ก่อนหน้านี้ อิโตะ นานาโกะ ดื้อรั้นยืนยันที่จะแข่งขันกับฉินเอ้าเสวี่ยน
และฉินเอ้าเสวี่ยนเอง เพราะว่าตัวเองมียาอายุวัฒนะ ดังนั้นถึงมีความแข็งแกร่งที่เพิ่มมากขึ้นอย่างก้าวกระโดดได้
ในท้ายที่สุด ฉินเอ้าเสวี่ยนก็ได้ทำให้ อิโตะ นานาโกะ ได้รับบาดเจ็บอย่างรุนแรงอยู่บนเวที และนี่ก็คือหนามเส้นหนึ่งที่อยู่ในหัวใจของเย่เฉิน
อีกด้านหนึ่งเขาก็รู้สึกเสียใจต่อ อิโตะ นานาโกะ และในอีกด้านหนึ่งเขาก็ชื่นชมบุคลิกของเธอที่ไม่เคยยอมแพ้ และมีความกล้าหาญและความดื้อรั้น
นอกจากนี้ เขาก็ยังรู้สึกละอายใจต่อ อิโตะ นานาโกะ ในระดับหนึ่ง
เพราะว่า มันเป็นมือของตัวเองที่ผลักดันฉินเอ้าเสวี่ยนจากระดับที่ต่ำกว่า อิโตะ นานาโกะ ไปยังตำแหน่งที่เหนือกว่า อิโตะ นานาโกะ อย่างมาก
ในตอนนี้ ตัวเองก็ได้รักษาตัวเธอจนหายดีแล้ว ดังนั้นความรู้สึกที่เป็นทุกข์ใจจึงค่อยๆ ลดจางลงแล้ว
ตัวเองได้ช่วยชีวิตของเธอแล้ว และทำให้ความสามารถของเธอทะยานขึ้นอย่างก้าวกระโดด ดังนั้นความรู้สึกผิดนั้นก็จางลงอย่างมากแล้วด้วย
เมื่อถึงจุดนี้ ความทุกข์ใจและความรู้สึกผิดก็ถูกชะล้างออกไป และสิ่งที่เหลืออยู่ ก็มีเพียงความรู้สึกชื่นชมที่มีต่อ อิโตะ นานาโกะ มากกว่า
ดังนั้น เย่เฉินจึงยิ้มให้เธออย่างรู้เท่าทัน เผยให้เห็นฟันขาวที่เรียงเป็นแถว “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ งั้นผมก็จากไปก่อนแล้วนะครับ!”
“โอเค!” อิโตะ นานาโกะ ก็พยักหน้าอย่างหนัก ด้วยความรู้สึกเศร้ามากในใจ แต่ก็ยังคงยิ้มหวานอยู่บนใบหน้าและพูดว่า “เย่เฉินซัง ฉันขอให้พลังจงสถิตอยู่กับท่าน และสุขภาพแข็งแรง!”
คำว่าขอให้พลังจงสถิตอยู่กับท่านนั้น เป็นคำคุณศัพท์ที่เกิดจากประเทศจีน และถูกพัฒนานิยมอยู่ในญี่ปุ่น
ญี่ปุ่นในสมัยโบราณเคารพศิลปะการต่อสู้ และตัวแทนสูงสุดของศิลปะการต่อสู้ ก็คือบูชิโดที่พวกเขาชื่นชมอย่างมาก
ดังนั้น ตามประเพณีของญี่ปุ่น การอวยพรคำว่าขอพลังจงสถิตอยู่กับท่านกับผู้อื่นนั้นจึงมีหลายความหมายมากมาย ไม่เพียงแต่เป็นการอวยพรให้ผู้อื่นโชคดีมีชัยเท่านั้น แต่ยังเป็นการอวยพรให้ผู้อื่นอยู่ยงคงกระพัน ประสบกับความสำเร็จในทุกๆ ด้าน และฝ่าฟันอุปสรรคทุกสิ่งไปได้อย่างราบรื่นอีกด้วย
สามารถพูดได้ว่า เป็นการอวยพรอันสูงสุด
เย่เฉินคาดไม่ถึงว่า อิโตะ นานาโกะ จะกล่าวภาวนาขอให้มีพลังจงสถิตอยู่กับตัวเอง และสะดุ้งเล็กน้อย แล้วทำท่าคำนับจีนให้เธอด้วยสีหน้าที่จริงจังทันที แล้วพูดอย่างเสียงดังว่า “ขอบคุณครับคุณนานาโกะ หวังว่าพวกเราจะได้เจอกันใหม่ในภายหลังครับ!”
หลังจากพูดจบ ก็มองดูนานาโกะอย่างลึกซึ้งอีกครั้ง หันหลังกลับและเดินเข้าไปในจุดด่านตรวทันที
ในขณะที่เย่เฉินหันหลังไป น้ำตาของ อิโตะ นานาโกะ ก็ระเบิดออกมา
เธอมองไปที่แผ่นหลังของเย่เฉิน น้ำตาไหลพรากลงมาดั่งฝนตก!
เธออยากจะร้องเรียกว่าเย่เฉินซังอีกครั้ง และให้เขาหันหลังกลับมา เพื่อที่จะให้ตัวเองมองดูเขาอย่างละเอียดอีกครั้ง
อย่างไรก็ตาม เธอก็กลัวว่าตอนที่ตัวเองเรียกให้เขาหยุด เมื่อเขาเห็นใบหน้าตัวเองที่เต็มไปด้วยน้ำตา และเขาก็จะคิดมาก จะเข้าใจผิด และจะคิดว่าตัวเองจงใจอยากจะทำให้เขาเห็นรูปลักษณ์ที่ตัวเองปล่อยวางการแสร้งทำเป็นทั้งหมด
ดังนั้น เธอจึงอดกลั้นกับความหุนหันพันแลนที่อยากจะร้องเรียกเขาสักครั้ง เพียงแค่อยากยืนอยู่ตรงนี้ มองดูเขาหายเข้าไปในประตูนั้น แล้วถึงหันหลังเดินจากไป
ในขณะนี้เอง เย่เฉินก็ไม่สามารถอดใจได้ทันใด และหันกลับมามองเธอโดยจิตสำนึก
เพียงแค่สายตาเดียว ก็ทำให้ทั้งคนของเย่เฉินราวกับโดนฟ้าผ่า และยืนมึนงงอยู่กับที่ไปครู่หนึ่ง
เดิมทีเขาอยากจะหันศีรษะกลับมา และกวักมือให้เธออย่างสุภาพ
แต่ก็คาดไม่ถึงเลยว่า แค่ช่วงเวลาอันสั้นๆ เมื่อกี้นี้นานาโกะที่ยังคงยิ้มแย้มอยู่ ในเวลานี้ก็ร้องไห้จนน้ำตาหลั่งไหลไปหมดแล้ว
ในเวลานี้ เย่เฉินรู้สึกว่าส่วนที่อ่อนแอที่สุดในหัวใจของเขา ราวกับเหมือนโดนช็อกไปทีหนึ่ง โดยทั่วไปแล้วความรู้สึกแบบนี้ เพียงแค่ต้องการสองคำเท่านั้น นั่นก็คือ ทุกข์ใจ!
อิโตะ นานาโกะ ก็ไม่คาดคิดเหมือนกันว่า เย่เฉินจะหันกลับมามองตัวเองอีกครั้ง
ในเวลานี้ ในฐานะที่เป็นลูกสาวคนโตของตระกูลอิโตะ และในฐานะที่เป็นยามาโตะนาเดชิโกะที่ได้รับการศึกษาแบบญี่ปุ่นดั้งเดิมมาตั้งแต่เด็ก ในที่สุดก็ได้สูญเสียความสามารถในการควบคุมตัวเองไปจนหมดแล้ว
ในเวลานี้ เธอสูญเสียสติไปทั้งหมด และวิ่งเข้าไปหาเย่เฉินขณะที่ร้องไห้ พุ่งตรงเข้าไปในอ้อมกอดของเขาและกอดเขาไว้แน่นๆ
ก่อนที่เย่เฉินจะกลับมารู้สึกตัว เธอก็ได้ค่อยๆ ย่องเขย่งเท้าขึ้นมา และมอบจูบแรกของเธออย่างริเริ่ม ริมฝีปากบางๆ ที่เค็มและเย็นชาเล็กน้อยเพราะน้ำตาของเธอ จูบกับริมฝีปากของเย่เฉินอย่างไม่ลังเลเลยแม้แต่น้อย……..