ชื่อเสียงของเจ้าแคว้นคีรีดำสะท้านสะเทือนแคว้นหนาวเหน็บ

ชื่อเสียงของ ‘มารกระบี่เต้ายวน’ ของหลินสวินก็พลอยแผ่กว้างไปอีกขั้นด้วยเช่นกัน แม้ไม่ถึงขั้นเหมือนดวงตะวันกลางฟ้า แต่ก็เป็นชื่อที่สะดุดตาไม่มีใครไม่รู้จักคนหนึ่ง

เพียงแต่ไม่มีใครรู้ เจ้าแคว้นหกคนไม่ว่าจะเป็นเจ้าแคว้นคีรีดำ เจ้าแคว้นคลั่งโลหิต หรือพวกเจ้าแคว้นฮวงโหว หมิงเยวี่ย ตอนนี้ต่างก็ถูกกำราบอยู่ในเจดีย์มหามรรคไร้สิ้นสุด!

จี้เหลิ่งพอจะเดาบางอย่างได้รางๆ แต่กลับไม่กล้าคิดไปไกล เพราะความจริงเช่นนั้นน่ากลัวเกินไป น่ากลัวจนเขาได้แต่ทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ทั้งที่ตระหนักแก่ใจดี

หลังจากผ่านศึกที่ตะลึงโลกครั้งนี้ ผลงานการต่อสู้ที่สะดุดตาของเจ้าแคว้นคีรีดำนั่น ในที่สุดก็เรียกความสนใจของ ‘จักรพรรดิมารวายุสังหาร’ เจ้าแคว้นอันดับหนึ่งแห่งแคว้นหนาวเหน็บได้แล้ว

……

เขาเมฆาเลิศ

สถานที่พำนักของจักรพรรดิมารวายุสังหาร

“สหายยุทธ์วายุสังหาร ขืนเจ้ายังไม่ออกหน้ามาห้ามปรามอีก ต่อไปแคว้นหนาวเหน็บแห่งนี้… เกรงว่าคงกลายเป็นของเจ้าเฒ่าคีรีดำคนเดียวแล้ว!”

ในคฤหาสน์แห่งหนึ่ง ชายราที่สวมชุดเทา บนศีรษะสวมเกี้ยวประดับขนนกคนหนึ่งเอ่ยปาก แววเดือดดาลทั่วใบหน้า

“ไม่ผิด พวกเราสองคนมุ่งหน้ามาครานี้ก็เพราะอยากฟังความเห็นของสหายยุทธ์เกี่ยวกับพฤติกรรมเลวร้ายของเจ้าเฒ่าคีรีดำ เพื่อทำการตัดสินใจ”

ชายอีกคนที่สวมชุดหรูหรา นัยน์ตาคมกริบดุจกระบี่ก็เอ่ยปากตามมาติดๆ

ชายชราชุดสีเทากับชายคนนี้ คือเจ้าแคว้นหงอวี่และเจ้าแคว้นเซวียนชงในหมู่สิบเจ้าแคว้นใหญ่แห่งแคว้นหนาวเหน็บ

ในแคว้นหนาวเหน็บตอนนี้ ก็มีแต่อาณาเขตที่จักรพรรดิมารวายุสังหารครอบครอง และอาณาเขตของพวกเขาสองคนที่ไม่ถูกบุกยึด

ทว่าไม่ว่าโชคหรือเคราะห์ก็ล้วนต้องแบกรับไปด้วยกัน อิทธิพลที่เจ้าแคว้นคีรีดำแผ่ขยายในตอนนี้ดุจดั่งไฟลามทุ่ง เจ้าแคว้นสองคนอย่างพวกเขาต่างลนลานอย่างสิ้นเชิงแล้ว

ดังนั้นจึงมุ่งหน้ามาพร้อมกัน วาดหวังว่าจักรพรรดิมารวายุสังหารจะสามารถออกหน้า หยุดยั้งเรื่องทั้งหมดนี้ได้

“เจ้าเฒ่าคีรีดำนี่… ทำเกินไปจริงๆ”

จักรพรรดิมารวายุสังหารที่นั่งอยู่ตำแหน่งประธานเอ่ยปาก น้ำเสียงขึงขัง ผมเคราของเขาล้วนขาวโพลน ตารูปสามเหลี่ยม จมูกงองุ้ม สวมชุดนักพรตสีครามเข้ม แผ่กลิ่นอายที่เย็นเยียบชวนสยดสยองออกมา

เขากล่าวด้วยสีหน้าราบเรียบ “ทั้งสองไม่ต้องตื่นตระหนก เรื่องมาถึงบัดนี้ข้าย่อมไม่อาจมองดูเฉยๆ และเป็นไปไม่ได้ที่จะปล่อยให้เจ้าเฒ่าคีรีดำมาก่อกวนอีก!”

เจ้าแคว้นหงอวี่และเจ้าแคว้นเซวียนชงต่างฮึกเหิมขึ้นมา

จักรพรรดิมารวายุสังหารเป็นคนที่พลังปราณแข็งแกร่งที่สุดในบรรดาสิบเจ้าแคว้นใหญ่ เหยียบย่างระดับจักรพรรดิขั้นสามนานแล้ว

สิ่งสำคัญที่สุดคือ จักรพรรดิมารวายุสังหารยังเป็นผู้อาวุโสคนหนึ่งของสำนักโบราณจรัสเทพ!

ลำพังแค่ฐานะนี้ ในแคว้นหนาวเหน็บก็ไม่มีใครกล้าหาเรื่อง ถึงอย่างไรสุดท้ายแล้วแคว้นหนาวเหน็บก็เป็นส่วนหนึ่งของดินแดนที่สำนักโบราณจรัสเทพปกครองอยู่!

“เด็กๆ กระจายข่าวของข้าออกไป ให้เจ้าเฒ่าคีรีดำนั่นมารับผิดขอขมาภายในสามวัน หากไม่มา ผลที่ตามมาต้องรับผิดชอบเอง”

จักรพรรดิมารวายุสังหารเอ่ยปาก น้ำเสียงดังลอยออกไปนอกโถง

“รับผิดขอขมา? นี่ออกจะผ่อนปรนเจ้าเฒ่านั่นเกินไปหน่อย” เจ้าแคว้นหงอวี่ไม่เข้าใจ

จักรพรรดิมารวายุสังหารกล่าวอย่างไม่แยแส “นี่เป็นแค่การหยั่งเชิงอย่างหนึ่งเท่านั้น หากเขามาสำนึกผิดรับโทษ ก็พิสูจน์ได้ว่าในใจยังมีความยำเกรงต่อสำนักโบราณจรัสเทพของข้าอยู่ ข้าไม่อยากใช้ความตายบีบบังคับ”

“แต่หากเขาไม่มาเล่า” เจ้าแคว้นเซวียนชงกล่าว

จักรพรรดิมารวายุสังหารกล่าวด้วยสีหน้าไร้ความรู้สึก “นั่นก็เป็นคราวดับสิ้นของเขาแล้ว!”

ในวันนี้จักรพรรดิมารวายุสังหารส่งสารลับ เล่าพฤติกรรมชั่วร้ายของเจ้าแคว้นคีรีดำแก่สำนักโบราณจรัสเทพ ขอให้ส่งคนมีฝีมือมาทำการกำราบ!

……

สำนักโบราณจรัสเทพ

บุกเบิกแดนลับที่วิเศษกว้างขวางแห่งหนึ่ง

ภายในแดนลับแห่งนี้ ทุกแห่งหนเป็นเขาวิญญาณธารผุดผ่อง ถ้ำสวรรค์แดนมงคล ประกายเทพโปรยปราย แสงระเรื่อไหลเวียน แม้แต่ในอากาศยังคละคลุ้งด้วยกลิ่นอายแรกกำเนิดที่เข้มข้นหนาแน่น

เมื่อเทียบกับโลกมืดที่ไอวิญญาณบางเบา ทรัพยากรแร้นแค้นขาดแคลนนั่นแล้ว ก็เหมือนแดนเซียนตามตำนานชัดๆ!

นี่ก็คือรากฐานพลังของหนึ่งในสามยักษ์ใหญ่แห่งโลกมืออย่างสำนักโบราณจรัสเทพ!

ในความเป็นจริง แดนลับแห่งนี้หาใช่แดนมงคลตามธรรมชาติ หากแต่ถูกพวกเฒ่าดึกดำบรรพ์ของสำนักโบราณจรัสเทพร่วมมือกันสร้างออกมา!

โลกภายนอกเคยมีข่าวลือว่า ลำพังแค่การโคจรแดนลับแห่งนี้ สำนักโบราณจรัสเทพต้องใช้ผลึกมรรคหลายร้อยล้านก้อนในทุกๆ วัน!

ในมรรคสถานแห่งหนึ่ง ไผ่เขียวชอุ่ม แสงมงคลพร่างพรม

เงาร่างกลุ่มหนึ่งนั่งอย่างสบายอารมณ์

ผู้ที่นั่งอยู่ตำแหน่งประธานเป็นชายหน้าตาหล่อเหลาคนหนึ่ง สวมชุดนักปราชญ์แขนกว้าง ผมดำแผ่สยาย นัยน์ตาลุ่มลึกสุกสกาว

กฎเกณฑ์มหามรรคเป็นสายๆ ดั่งฝันดุจมายารายล้อมอยู่รอบตัวเขา ด้านหลังเขาสะท้อนแสงทรงกลดวงหนึ่ง

แสงทรงกลดโคจร วิวัฒน์เป็นลักษณ์แห่งทั่วหล้า

‘อวี้คุนจื่อ’ เจ้าสำนักสำนักโบราณจรัสเทพ ปกครองดูแลสำนักในโลกมืดมาเนิ่นนาน ถูกมองเป็นพวกชั้นเลิศที่ ‘วิธีการอำมหิต’ คนหนึ่ง!

คนที่นั่งอยู่ในตำแหน่งอื่นๆ ในมรรคสถานล้วนเป็นคนใหญ่คนโตของสำนักโบราณจรัสเทพ แต่ละคนต่างมีอานุภาพน่าเกรงขาม สะกิดเท้าคราเดียวก็สามารถทำให้โลกมืดสั่นโคลงได้

“ทุกท่าน หลังจากนี้หนึ่งปีโลกมืดจะมีเคราะห์จ่อมจมในประวัติศาสตร์มาเยือนเป็นครั้งที่สาม ‘แดนปรินิพพาน’ ในตำนานก็จะปรากฏขึ้นมาด้วย”

“นี่เป็นทั้งศุภโชคชั้นเลิศ และเป็นทั้งเคราะห์ครั้งใหญ่ที่ยากจะคาดเดาอย่างหนึ่งด้วย จากข่าวที่ข้าได้รับ ขุมอำนาจใหญ่ทั่วหล้าบนทางเดินโบราณฟ้าดาราต่างเริ่มเตรียมพร้อมเพื่อการนี้กันแล้ว”

เสียงของอวี้คุนจื่อดังขึ้น ประหนึ่งระฆังรุ่งสางกลองพลบค่ำ ก้องสะท้อนอยู่กลางฟ้าดิน “สำนักโบราณจรัสเทพของพวกเราย่อมต้องวางแผนเพื่อการนี้เช่นกัน”

คนใหญ่คนโตทั้งกลุ่มในที่นี้ต่างมีความคิดมากมาย

ยอดหนทางสู่อมตะ แดนปรินิพพาน

เคราะห์จ่อมจมชั่วกัปกัลป์ ดอกบัวเบ่งบาน!

นี่เป็น ‘มรรคคาถา’ ที่เกี่ยวข้องกับเคราะห์จ่อมจม สืบทอดเรื่อยมาจากยุคแรกสุดสมัยดึกดำบรรพ์ ภายในบรรจุปริศนาที่ทำให้ผู้คนคิดฝันไปไกล

เคราะห์จ่อมจม ก็คือเคราะห์ที่เคยมาเยือนโลกมืดในยุคแรกเริ่มดึกดำบรรพ์ และแรกเริ่มบรรพกาล

ดอกบัว ไม่ว่าจะเป็นในการบำเพ็ญธรรมหรือเป็นในสำนักอื่นๆ ต่างถูกมองเป็นของศักดิ์สิทธิ์มงคล แฝงนัยศุภโชคและวาสนา

สิ่งเดียวที่เพียงทำให้ผู้คนรู้สึกยากจะไตร่ตรองและใจเต้นรัวหาใดเปรียบ บางทีอาจจะเป็นความหมายแฝงของ ‘ยอดหนทาง’

จนถึงบัดนี้ ทั่วหล้าทั้งบนล่าง ไม่ว่าสำนักไหนเฒ่าดึกดำบรรพ์คนใด ต่างคิดว่า ‘ยอดหนทางสู่อมตะ’ ที่ว่านี้ จะปรากฏอยู่ใน ‘แดนปรินิพพาน ’!

ส่วน ‘ยอดหนทาง’ สายนี้จะหน้าตาอย่างไรกันแน่ และจะมีความเร้นลับอย่างไร ไม่มีใครสามารถให้คำตอบที่แน่ชัดได้

“เจ้าสำนัก เคราะห์จ่อมจมนี่เกี่ยวข้องกับระเบียบต้องห้ามหรือไม่” จู่ๆ ก็มีคนเอ่ยถามขึ้น

ประโยคเดียวทำให้นัยน์ตาทุกคนในที่นี่ต่างหดรัด ทั่วหล้าทั้งบนล่างในยามนี้ พลังระเบียบต้องห้ามถูกจักรพรรดิสวรรค์ดำรงควบคุมอีกครั้ง ทำให้ผู้คนใจสั่นสะท้าน

“น่าจะไม่มีความเกี่ยวข้องกัน”

นัยน์ตาอวี้คุนจื่อมีประกายเทพไหลเวียน “ทุกท่านอย่าลืมเชียว ช่วงแรกเริ่มดึกดำบรรพ์ตอนที่เคราะห์จ่อมจมครั้งแรกมาเยือน พลังระเบียบต้องห้ามที่มาจากฟากฝั่งฟ้าดารานั่น… ยังไม่ได้ปรากฏอยู่บนทางเดินฟ้าดารา”

มีคนเอ่ยถาม “พูดถึงระเบียบต้องห้าม มีข่าวของหลินสวินผู้สืบทอดคีรีดวงกมลบ้างหรือไม่”

หลินสวิน!

อวี้คุนจื่อนิ่งเงียบครู่หนึ่งแล้วกล่าวว่า “ทั่วทั้งโลกมืด กองกำลังของพวกเราสำนักโบราณจรัสเทพ แดนกษิติครรภ์ และหอวิหคทองแดงต่างกำลังสืบหาที่อยู่ของเจ้าหมอนี่ ได้ยินว่าในเขตแดนที่แดนกษิติครรภ์ปกครอง ลำพังแค่ผู้ต้องสงสัยก็ถูกจับกุมไว้นับพันคนแล้ว”

“แต่ที่น่าเสียดายคือไม่มีสักคนที่เป็นหลินสวินผู้สืบทอดคีรีดวงกมลคนนั้น”

“ในเขตแดนที่สำนักโบราณจรัสเทพของพวกเราปกครองก็ไม่ต่างกัน แต่ทุกท่านก็รู้ โลกมืดเดิมก็เป็นสถานที่ลี้ภัยของพวกหนีตายเอาชีวิตรอด ทุกวันล้วนเกิดการเข่นฆ่านองเลือดไม่รู้เท่าไหร่ ไม่มีขุมอำนาจไหนจะทุ่มกำลังทั้งหมดไปเสาะหาเจ้าหมอนี่แน่”

“ประเด็นสำคัญที่สุดคือ พลังที่เจ้าหมอนี่ครอบครองอยู่ในปัจจุบัน ต่างจากแต่ก่อนนานแล้ว ตอนที่อยู่ในโลกใหญ่หงเหมิงเขาก็สามารถฆ่าระดับกึ่งจักรพรรดิได้แล้ว ตอนนี้อยู่ในโลกมืดนี่ คิดอยากซ่อนตัวขึ้นก็แทบไม่มีโอกาสจับเขาได้ด้วยซ้ำ”

กล่าวถึงตรงนี้อวี้คุนจื่อยังอดทอดถอนใจไม่ได้

คนใหญ่คนโตของสำนักโบราณจรัสเทพต่างขมวดคิ้วไม่คลายเช่นกัน

มีคนเอ่ยถาม “หอวิหคทองแดงเล่า พวกเขาอ้างตัวว่าเป็นผู้พิทักษ์ระเบียบโลกมืดเรื่อยมา โดยเพาะเจ้าหอของพวกเขา เย่อหยิ่งถึงขั้นไม่เห็นใครในสายตา จากพลังของพวกเขาก็สืบหาเบาะแสไม่ได้แม้แต่น้อยเลยหรือ”

“หอวิหคทองแดง?”

นัยน์ตาอวี้คุนจื่อผุดแววเย็นเยียบ กล่าวอย่างเหยียดหยัน “ไม่ต้องไปหวังหรอก หากพูดถึงคนที่เย่อหยิ่งที่สุดในโลกมืด ต้องเป็นเจ้าหอหอวิหคทองแดงอย่างไม่ต้องสงสัย แต่ต่อให้เขาเย่อหยิ่งจองหองแค่ไหน ยามนี้ก็ไม่รู้ไปมุดหัวอยู่ที่ไหนแล้ว”

ทุกคนต่างอดหัวเราะขึ้นมาไม่ได้

ครั้งก่อนยามจักรพรรดิสวรรค์ดำรงมาเยือนโลกมืด เคยเรียกให้เจ้าหอวิหคทองแดงมาหา ทว่าท้ายที่สุดทางหอวิหคทองแดงกลับส่งข่าวมาว่าเจ้าหอวิหคทองแดงมุ่งหน้าไปฟากฝั่งฟ้าดารานานแล้ว

จักรพรรดิสวรรค์ดำรงได้รู้เรื่องนี้ก็กล่าวเพียงประโยคเดียวว่า ‘วันนี้ไม่มาคารวะ วันหน้าก็ให้เขาหิ้วหัวมาพบ!’

และเพราะเรื่องนี้ ทำให้สำนักโบราณจรัสเทพและแดนกษิติครรภ์ต่างตระหนักได้ว่า หอวิหคทองแดงล่วงเกินจักรพรรดิสวรรค์ดำรงอย่างสิ้นเชิงแล้ว เกรงว่าอีกไม่นานเท่าใดก็จะประสบวิกฤตร้ายแรง!

“เพียงแต่น่าเสียดาย ไม่รู้ว่าจักรพรรดิสวรรค์ดำรงคิดอย่างไร มาโลกมืดได้ไม่นานก็รีบร้อนจากไป มุ่งหน้าสู่แหล่งน้ำศักดิ์สิทธิ์ หาไม่ไม่ว่าเจ้าหอวิหคทองแดงจะซ่อนตัวอยู่ที่ไหน เกรงว่าคงถูกจักรพรรดิสวรรค์ดำรงลากตัวออกมาตั้งแต่แรกแล้ว”

อวี้คุนจื่อกล่าวอย่างนึกเสียใจอยู่บ้าง

“เจ้าสำนักรู้หรือไม่ว่าจักรพรรดิสวรรค์ดำรงมุ่งหน้าไปแหล่งน้ำศักดิ์สิทธิ์เพราะต้องการทำอะไร” ผู้อาวุโสคนหนึ่งเอ่ยถาม

“ความคิดของผู้สูงส่งเช่นนี้ของเขา ใครจะไปเดาทางได้”

อวี้คุนจื่อส่ายหน้า “แต่ว่าทุกท่านก็รู้ ประตูภูเขาของคีรีดวงกมลเคยตั้งอยู่ในแหล่งน้ำศักดิ์สิทธิ์ แม้จะถูกทำลายตั้งแต่ยุคบรรพกาลแล้ว แต่ท้ายที่สุดก็ถือเป็นสถานที่ตั้งของ ‘หอบรรพจารย์’ ของคีรีดวงกมล”

“ข้าสงสัยยิ่งว่าจุดประสงค์ที่จักรพรรดิสวรรค์ดำรงมุ่งหน้าไปแหล่งน้ำศักดิ์สิทธิ์ บางทีอาจจะเพื่อไปค้นหาอะไรบางอย่างในที่นั้นก็เป็นได้”

ขณะพูดจู่ๆ ก็มีคนเข้ามารายงาน…

“ใต้เท้าเจ้าสำนัก ผู้อาวุโสวายุสังหารแห่งแคว้นหนาวเหน็บส่งข่าวมา”

สารหยกฉบับหนึ่งถูกส่งถึงมืออวี้คุนจื่อ

อวี้คุนจื่อเปิดสารออกอ่านแล้วเลิกคิ้วทันที “เจ้าแคว้นเล็กๆ คนหนึ่ง แต่เวลาเพียงสองเดือนกลับกวาดรวบอาณาเขตเกือบทั้งแคว้นได้ มิน่าวายุสังหารถึงนั่งไม่ติด ต้องมาขอความช่วยเหลือจากสำนัก”

กล่าวถึงตรงนี้อวี้คุนจื่อยกสารในมือขึ้น กวาดสายตามองคนใหญ่คนโตในที่นั้นปราดหนึ่งแล้วเอ่ยว่า “แคว้นหนาวเหน็บเกิดเหตุการณ์บางอย่างขึ้น ผู้ใดยินดีจะเดินทางไปสักเที่ยว”

น้ำเสียงสิ้นสุดลงก็เห็นชายผอมสูงในชุดดำคนหนึ่งลุกขึ้น หลังจากยืดเอวบิดขี้เกียจเสร็จถึงค่อยกล่าวอย่างไม่อินังขังขอบว่า “ข้าไม่ได้ออกไปข้างนอกนานแล้ว เรื่องนี้… ก็ยกให้ข้าจัดการเถิด”

ทุกคนในที่นั้นต่างอึ้งไป

ขนาดอวี้คุนจื่อก็ยังเผยแววแปลกใจออกมา คล้ายคาดไม่ถึงว่าชายผอมสูงคนนี้จะเป็นฝ่ายเอ่ยปากจัดการเรื่องนี้เอง