลิ่นเฟิงต้อนรับพวกเขาเข้าโถงใหญ่ แล้วแยกกันนั่ง

“สหายยุทธ์หลิ่นเฟิง ดูท่าเจ้าคงเดาจุดประสงค์การมาของพวกเราได้แล้ว เช่นนั้นก็ขอพูดตรงๆ”

เจ้าแคว้นหมิงเยวี่ยที่รูปร่างหน้าตาซูบผอมเหมือนคนแก่ แต่นัยน์ตากลับแปลกประหลาดชวนสยองเอ่ยปากเสียงขรึม “พวกเรามาครั้งนี้ ก็เพราะอยากเชิญสหายยุทธ์ไปสังหารเจ้าเฒ่าคีรีดำนั่นด้วยกัน!”

ในน้ำเสียงเจือไอสังหารที่ไม่ปกปิดแต่อย่างใด

“ไม่ผิด เดิมทีแคว้นหนาวเหน็บนี่เป็นพวกเราสิบเจ้าแคว้นใหญ่ร่วมกันปกครอง ระหว่างพวกเราทุกคนถึงแม้จะเกิดความขัดแย้งและไม่ลงรอยกันบ้าง แต่ก็อยู่ในขอบเขตที่พอรับได้”

เจ้าแคว้นเฟยหยากัดฟันกล่าว “แต่เจ้าเฒ่าคีรีดำนี่ ภายในสองเดือนกลับกลืนกินอาณาเขตของสองสหายยุทธ์อย่างคลั่งโลหิตกับฮวงโหว การกระทำเช่นนี้วางโตโอหังถึงขีดสุด!”

“เท่าที่ข้าดู ขืนยังไม่ลงมือห้ามยับยั้งอีก อาณาเขตของพวกเราเหล่านี้… เกรงว่าจะถูกเจ้าเฒ่านี่รุกรานกลืนกินไปทีละแห่ง”

เจ้าแคว้นฮุยซวงสีหน้าเย็นเยียบ ในคำพูดก็เปี่ยมด้วยแววเดือดดาล

สมดุลที่ผ่านมาถูกทำลาย ก็เหมือนน้ำในทะเลสาบเกิดระลอกคลื่นโหมซัด ไม่ว่าใครล้วนต้องโดนลูกหลงอย่างเลี่ยงไม่ได้

เจ้าแคว้นหลิ่นเฟิงไม่ได้รีบร้อนตอบรับ หากแต่กล่าวถาม “สหายยุทธ์ทั้งสาม รู้หรือไม่สหายยุทธ์วายุสังหารมีท่าทีอย่างไร”

สหายยุทธ์วายุสังหาร ก็คือจักรพรรดิมารวายุสังหาร และเป็นเจ้าแคว้นอันดับหนึ่งในแคว้นหนาวเหน็บ ขณะเดียวกันเขายังเป็นผู้อาวุโสคนหนึ่งของสำนักโบราณจรัสเทพด้วย

นี่ทำให้ฐานะของจักรพรรดิมารวายุสังหารในแคว้นหนาวเหน็บแปลกแยกหาใดเปรียบ

“เขา?”

หมิงเยวี่ยเผยรอยยิ้มเยาะหยัน “เขากำลังยุ่งกับการเคลื่อนพลตามคำสั่งของสำนักโบราณจรัสเทพ ไปตามหาร่องรอยของผู้สืบทอดคีรีดวงกมลอยู่ ไม่ได้มีท่าทีสนใจเรื่องพวกนี้สักนิด”

เจ้าแคว้นเฟยหยากล่าวว่า “สหายยุทธ์วายุสังหารเป็นถึงคนของสำนักโบราณจรัสเทพ ย่อมไม่ห่วงว่าเจ้าเฒ่าคีรีดำจะกล้าลงมือกับเขา ไม่เหมือนพวกเรา คิดอยากรั้งตำแหน่งอย่างมั่นคงในแคว้นหนาวเหน็บ มีแต่ต้องพึ่งตัวเองเท่านั้น”

“ที่แท้เป็นเช่นนี้นี่เอง”

เจ้าแคว้นหลิ่นเฟิงเข้าใจโดยฉับพลัน

“สหายยุทธ์ พวกเราสี่คนร่วมกันลงมือก็สามารถสังหารเจ้าเฒ่าคีรีดำอย่างง่ายดายแล้ว ไม่จำเป็นต้องหาผู้ช่วยเพิ่มอีกสักนิด”

เจ้าแคว้นฮุยซวงกล่าวว่า “หนำซ้ำหลังจากกำจัดเจ้าเฒ่าคีรีดำ อาณาเขตที่อยู่ใต้อาณัติของเขาย่อมต้องแบ่งส่วนให้พวกเราสี่คน ถึงตอนนั้นคนอื่นๆ คิดอยากมีส่วนด้วย ก็ต้องถามพวกเราก่อนว่าจะตกลงหรือไม่”

ประโยคนี้ทำให้หลิ่นเฟิงใจเต้นยกใหญ่

ยามนี้ในมือเจ้าเฒ่าคีรีดำ นอกจากอาณาเขตที่แต่เดิมก็เป็นของเขาอยู่แล้ว ยังมีอาณาเขตของเจ้าแคว้นคลั่งโลหิตและเจ้าแคว้นฮวงโหวด้วย

ลำพังแค่ผลึกมรรคที่สามารถเก็บรวบรวมได้จากอาณาเขตเหล่านี้ในแต่ละวัน ล้วนเพียงพอจะทำให้ใครก็ตามน้ำลายไหลแล้ว

“ดี ก็ทำเช่นนี้แหละ!”

หลิ่นเฟิงตอบรับอย่างชื่นมื่น ทั้งสามารถฆ่าเจ้าเฒ่าคีรีดำได้ จัดการภัยคุกคามครั้งใหญ่ที่ซ่อนเร้นนี้ และสามารถกอบโกยผลประโยชน์ใหญ่ได้ สิ่งนี้ทำให้จู่ๆ เขาก็รู้สึกว่าการเคลื่อนไหวครั้งนี้เป็นเรื่องดียิ่งยวดที่ทำหนึ่งได้ถึงสอง

เมื่อเห็นเช่นนี้พวกเจ้าแคว้นหมิงเยวี่ยสามคนต่างก็ยิ้มแล้ว

“เคลื่อนไหวเมื่อไหร่”

เจ้าแคว้นหลิ่นเฟิงถาม

“เรื่องไม่อาจล่าช้า ออกเดินทางเดี๋ยวนี้!”

เจ้าแคว้นหมิงเยวี่ยหยัดกาย กลางนัยน์ตาสีฟ้าเข้มที่แปลกพิสดารคู่นั้นมีไอสังหารพวยพุ่ง

……

หนึ่งวันต่อมา เขายุทธ์สวรรค์

พวกเจ้าแคว้นหมิงเยวี่ยสี่คนเคลื่อนย้ายผ่านห้วงอากาศ แต่ละคนสำแดงอานุภาพน่าสะพรึงของระดับจักรพรรดิ ไอสังหารปิดครอบฟ้าดินแถบนี้

ยามเมื่อเห็นภาพเช่นนี้ ผู้แข็งแกร่งที่อยู่ใต้อาณัติเจ้าแคว้นคีรีดำต่างตกใจจนขวัญหาย ราวกับตกสู่ถ้ำน้ำแข็ง

จบกัน!

ใครก็คิดไม่ถึงว่าการแก้แค้นจะมาเร็วปานนี้ หนำซ้ำยังมีเจ้าแคว้นสี่คนเต็มๆ บุกมาพร้อมกัน

นี่เป็มหันตภัยครั้งใหญ่อย่างหนึ่งชัดๆ สามารถทำให้ใครก็ตามสิ้นหวัง

“เจ้าเฒ่าคีรีดำ โผล่หัวออกมา!”

เจ้าแคว้นหมิงเยวี่ยตะโกนลั่น เสียงดุจฟ้าคำราม กึกก้องทั่วฟ้าดินแถบนี้

ทั่วทั้งเขายุทธ์สวรรค์ อลหม่านทั้งแถบ เงาร่างมากมายหลากหลายกำลังหนีตายเอาชีวิตรอด กลัวแต่ว่าจะถูกลูกหลงของสงครามใหญ่ที่กำลังจะปะทุขึ้นครั้งนี้

รวมถึงมกุฎกึ่งจักรพรรดิเลี่ยกวง ก็เลือกหนีตายตั้งแต่จังหวะแรกเช่นกัน

นี่ไร้หนทางต้านทานชัดๆ ต่อต้านไปก็เหมือนไม้ซีกงัดไม้ซุง ไม่ต่างอะไรจากการไปตายเปล่า

ในโลกมืดที่อันตรายเดือดพล่านแห่งนี้ สิ่งที่ล้ำค่าที่สุดคือความภักดี สิ่งที่ไม่เป็นราคาที่สุด ก็คือความภักดีเช่นเดียวกัน!

เรื่องที่เผ่นหนีคนละทางเมื่ออันตรายร้ายแรงมาเยือน ก็มีให้เห็นบ่อยครั้งจนไม่แปลกใหม่

เจ้าแคว้นหมิงเยวี่ยและคนอื่นๆ ไม่ได้สนใจพวกที่หนีตายเหล่านั้น

พวกเขารู้ดียิ่ง ขอเพียงฆ่าเจ้าแคว้นคีรีดำเสีย ขุมอำนาจที่ถูกเจ้าแคว้นคีรีดำปกครองแถบนี้ ก็จะกระจัดกระจายในชั่วข้ามคืน

ฝูงมังกรไร้ผู้นำ ก็จะเป็นต้นไม้โค่นวานรกระเจิง!

เพียงแต่ สิ่งที่ทำให้พวกเจ้าแคว้นหมิงเยวี่ยต่างพากันคิดไม่ถึงคือ เมื่อพวกเขาบุกเข้าเขายุทธ์สวรรค์ ค้นหาทั้งบนล่างแล้ว ถึงกับไม่พบเจ้าแคว้นคีรีดำสักนิด

เจ้าแคว้นเฟยหยาสีหน้าไม่น่าดู “สมควรตาย เจ้าเฒ่านี่ถึงกับไม่อยู่ หรือว่าก็สัมผัสถึงความไม่เข้าทีแล้วเช่นกัน จึงเริ่มซ่อนตัวขึ้นมา?”

พวกเขามาพร้อมอำนาจเปี่ยมล้น ไหนเลยจะเคยคาดคิด ถึงขนาดบุกมาถึงรังเก่าของเป้าหมายแล้ว แต่กลับคว้าน้ำเหลวเสียได้

“น่าชังนัก!”

เจ้าแคว้นหลิ่นเฟิงโกรธจนซัดหนึ่งฝ่ามือออกไปอย่างจัง

ตูม!

เขายุทธ์สวรรค์ที่สูงหมื่นจั้งเต็ม ตั้งตระหง่านทานทนลูกนั้นถูกตบกระจุยตรงๆ กลายเป็นผุยผงระฟ้าลอยกระเซ็น

เจ้าแคว้นหลิ่นเฟิงกัดฟันกรอดกล่าวว่า “หาเจ้าเฒ่าคีรีดำไม่พบ ก็ทุบทำลายกองกำลังทั้งหมดที่เขาปกครองอยู่ให้พินาศเสีย แต่ขอเพียงเขายังมีชีวิตอยู่ ช้าเร็วก็ต้องมีตอนที่หวนกลับมาอีกครั้ง!”

เจ้าแคว้นหมิงเยวี่ยและคนอื่นๆ ต่างก็พากันสีหน้าไม่น่าดู

เจ้าเฒ่าคีรีดำไม่ตาย หลังจากได้รู้เรื่องที่พวกเขาสี่คนเคยร่วมมือกัน หมายจะฆ่าเขาให้ตายแล้ว มีหรือจะไม่แก้แค้น

เมื่อนึกถึงสิ่งที่คลั่งโลหิตและฮวงโหวสองคนประสบพบเจอ ก็ทำให้เจ้าแคว้นหมิงเยวี่ยและคนอื่นๆ บีบคั้นจิตใจ

“ทุกท่าน พวกเราจะต้องลากคอเจ้าเฒ่าคีรีดำออกมาโดยเร็วที่สุด หาไม่ยิ่งเวลายืดยาวมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งไม่เป็นผลดีต่อพวกเรา”

สูดหายใจเข้าลึกเฮือกหนึ่ง เจ้าแคว้นฮุยซวงกล่าวเสียงเยียบเย็น

เจ้าแคว้นหลิ่นเฟิงกล่าวว่า “เจ้าเฒ่าคีรีดำอยากเขาหากคิดจะซ่อนตัวขึ้นมา พวกเรามีหรือจะหาพบ”

“เรื่องนี้จัดการง่ายนัก”

เจ้าแคว้นหมิงเยวี่ยกัดฟันเอ่ยปากว่า “พวกเราร่วมกันลงมือ รุกรานเข่นฆ่าอยู่ในถิ่นของเจ้าเฒ่าคีรีดำ ทำลายล้างขุมอำนาจที่อยู่ภายใต้ปกครองของเขาทั้งหมดเสีย เขายังจะทนไม่ยอมปรากฏตัวได้อีกหรือ?”

เจ้าแคว้นเฟยหยาหน้าเปลี่ยนสี “ทำเช่นนี้ก็ช่างเหี้ยมเกินไปแล้ว เกิดเจ้าเฒ่าคีรีดำคลุ้มคลั่งขึ้นมา บุกมาแกแค้นถึงถิ่นที่พวกเราปกครองอยู่ จะทำอย่างไร”

“เรื่องก็มาถึงตอนนี้แล้ว ยังมัวสนใจเรื่องพวกนี้อีกหรือ”

สีหน้าของเจ้าแคว้นหลิ่นเฟิงฉายแววโหดเหี้ยมเสี้ยวหนึ่ง “ขอเพียงบีบเจ้าเฒ่าคีรีดำออกมาได้ แล้วฆ่าเขาเสีย พวกเราจึงจะลำบากหนเดียวสบายตลอดชาติได้ หาไม่ ภายหน้าพวกเราใครหน้าไหนก็ต้องนอนไม่หลับอยู่ไม่สุข!”

ในวันนี้ เจ้าแคว้นสี่คนบุกโจมตี ดุจดั่งมรสุมสายหนึ่งก็ไม่ปาน โหมกระหน่ำอยู่ในถิ่นของเจ้าแคว้นคีรีดำ เรียกการเข่นฆ่านองเลือดครั้งหนึ่งขึ้น

ระดับจักรพรรดิลงมือ มีหรือจะธรรมดาทั่วไป

นับประสาอะไร ยังเป็นระดับจักรพรรดิสี่คนเต็มๆ ร่วมกันลงมืออีกด้วย!

เวลาแทบไม่ถึงหนึ่งวัน บนอาณาเขตของเจ้าแคว้นคีรีดำก็ตกสู่ท่ามกลางความโกลาหล ทุกหย่อมหญ้าล้วนเป็นเงาร่างที่หนีตาย

“บ้าไปแล้ว เจ้าแคว้นพวกนั้นบ้ากันไปหมดแล้ว…”

ยามเมื่อได้รับข่าว จี้เหลิ่งเองก็ใจสะท้าน คิดไม่ถึงเป็นอันขาดว่าการแก้แค้นของเจ้าแคว้นพวกนั้นจะมาไวเช่นนี้ หนำซ้ำยังอำมหิตและเลือดเย็นเช่นนี้

“ผู้อาวุโสเต้ายวนเล่า ตอนนี้เขาไปอยู่ที่ไหนกัน”

ภายในใจจี้เหลิ่งร้อนรน