แดนกษิติครรภ์ หนึ่งในสามยักษ์ใหญ่แห่งโลกมืด ความยิ่งใหญ่ของอานุภาพถึงขั้นสามารถชักนำความหวาดกลัวจากทั่วหล้าฟ้าดารา
บรรพจารย์ผู้บุกเบิกของขุมอำนาจที่น่ากลัวเช่นนี้ กลับเป็นสัตว์เทพที่ ‘เก้าไม่เหมือน’ ตัวหนึ่ง นี่ย่อมดูเหลือเชื่อ
หลินสวินจ้องซุ้มธรรมขนาดใหญ่นั่นอยู่ครู่ใหญ่ ถึงค่อยเคลื่อนสายตาพินิจรอบๆ
ความมืดมนราวกับผ้าคลุมบางๆ ชั้นหนึ่งปกคลุมอยู่ในอารามแห่งนี้ บนมรรคสถานที่กว้างใหญ่นั้นมีเงาร่างมากมายคุกเข่ากับพื้น
ผู้แข็งแกร่งทุกคนไม่ว่าพลังปราณสูงหรือต่ำ สีหน้าล้วนศรัทธา ใช้หัวโขกพื้น ตรงหน้าของทุกคนล้วนมีกระถางธูปรูปบัวดำอันหนึ่ง ในกระถางจุดธูปดอกหนึ่ง
ธูปที่ถูกจุดกระจายกลิ่นหอมสดชื่น
บรรยากาศดูเคร่งขรึมอย่างที่สุด
ครั้นสังเกตเห็นควันธูปเป็นกลุ่มๆ ราวกับหมอก กลับทำให้หลินสวินนัยน์ตาหดรัดลง
วู้ม!
ร่างพลังจิตที่นั่งขัดสมาธิอยู่ในห้วงความคิดของหลินสวินลืมตาขึ้นอย่างไร้สุ้มเสียง สองมือทำมุทราซับซ้อนระลอกหนึ่ง
ในเวลาเดียวกันในดวงตาหลินสวินปรากฏแสงประกายที่มหัศจรรย์มากมาย
นี่คือ ‘คันฉ่องประตูอัศจรรย์’ คัมภีร์มรรคที่ศิษย์พี่แปดของคีรีดวงกมลปู่ซ่วนจื่อถ่ายทอดมาให้ ภายในนทึกวิชาลับหนึ่ง นามว่า ‘เปิดตาทิพย์’
เมื่อโคจรวิชาลับนี้ เบื้องบนสามารถเข้าใจการเปลี่ยนแปลงแห่งวัฏจักร เบื้องล่างสามารถมองทะลุร่างจริงของทุกสิ่งทั่วหล้า มหัศจรรย์อย่างที่สุด
ปู่ซ่วนจื่อคนนี้ถูกเรียกว่าเป็นเทพเศรษฐีที่มั่งมีที่สุดในคีรีดวงกมล สมบัติที่มีเรียกได้ว่ารวมของล้ำค่าหายากจากทั่วทุกมุมโลก
ยามเขาค้นหาสมบัติ เปิดตาทิพย์ก็จะมีบทบาทสำคัญอย่างยิ่ง!
พอเปิด ‘ตาทิพย์’ ทันใดนั้นภาพในสายตาของหลินสวินพลันเปลี่ยนไป
ก็เห็นว่าใต้พื้นมรรคสถานยักษ์นั่นปรากฏกระบวนค่ายกลลายมรรคที่สลับทับซ้อนราวกับใยแมงมุม เกิดเป็นคลื่นคลุมเครือแปลกประหลาด
กระถางธูปที่อยู่ตรงหน้าผู้แข็งแกร่งที่คุกเข่าอยู่บนพื้น กระจายอยู่ตรงกลางกระบวนค่ายกลลายมรรคนี้พอดี
เมื่อกระบวนค่ายกลลายมรรคโคจร ธูปที่จุดอยู่ในกระถางธูปก็ปลดปล่อยพลังที่ไม่อาจถูกสังเกตเห็นได้อย่างเงียบๆ
และตอนที่ผู้แข็งแกร่งเหล่านั้นกราบไหว้อย่างศรัทธา ก็ไม่ได้สังเกตเห็นว่าแรงปรารถนามหามรรคของพวกเขากำลังถูกดูดออกมาทีละเสี้ยว แล้วแทรกเข้าในกระถางธูปที่อยู่ตรงหน้า!
ตอนที่เห็นภาพนี้ในใจหลินสวินอดตกใจไม่ได้
มรรคสถานขนาดใหญ่นี้ราวกับสถานที่บูชายัญ ชักนำผ่านกระบวนค่ายกลใหญ่ลายมรรคใต้ดิน โดยใช้กระถางธูปเป็นตัวกลางประหนึ่งหนวดนับไม่ถ้วน มองผู้ฝึกปราณที่กราบไหว้อย่างศรัทธาเหล่านั้นเป็น ‘เครื่องเซ่น’ เพื่อดูดแรงปรารถนามหามรรค!
ทุกชีวิตมีแรงปรารถนาแห่งสรรพชีวิต และตอนที่ผู้ฝึกปราณทุกคนบรรลุอริยะ ก็ล้วนเคยสร้างปณิธานอริยมรรค สามารถมองเป็นแรงปรารถนามหามรรคได้
นี่เป็นพลังที่มหัศจรรย์ไร้ขอบเขตอย่างหนึ่ง
อริยะบางคนถึงขั้นใช้แรงปรารถนามหามรรคอุทิศเป็น ‘อริยบุคคล’
อย่างเช่นยามหลินสวินอยู่ที่แท่นสักการะในแหล่งสถานคุนหลุน ก็ใช้แรงปรารถนามหามรรคแห่งตนอุทิศเป็นอริยบุคคล จนได้รับมรดกชั้นเลิศที่เจ้าแห่งคีรีดวงกมลทิ้งเอาไว้
แรงปรารถนามหามรรคที่มหัศจรรย์เช่นนี้ ตอนที่ฝึกปราณไม่มีใครสังเกตเห็นได้ แต่มหามรรคที่ผู้ฝึกปราณทุกคนสำแดงออกมา กลับได้รับผลกระทบจากแรงปรารถนามหามรรคแทบจะทั้งหมด
อย่างตอนที่หลินสวินบรรลุมกุฎอริยะ ปณิธานอริยมรรคที่สร้างเอาไว้คือ
ยามข้าบรรลุอริยะ
ใจข้าคือใจฟ้า มรรคข้าคือมหามรรค!
ยามมรรคข้าแจ้งประจักษ์
นิจนิรันดร์คือมงกุฎ สวมเหนือเศียรข้า
อมตะคือภูษา ปกคลุมกายข้า
ศุภโชคคือบาทุกา สวมรองบาทข้า!
หลังจากเขาบรรลุอริยะ เส้นทางมหามรรคที่เสาะแสวงก็แยกจากปณิธานอริยมรรคที่สร้างขึ้นตอนนั้นไม่ได้
แต่ตอนนี้ขุมอำนาจของแดนกษิติครรภ์ กลับกำลังดูดและรวบรวมแรงปรารถนามหามรรคของผู้แข็งแกร่งเหล่านั้นด้วยวิธีลับสุดยอด การกระทำเช่นนี้เรียกได้ว่าเป็นมารนอกรีต ทำให้คนกลัวจนตัวสั่น!
‘รวบรวมแรงปรารถนามหามรรคมากมายขนาดนี้… แดนกษิติครรภ์คิดจะทำอะไรกันแน่’
ในใจหลินสวินเองก็พลิกม้วนไม่หยุด
ในสามสิบสามแคว้นของโลกมืด มีแคว้นหนึ่งในสามถูกแดนกษิติครรภ์ควบคุม
ในทุกแคว้นมีเมืองไม่รู้เท่าไหร่กระจายอยู่!
หากทุกเมืองในนั้นมีอารามกษิติครรภ์หลังหนึ่ง ดูดแรงปรารถนามหามรรคของผู้กราบไหว้ด้วยความศรัทธาเหล่านั้นทุกคืนวัน…
พลังระดับนั้นจะน่ากลัวเพียงใด
‘ตามคาด ใต้หล้านี้ไม่มีเรื่องที่ง่ายดายขนาดนั้น คนที่อยากจะขอความคุ้มครองจากแดนกษิติครรภ์ ดูภายนอกเหมือนไม่ได้จ่ายผลึกมรรคอะไร แต่สิ่งที่เสียไปกลับเป็นแรงปรารถนามหามรรคแห่งตน…’
หลินสวินถอนหายใจ
วันนี้ค้นพบความจริงนี้โดยไม่ได้ตั้งใจ ทำให้เขายิ่งรังเกียจและต่อต้านแดนกษิติครรภ์ พวกลาหัวโล้นเหล่านี้มองคู่ต่อสู้เป็นคนนอกรีต แต่พวกเขา… บางทีอาจจะเป็นพวกนอกรีตที่สุดในการบำเพ็ญธรรม!
หืม?
ตอนที่หลินสวินตัดสินใจจะจากไป จู่ๆ ก็สังเกตเห็นว่าอีกฝั่งของมรรคสถานที่กว้างขวางอย่างที่สุดนั่น มีเงาร่างที่คุ้นเคยกลุ่มหนึ่งยืนอยู่
นั่นเป็นพวกเฒ่าชราผมขาว เฟ่ยหล่าง หลันหลิง
ข้างๆ พวกเขามีภิกษุชุดดำสองคนอยู่ด้วย คนหนึ่งเป็นภิกษุวัยกลางคนที่ผอมซูบดำคล้ำ พลังปราณระดับกึ่งจักรพรรดิสามชั้นฟ้า
อีกคนเป็นภิกษุเฒ่าที่เต็มไปด้วยริ้วรอย เป็นผู้ฝึกปราณระดับจักรพรรดิขั้นหนึ่งเหมือนเฒ่าชราผมขาว
พวกเขากำลังใช้จิตรับรู้คุยกัน ไม่ได้ยินว่ากำลังถกเรื่องอะไรกัน
หลินสวินขมวดคิ้ว ซ่อนตัวอยู่ในฝูงชนอย่างไร้ร่องรอย เขาอยากดูสักหน่อยว่าพวกเฒ่าชราผมขาวมาเพื่ออะไร
ไม่นานธูปในกระถางธูปทุกใบล้วนจุดจนหมด ภิกษุชุดดำกลุ่มหนึ่งเดินออกจากฝูงชนเก็บกระถางธูปเหล่านั้นไป ในขณะเดียวกันก็วางกระถางธูปใบใหม่บนมรรคสถาน
เหล่าผู้แข็งแกร่งที่คุกเข่าอยู่ในมรรคสถานถึงได้ลุกขึ้นในยามนี้ หลังจากคารวะซุ้มธรรมขนาดใหญ่อย่างเคารพนอบน้อมก็หมุนตัวจากไป
เห็นได้ชัดว่าทุกเจ็ดวันพวกเขาจะต้องมากราบไหว้บูชาเป็นเวลาหนึ่งก้านธูป!
หลินสวินสังเกตเห็นว่ากระถางธูปที่ถูกเก็บไปเหล่านั้น ล้วนถูกรวมไว้บนแท่นบัวสีดำขนาดใหญ่แท่นหนึ่ง
แท่นบัวสีดำเปล่งแสง กระถางธูปเหล่านั้นก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย
และตอนนี้เอง ภิกษุเฒ่าที่กำลังพูดคุยกับกลุ่มเฒ่าชราผมขาวเดินเข้ามา ยกมือขึ้นโบกคราหนึ่ง แท่นบัวสีดำนั่นกลายเป็นขนาดประมาณกำปั้น ถูกเขาถือไว้ในมือ
จากนั้นภิกษุเฒ่าหมุนตัวเดินกลับไป ยื่นของสิ่งนี้ให้กับเฒ่าชราผมขาวพร้อมรอยยิ้ม
ตอนที่หลินสวินตัดสินใจจะรอดูต่อไป ข้างหูพลันมีเสียงราบเรียบเคร่งขรึมดังขึ้น
“ตอนนี้ตาพวกเจ้าแล้ว จำไว้ ตอนที่กราบไหว้จะต้องเปิดจิต สำนึกคุณด้วยความจริงใจ หากกล้าคิดไม่ซื่อจะถูกจับกุมทันที”
ก็เห็นภิกษุชุดดำคนหนึ่งยืนอยู่ไม่ไกลนัก มองไปยังตำแหน่งที่หลินสวินยืนอยู่ พูดด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
ทันใดนั้นผู้แข็งแกร่งที่เดิมทีรออยู่ในพื้นที่แห่งนี้เหมือนหลินสวินล้วนทยอยเกินไปยังมรรคสถานใหญ่ยักษ์นั่น แต่ละคนคุกเข่าอยู่ตรงหน้ากระถางธูปอย่างว่าง่ายเป็นที่สุด สีหน้าศรัทธา
เห็นได้ชัดว่าการเซ่นไว้ก็ต้องดำเนินการทีละรอบ
ไม่นานก็เหลือเพียงหลินสวินยืนอยู่ตรงนั้นเพียงลำพัง
ภิกษุชุดดำพูดเสียงขรึม “เหตุใดเจ้าไม่ไป หรือไม่รู้ว่าหากต้องการได้รับการคุ้มครองจากแดนกษิติครรภ์ จะต้องคุกเข่ากราบไหว้ที่นี่ด้วยความศรัทธา”
“คนรุ่นข้าฝึกปราณ ไม่คุกเข่าต่อฟ้าดิน ไม่กลัวมารปีศาจ ไม่กลัวพระเทพ หัวขาดไปก็แค่ตาย แต่หากเข่าหักชาตินี้ทั้งชาติก็จะยืนไม่ได้อีก”
หลินสวินถอนหายใจเบาๆ ในใจทอดถอนใจอยู่บ้าง ทุกสิ่งที่เห็นวันนี้ทำให้เขาได้เปิดโลก ในใจมีความรู้สึกชิงชังที่ขจัดไม่ออก
ว่าแล้วเขาก็หมุนตัวจากไป
ภิกษุชุดดำคนนั้นสีหน้าอึมครึมลง เอ่ยว่า “เข้าอารามกษิติครรภ์แล้วยังอยากจะจากไปเช่นนี้ เห็นแดนกษิติครรภ์ของข้าเป็นอะไร ขืนยังไม่คุกเข่าอีกอย่าหาว่าข้าไม่เกรงใจ!”
เสียงเย็นชาดุดันดึงดูดสายตาไม่น้อย
ภิกษุชุดดำมากมายเดินมาจากทิศทางต่างๆ กัน ล้วนจ้องหลินสวินด้วยสีหน้าเย็นชา ราวกับเพียงแค่เขากล้าต่อต้านก็จะฆ่าเขาให้ตายในฐานะคนนอกรีต
“เอ๋ นี่มันเจ้าคนที่ไม่เห็นใครในสายตาไม่ใช่หรือ”
ความเคลื่อนไหวทางนี้ก็ดึงดูดความสนใจของกลุ่มเฒ่าชราผมขาวเช่นกัน เฟ่ยหล่างพูดด้วยสีหน้าประหลาดใจ “เขามาได้อย่างไร”
หลันหลิงที่อยู่ข้างๆ เผยสีหน้าเย้ยหยัน เอ่ยว่า “คราวนี้เหมือนจะมีเรื่องสนุกให้ดูแล้ว”
“ทุกท่านรู้จักคนผู้นี้หรือ” ภิกษุเฒ่าระดับจักรพรรดิคนนั้นถาม
“ไม่รู้จัก เพียงแต่เมื่อสิบกว่าวันก่อนมีวาสนาได้เจออยู่ครั้งหนึ่ง” เฒ่าชราผมขาวสีหน้าเรียบเฉย
ภิกษุเฒ่าระดับจักรพรรดิขานรับว่าอ้อ แล้วหันไปยิ้มพูดกับหลันหลิง “แม่นางอยากเห็นความครื้นเครงไม่ง่ายหรอกนะ”
ว่าแล้วเขาพลันโบกมือ ออกคำสั่งกับภิกษุชุดดำที่อยู่ไกลออกไป “มู่เฮ่อ รีบจัดการเจ้าหมอนี่ซะ อย่ารบกวนความสงบของที่แห่งนี้”
ภิกษุชุดดำที่ถูกเรียกว่ามู่เฮ่อก็คือคนที่ส่งเสียงข่มขู่หลินสวิน ได้ยินเช่นนี้สายตาของเขาพลันวาบประกาย ออกคำสั่งตามมา
“คนผู้นี้คือคนนอกรีต จงใจมาก่อเรื่อง จับเขาไว้ ทำลายร่างเนื้อหลอมจิตวิญญาณของเขาเป็นน้ำมันตะเกียง เช่นนี้จึงจะสามารถไถ่โทษได้!”
“ขอรับ!”
กลุ่มภิกษุชุดดำรับคำสั่งออกไป
ชั่วขณะเดียวบรรยากาศตึงเครียดอย่างที่สุด
เดิมทีหลินสวินตัดสินใจจะจากไป แม้ในใจจะรังเกียจอย่างมาก แต่ก็รู้ดีว่าการทำลายอารามกษิติครรภ์แห่งนี้ไปก็ไม่มีประโยชน์ ไม่สามารถส่งผลใดๆ ต่อแดนกษิติครรภ์ได้
แต่เขากลับคิดไม่ถึงว่าเพียงพริบตาเท่านั้น ตนกลับกลายเป็นคนนอกรีตอีกแล้ว!
และฟังจากน้ำเสียงของอีกฝ่าย เห็นได้ชัดว่าหลังจากฆ่าตนแล้ว ยังคิดจะหลอมจิตวิญญาณของตนเป็นน้ำมันตะเกียง…
หลินสวินอดถอนหายใจเบาๆ อีกคราไม่ได้ “เป็นพวกเจ้ารนหาที่ตายเอง อย่าหาว่าข้าไร้ปรานี…”
“ฆ่า!”
ภิกษุชุดดำกลุ่มหนึ่งพุ่งมา แต่ละคนสีหน้าเฉยชาราวกับไม่มีคลื่นอารมณ์ใดๆ ร่างกายแผ่แสงธรรมมืดมน แข็งกร้าวอย่างที่สุด
ตูม!
ทว่าการโจมตีของพวกเขายังไม่ทันมาถึงตรงหน้าหลินสวิน ก็ถูกสลายไปโดยพร้อมเพรียง กลายเป็นละอองแสงล่องลอย สมบัติบางส่วนยิ่งแตกเป็นเสี่ยงๆ เกิดเสียงระเบิดบาดหู
ภิกษุชุดดำเหล่านั้นนัยน์ตาหดรัด แต่ไม่ได้หวาดกลัว และยังพุ่งมาต่อ
นี่ก็คือผู้สืบทอดกษิติครรภ์ ไม่กลัวความตาย หากไม่บรรลุเป้าหมายไม่มีทางหยุด นี่ก็คือสิ่งที่ทำให้ผู้ฝึกปราณทั่วหล้าหวาดกลัวที่สุด
น่าเสียดายที่ครั้งนี้พวกเขาเจอหลินสวิน
“ในเมื่อพวกเจ้าชอบให้คนอื่นคุกเข่าขนาดนี้ เช่นนั้นก็คุกเข่าลงเถอะ”
หลินสวินสีหน้าราบเรียบ ยืนนิ่งอยู่ที่เดิมโดยไม่ขยับสักนิด
แต่เมื่อเสียงของเขาดังมา กลับประหนึ่งอสนีมหามรรค ดังระเบิดอยู่ในสภาวะจิตของภิกษุชุดดำทั้งกลุ่ม เกิดอานุภาพที่น่ากลัวไร้ขอบเขต
ทันใดนั้นพวกเขาราวกับถูกฟ้าผ่า กระตุกไปทั้งตัว เสียงตึงๆ ดังอยู่ระลอกหนึ่ง ล้วนคุกเข่าลงพื้นทั้งหมด เลือดออกเจ็ดทวาร ส่งเสียงอู้อี้
——