…แต่ไรมาโลกมืดไม่เคยมีดีชั่ว ขาวดำ ถูกผิด
มีแต่เป็นตาย
เพื่อจะบีบเจ้าแคว้นคีรีดำออกมา พวกสี่เจ้าแคว้นอย่างหมิงเยวี่ย หลิ่นเฟิง เฟยหยา ฮุยซวง ในฐานะระดับจักรพรรดิ สามารถไปบุกฆ่าบริวารใต้อาณัติเจ้าแคว้นคีรีดำพวกนั้นอย่างไร้กลัวเกรง เลือดเย็นไร้ปรานี
ในโลกมืด ทุกชีวิตล้วนเป็นผักหญ้า!
เมืองลมสะท้าน
ห้วงอากาศเงียบงันวังเวง บนท้องถนนไม่พบเห็นเงาร่างใดๆ อีก
ยามโพล้เพล้แสงสนธยาประหนึ่งเลือดสาด
หน้าเมือง เจ้าแคว้นทั้งสี่บ้างนั่งบ้างยืน กลิ่นอายระดับจักรพรรดิที่แผ่ออกมาแผ่ครอบฟ้าดินแถบนี้ ประหนึ่งแดนต้องห้ามที่เทพผีไม่กล้าเฉียดใกล้
“คิดไม่ถึงว่าเจ้าเฒ่าคีรีดำนี่ถึงกับทนได้…” เจ้าแคว้นหมิงเยวี่ยทอดถอนใจ
เจ้าแคว้นเฟยหยาสีหน้าอึมครึม “ลูกน้องตายแล้ว ยังสามารถไปหาคนและปลูกฝังได้ แต่หากเขาเฒ่าคีรีดำตายไป ก็ไม่เหลืออะไรแล้ว”
เป็นเวลาสามวันแล้ว
ในช่วงสามวันนี้พวกเขาเคลื่อนไหวร่วมกันในอาณาเขตเจ้าแคว้นคีรีดำ เข่นฆ่าทุกแห่งหน ประหนึ่งพายุกระโชก
ผู้แข็งแกร่งคนใดก็ตามที่เกี่ยวข้องกับเจ้าแคว้นคีรีดำ ต่างเป็นเป้าหมายที่พวกเขาโจมตีสังหาร
จวบจนบัดนี้บริวารเหล่านั้นที่อยู่ใต้อาณัติเจ้าแคว้นคีรีดำล้วนถูกพวกเขาฆ่าไม่เกือบหมดแล้ว
แต่จนตอนนี้เจ้าแคว้นคีรีดำยังไม่มีแม้แต่ความเคลื่อนไหวสักนิด!
จู่ๆ เจ้าแคว้นหมิงเยวี่ยก็เอ่ยถาม “สหายยุทธ์ฮุยซวง เจ้าสืบข่าวร่องรอยของมารกระบี่เต้ายวนนั่นได้บ้างหรือไม่”
คนอื่นๆ ก็ทอดสายตาไปทางเจ้าแคว้นฮุยซวงด้วยเช่นกัน
มารกระบี่เต้ายวน!
ผู้แข็งแกร่งที่หลายเดือนก่อนจู่ๆ ก็ผงาดขึ้นราวกับดาวหาง และถูกมองเป็นแม่ทัพที่โดดเด่นที่สุดใต้อาณัติเจ้าแคว้นคีรีดำ
ยามนี้ต่อให้เป็นระดับจักรพรรดิเหมือนอย่างพวกเจ้าแคว้นหมิงเยวี่ย ก็ยังได้ยินชื่อนี้ผ่านหูเช่นกัน
นี่ทำให้พวกเขารู้ชัด ว่าขอเพียงจับตัวมารกระบี่เต้ายวนได้ บางทีอาจบีบเจ้าแคว้นคีรีดำอออกมาก็เป็นได้!
“ไม่มี ร่องรอยเจ้าหมอนี่ล่องลอยไม่นิ่ง แทบไม่มีใครรู้ว่าเขาไปไหน”
เจ้าแคว้นฮุยซวงกล่าวถึงตรงนี้ก็เปลี่ยนประเด็นทันที “แต่ก็มีคนบอกว่า มหาอริยะคนหนึ่งชื่อจี้เหลิ่งติดตามรับใช้ข้างกายมารกระบี่เต้ายวนนี่ตลอด หนำซ้ำช่วงก่อนหน้านี้ไม่นานจี้เหลิ่งนี่เคยปรากฏตัวที่เมืองแสงเงินด้วย”
“เมืองแสงเงินอยู่ที่ไหน”
“ห่างจากที่นี่สามหมื่นเก้าพันลี้”
“เรื่องไม่อาจล่าช้า แทนที่จะเฝ้าอยู่ที่นี่ไม่สู้ไปลองเสี่ยงดู”
จากนั้นคนทั้งกลุ่มก็ตัดสินใจ
ทว่าขณะที่พวกเขาตั้งใจจะเคลื่อนไหว จู่ๆ ก็ตระหนักได้ว่ากลางภูผาธาราเวิ้งว้างไกลโพ้นนอกเมือง มีเงาร่างสายหนึ่งเดินเข้ามา
สันโดษเพียงลำพัง เดินกลางอากาศ เงาร่างสูงโปร่งอาบชโลมใต้แสงอาทิตย์อัสดง คละคลุ้งด้วยท่วงทำนองละโลกีย์ที่ลึกลับสายหนึ่ง
พวกเจ้าแคว้นหมิงเยวี่ยต่างฉายแววประหลาดใจออกมา
หลังจากพวกเขามาถึงเมืองลมสะท้านแห่งนี้ ผู้ฝึกปราณทั้งในและนอกเมืองต่างกลัวตัวสั่น เผ่นหนีจนหมดเกลี้ยงเหมือนสุนัขไร้บ้านนานแล้ว
ทว่าตอนนี้ถึงกับมีคนผู้หนึ่งเป็นฝ่ายมุ่งหน้ามาหาเอง นี่เห็นได้ชัดว่าผิดปกติอย่างไม่ต้องสงสัย
นัยน์ตาของเจ้าแคว้นฮุยซวงฉายประกายเย็นชาวูบหนึ่ง “เป็นเขา มารกระบี่เต้ายวนคนนั้น ข้าเคยเห็นภาพเหมือนเกี่ยวกับเจ้าหมอนี่มาก่อน”
มารกระบี่เต้ายวน!
พวกเจ้าแคว้นหมิงเยวี่ยอึ้งไปอีกครั้ง พวกเขาเพิ่งหมายจะไปหาเจ้าหมอนี่ ใครเลยจะคาดคิดว่าอีกฝ่ายถึงกับเป็นฝ่ายมาหาเองถึงที่
“ฮ่าๆ เดินจนรองเท้าเหล็กพังยังหาไม่ได้ บทจะมาง่ายดายไม่เปลืองแรง!” เจ้าแคว้นเฟยหยาหัวเราะ นัยน์ตาทอประกายยินดี
“เหตุใดข้าถึงรู้สึกว่า… สถานการณ์ชักไม่เข้าที” เจ้าแคว้นหลิ่นเฟิงขมวดคิ้ว
คนอย่างมารกระบี่เต้ายวน ถึงจะไม่ถูกพวกเขาเห็นในสายตา แต่อีกฝ่ายสามารถมีชื่อเสียงบารมีเช่นปัจจุบัน มีหรือคนธรรมดาทั่วไปจะเทียบชั้นได้
บุคคลเช่นนี้ย่อมเป็นไปไม่ได้เด็ดขาดที่จะโง่จนถึงขั้นมุ่งหน้ามาตายเปล่า!
“อย่าเพิ่งทำอะไรบุ่มบ่าม”
เจ้าแคว้นหมิงเยวี่ยกล่าวเรียบนิ่ง “ไม่ว่าเจ้าหมอนี่จะมาไม้ไหน ในเมื่อเขามาแล้ว บางทีอาจพิสูจน์ได้ว่าเจ้าเฒ่าคีรีดำก็นั่งไม่ติดแล้ว”
คนอื่นๆ ต่างพยักหน้า
ระดับจักรพรรดิทั้งสี่ที่ผ่านประสบการณ์สุ่มเสี่ยง อาศัยอยู่ในโลกมืดนานปี ย่อมไม่เกรงกลัวมกุฎกึ่งจักรพรรดิคนหนึ่งอยู่แล้ว
ก็เห็นยามที่เงาร่างหลินสวินมาถึงบริเวณห่างจากนอกเมืองพันจั้ง ยืนตระหง่านอยู่กลางห้วงอากาศ
เขาสะพายกล่องกระบี่สำริดเก่าคร่ำคร่า นัยน์ตาดำพร่างพราว ถอนใจเบาๆ กล่าวว่า “ช่างละอายจริงๆ ก่อนหน้านี้มุ่งหน้าไปเขาแสงต้นเฟิง ตอนที่รีบเร่งมาถึงเพิ่งพบว่าทำให้ทุกท่านรอนานแล้ว”
เขาแสงต้นเฟิง!
นั่นเป็นถึงที่พำนักของเจ้าแคว้นหลิ่นเฟิง!
ชั่วขณะนั้นในใจเจ้าแคว้นหมิงเยวี่ยและคนอื่นๆ ต่างสั่นสะท้าน
หลายวันก่อนอาณาเขตของเจ้าแคว้นฮวงโหวเพิ่งจะถูกเจ้าเฒ่าคีรีดำรวบไป และมารกระบี่เต้ายวนนี่ก็โผล่มาที่อาณาเขตที่เจ้าแคว้นหลิ่นเฟิงครอบครองอีก
นี่หมายความว่าเจ้าเฒ่าคีรีดำวางแผนครองอาณาเขตเจ้าแคว้นหลิ่นเฟิงแล้วใช่หรือไม่
“เจ้าสวะตัวจ้อย อย่าหวังจะพูดข่มขวัญผู้อื่น แค่เจ้าก็คิดอยากบุกเข้าเขาแสงต้นเฟิงรึ ช่างน่าขันซะจริง!”
เจ้าแคว้นหลิ่นเฟิงตวาดลั่น น้ำเสียงดุจสายฟ้าฟาดสะเทือนฟ้าดินแถบนี้
หลินสวินสีหน้าผ่อนคลาย “น่าขันหรือไม่ตอนนี้ไม่สำคัญแล้ว สิ่งที่สำคัญคือทั้งสี่ท่านปรากฏตัวอยู่ที่นี่พร้อมกัน นับว่าทำให้ข้าไม่ต้องลำบากตามหาอีกแล้ว เรียกได้ว่าเป็นเรื่องดีเรื่องหนึ่ง”
“เจ้า… คงไม่ได้คิดจะมาต่อกรกับพวกเราสี่คนด้วยตัวคนเดียวกระมัง” เจ้าแคว้นหมิงเยวี่ยเผยสีหน้าไม่อยากจะเชื่อ
เจ้าแคว้นคนอื่นๆ เองก็ตะลึงไปชั่วขณะ
กลับเห็นหลินสวินตบกล่องกระบี่ที่อยู่ด้านหลังเบาๆ กล่าวว่า “ในนี้มีกระบี่เล่มหนึ่ง เชิญทุกท่านมาชมหน่อย”
ชิ้ง!
กระบี่ครวญดุจกระแสน้ำเชี่ยว ก้องสะท้อนเก้าชั้นฟ้า
กลางฟ้าดินเมื่อเย่จื่อโฉบออกจากกล่องกระบี่ เจตกระบี่น่าสะพรึงไร้สิ้นสุดสายหนึ่งก็แผ่กว้างออกไปด้วย กร้าวแกร่งถึงขีดสุด เดือดคลั่งอย่างที่สุด!
แววตะลึงบนใบหน้าของพวกเจ้าแคว้นหมิงเยวี่ยแข็งทื่อ ในที่สุดก็เข้าใจ ว่าเหตุใดมกุฎกึ่งจักรพรรดิเช่นนี้ถึงกับมุ่งหน้ามาคนเดียวอย่างมั่นใจเต็มเปี่ยม
ความแข็งแกร่งแห่งกลิ่นอายของวิญญาณกระบี่นั่นสั่นสะเทือนทั่วฟ้า เจตกระบี่พาดขวางห้วงอากาศ ทำให้ผิวหนังของพวกเขาปวดแสบไปพักหนึ่ง รู้สึกถึงแรงกดดันหาใดเปรียบ
หากไม่ได้เห็นเองกับตาใครก็ไม่กล้าเชื่อ ว่าเพียงวิญญาณกระบี่สายเดียวเท่านั้นถึงกับมีอานุภาพดุดันพลิกฟ้าปานนี้!
“หนึ่ง สอง สาม สี่… กลับไม่มีสักคนที่เหนือกว่าระดับจักรพรรดิขั้นสาม…”
เย่จื่อคล้ายค่อนข้างผิดหวัง ทอดถอนใจเบาๆ กล่าวว่า “หลินสวิน เจ้าเชื่อหรือไม่ว่าแค่กระบี่เดียวเท่านั้นข้าก็กำราบพวกเขาตามๆ กันได้แล้ว”
กระบี่เดียว!?
มุมปากหลินสวินกระตุกคราหนึ่ง แต่ไรมาเย่จื่อไม่ใช่วิญญาณกระบี่ที่ชอบคุยโว ในเมื่อเขาพูดเช่นนี้ ย่อมต้องมีความมั่นใจมากทีเดียว
เพียงแต่เมื่อนึกถึงว่าตอนนี้เย่จื่อถึงขั้นกล้าพูดว่าใช้กระบี่เดียวกำราบเจ้าแคว้นสี่คนได้ ในใจหลินสวินก็ยังรู้สึกไม่ค่อยมั่นใจอย่างเลี่ยงไม่ได้
และพร้อมกันนั้น สีหน้าของพวกเจ้าแคว้นหมิงเยวี่ยต่างมืดทะมึน แววตาทอประกายลุกโชน ทั้งอึ้งงันและโกรธเคือง ทั้งสงสัยและเคลือบแคลง
คำพูดของเย่จื่อทำลายความภาคภูมิใจในฐานะระดับจักรพรรดิของพวกเขาอย่างลุ่มลึก และรสชาติเช่นนี้พวกเขาไม่เคยได้ลิ้มลองมานานมากแล้ว
“ร่วมกันลงมือ?”
เจ้าแคว้นหมิงเยวี่ยเอ่ยเสียงขรึม
“ดี!”
เจ้าแคว้นคนอื่นๆ ต่างฉายแววเหี้ยมเกรียม
เมื่อพลังขับเคลื่อนของพวกเขาโคจร อานุภาพน่าสะพรึงระดับจักรพรรดิก็แผ่กว้างปิดครอบภูผาธาราแถบนี้ ประหนึ่งเขาถล่มคลื่นยักษ์โหมซัด
ใต้เท้าพวกเขา ในเมืองลมสะท้านอันกว้างใหญ่ตึกอาคารนับไม่ถ้วนแตกเป็นเสี่ยง ถนนหนทางทรุดตัว กำแพงเมืองพังครืน เพียงพริบตาก็กลายเป็นเศษซากที่ฝุ่นควันลอยคลุ้งแถบหนึ่ง
เพียงแค่อานุภาพแห่งระดับจักรพรรดิเท่านั้นก็พังเมืองหนึ่งจนพินาศ!
หลินสวินยืนนิ่งไม่ไหวติง
สายตาและจิตรับรู้ของเขาล้วนถูกอานุภาพจักรพรรดิอันน่าสะพรึงกดข่ม รับรู้ถึงความรู้สึกหายใจไม่ออกอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน นี่ทำให้เขาตระหนักได้ว่า ต่อให้ปราณในตอนนี้ของตนจะมีรากฐานเทียบเท่าระดับจักรพรรดิขั้นหนึ่งแล้ว
แต่ยามเผชิญหน้ากับระดับจักรพรรดิสี่คนที่อยู่ในสภาพสมบูรณ์สูงสุดและผ่านการเข่นฆ่านับไม่ถ้วน ก็ยังเห็นได้ชัดว่าอ่อนแอเกินไปอยู่ดี
ที่สำคัญที่สุดคือ อีกฝ่าย… ไม่มีใครไม่ใช่ระดับจักรพรรดิขั้นหนึ่ง!
การที่ยังสามารถยืนอย่างมั่นคงอยู่ตรงนั้นได้ สำหรับหลินสวินก็เป็นเรื่องที่ยากยิ่งยวดแล้ว เขากล้าฟันธงว่าหากเปลี่ยนเป็นระดับเดียวกันคนอื่นๆ ภายใต้สถานการณ์ระดับนี้ย่อมเป็นไปไม่ได้ที่จะแสดงฝีมือโดดเด่นไปกว่าตนอย่างแน่นอน!
ตูม!
การต่อสู้ดุเดือดอย่างไม่ต้องสงสัย ฟ้าดินสั่นสะเทือน ภูผาธาราเวิ้งว้างละแวกใกล้เคียงต่างพบเจอแรงกระแทกน่าสะพรึง ถูกซัดกวาดจากผืนดินประหนึ่งกระดาษเปื่อย
เสียงมรรคดังสนั่นหวั่นไหว กฎเกณฑ์ระดับจักรพรรดิลุกโชนพาดผ่านเก้าชั้นฟ้าสิบแผ่นดิน บดขยี้เวิ้งฟ้าแถบนี้ ภาพระดับนั้นสามารถสั่นคลอนหมื่นกาล ทำให้เหล่าสิ่งมีชีวิตต่างสะท้านสะเทือน
เผชิญหน้ากับภาพเหตุการณ์น่าสะพรึงเช่นนี้ ข้อมือเย่จื่อสั่นขยับคราหนึ่ง ริมฝีปากเอ่ยเบาๆ
“ตราบเท่ากระบี่ข้า”
ยามเมื่อเสียงดังขึ้น ปราณกระบี่สายหนึ่งพุ่งโฉบออกไป
กลางฟ้าดินอันเวิ้งว้างแถบนี้ถูกแสงสว่างจ้าวูบหนึ่งปิดครอบ กลายเป็นยืนยงไม่เสื่อมคลายเพียงหนึ่งเดียว
“ฟ้าดินพังทลาย”
เมื่อปราณกระบี่สายนี้ร่วงลงไป ภาพน่าสยองตะลึงโลกก็ปรากฏขึ้น
ฟ้านี้ดินนี้ ทุกสรรพสิ่งเหล่านี้ล้วนประหนึ่งใบไม้แห้งที่ชีวิตโรยรา มอดดับกลายเป็นเถ้าถ่านท่ามกลางแสงกระบี่ไร้ขอบเขต
หากฟ้าดินนี้เป็นภาพวาด เช่นนั้นกระบี่นี้ก็เหมือนคบไฟหนึ่ง แผดเผาภาพวาดจนดับสิ้น!
น่ากลัวเกินไป
และน่าเหลือเชื่อเกินไป!
เนิ่นนานยามเมื่อฝุ่นควันจางหาย…
ยามเมื่อภาพโกลาหลต่างๆ เหล่านั้นมลายสิ้น เผยสภาพความเป็นจริงของฟ้าดินแถบนี้ออกมา ทั่วสี่ทิศแปดทางก็กลายสภาพเป็นซากปรักหักพังนานแล้ว
ทุกหย่อมหญ้าล้วนเป็นภาพพังทลาย แห่งเหือด ดับสูญ!
ลมระลอกหนึ่งโชยมา กลางห้วงอากาศยังคงหลงเหลือกลิ่นอายที่ชวนให้ผู้คนใจผวา หลินสวินที่ยืนอยู่กลางอากาศเหนือซากปรักหักพังแถบนี้ คราวนี้ถึงพ่นลมหายใจหนักอึ้งออกมาราวกับเพิ่งตื่นจากฝัน
และในสายตาเขามีแววสั่นสะท้านที่สลัดไม่หลุดเจืออยู่
อานุภาพแห่งระดับจักรพรรดิ พังเมืองทั้งเมือง
และกระบี่เดียวของเย่จื่อ ก็กำราบสี่จักรพรรดิ!
เวลานี้หลินสวินมองเห็นเจ้าแคว้นสี่คนอย่างหมิงเยวี่ย หลิ่นเฟิง เฟยหยา ฮุยซวงถนัดตาแล้ว ต่างนอนคว่ำอยู่ท่ามกลางซากปรักหักพัง เลือดอาบทั่วร่าง เจ็บหนักปางตาย
นี่ก็คืออานุภาพแห่งกระบี่เดียวของเย่จื่อ!
หลินสวินก็ถือว่าเป็นคนที่เคยพบเห็นโลกกว้าง ผ่านการประลองมาทุกรูปแบบ ได้เห็นเห็นศิษย์พี่ชายหญิงคีรีดวงกมลคนแล้วคนเล่าสำแดงความผ่าเผยสะท้านยุคที่อานุภาพน่าทึ่งมาแล้ว
แต่เวลานี้ก็ยังถูกกระบี่นี้ของเย่จื่อทำให้ตื่นตาอย่างอดไม่ได้
“หากเปลี่ยนเป็นตอนอานุภาพเต็มที่ ข้าคงไม่เปลืองแรงเช่นนี้เด็ดขาด”
เย่จื่อยืนอยู่บนไหล่หลินสวิน หอบหายใจถี่รัวอยู่หลายครั้ง เอ่ยปากด้วยสีหน้าจริงจัง เขาคล้ายกับ… ไม่ค่อยพอใจในกระบี่นี้ของตนนัก
มุมปากของหลินสวินกระตุก เขายังจะพูดอะไรได้อีก
……
ในวันนี้เจ้าแคว้นสี่คนอย่างหมิงเยวี่ย หลิ่นเฟิง เฟยหยา ฮุยซวงล้วนถูกกำราบอยู่ในอาณาเขตของเจ้าแคว้นคีรีดำ!
ทันทีที่ข่าวกระจายออกไป แคว้นหนาวเหน็บสะท้านสะเทือน ผู้แข็งแกร่งนับไม่ถ้วนต่างสะท้านสะเทือนกับเรื่องนี้
จนป่านนี้ เวลาเพียงแค่สองเดือน เจ้าแคว้นคีรีดำกวาดรวบถิ่นของสองเจ้าแคว้นใหญ่อย่างคลั่งโลหิตและฮวงโหวอย่างต่อเนื่อง ซัดทลายการบุกโจมตีร่วมกันของเจ้าแคว้นสี่คน!
ผลงานการต่อสู้ที่เพียงพอจะเรืองทศวรรษ จรัสตราบนิรันดร์เช่นนี้ ถึงขั้นทำให้ผู้คนรู้สึกเหมือนฝันไป ไม่สมจริงถึงเพียงนั้น
ตั้งแต่เมื่อไหร่กันที่เจ้าแคว้นคีรีดำแข็งแกร่งปานนี้
นี่คือข้อกังขาของคนนับไม่ถ้วน
ถึงอย่างไร ท่ามกลางกาลเวลาที่ผ่านมาเหล่านั้น ถึงแม้เจ้าแคว้นคีรีดำจะแข็งแกร่ง แต่ในลำดับสิบเจ้าแคว้นใหญ่ ก็ฝืนกำลังอยู่ในตำแหน่งระดับกลางเท่านั้น
ทว่าตอนนี้ เวลาเพิ่งจะเพียงสองเดือนเท่านั้น เขาก็แผ่อาณาเขตด้วยอานุภาพดุจผ่าลำไผ่ สยบโจมตีพวกเจ้าแคว้นหกคนอย่างต่อเนื่อง เหมือนกับเปลี่ยนเป็นคนละคนชัดๆ!
——