นรกอำพรางชั้นสาม
กลางฟ้าดินสีเลือดอันมืดครึ้มขมุกขมัว หลินสวินเหินร่างเคลื่อนย้าย ไม่อำพรางกลิ่นอายรอบตัวสักนิด ทั่วร่างดุจรุ้งเทพที่พร่างพราวสายหนึ่ง
เมื่อเทียบกับชั้นสองแล้ว แรงกดดันที่ปกคลุมกลางฟ้าดินของชั้นสามนี้ยิ่งเผด็จการขึ้นไปอีกช่วงหนึ่ง กลิ่นอายเหี้ยมเกรียมและคาวเลือดประหนึ่งพายุกรรโชก
ลำพังแค่สภาพแวดล้อมเลวร้ายอันตรายเช่นนี้ ก็สามารถทำให้มกุฎกึ่งจักรพรรดิสองชั้นฟ้ายากจะก้าวเดินแม่แต่ชุ่นเดียวแล้ว!
ตูม!
ไม่นานนักวิญญาณร้ายกลุ่มหนึ่งก็พุ่งออกมา เลือดลมปานของกระแสธาร ปั่นป่วนไปทั่วฟ้าดิน พุ่งสังหารเข้าใส่หลินสวิน
วิญญาณร้ายแต่ละตัวต่างก็มีพลังระดับมกุฎกึ่งจักรพรรดิสองชั้นฟ้าขึ้นไป อานุภาพโหดเหี้ยมดุดัน หากเปลี่ยนเป็นคนอย่างป๋อชวนมาที่นี่แทน ย่อมเป็นอันตรายมากกว่าโชคดี
ทว่าสำหรับหลินสวินแล้วก็ยังไม่คณามือ
เงาร่างของเขาไม่เคยหยุดชะงัก ทะยานไปเบื้องหน้า ทุกที่ที่เคลื่อนผ่าน วิญญาณร้ายทุกตัวที่กีดกวางอยู่ล้วนแตกระเบิด ร่างแหลกกระจุย
ภาพเช่นนั้นทำเอาเมิ่งซิงจื่อที่ถูกหลินสวินหิ้วไว้ในมือราวกับลูกไก่ปากอ้าตาข้างไประลอกหนึ่ง
แม้ตอนนี้เขาจะมีพลังต่อสู้ระดับมกุฎกึ่งจักรพรรดิสามชั้นฟ้า ทว่าในชั้นที่สามนี้ก็ไม่กล้าบุ่มบ่ามพุ่งเข้าไปตรงๆ หากถึงขั้นถูกวิญญาณร้ายพวกนั้นพัวพัน ยังต้องเปลืองแรงพอควรกว่าจะฆ่าอีกฝ่ายให้ตายได้
แต่เมื่อเทียบกับหลินสวินแล้วก็ต่างกันราวฟ้ากับเหวอย่างสิ้นเชิง!
เพียงแค่หนึ่งเค่อ หลินสวินก็มาถึงเบื้องหน้าวังน้ำวนที่เชื่อมสู่ชั้นที่สี่แล้ว
“พี่หลิน หลังจากเข้าไปชั้นที่สี่นั่น ยันต์หยกคงชีพที่พกติดตัวมาจะเสื่อมฤทธิ์ ทันทีที่ประสบเรื่องไม่คาดคิดก็ออกมาไม่ได้อีกแล้วนะ” เมิ่งซิงจื่ออดเอ่ยปากพูดออกมาไม่ได้
หลินสวินกล่าว “เจ้าดูเหมือนจะไม่อยากให้ข้าไปช่วยเท่าไหร่”
เมิ่งซิงจือรีบส่ายหัวเป็นพัลวัน “ข้าเพียงแค่กังวลใจ พี่หลินเพิ่งมาใหม่ ไม่รู้สถานการณ์อย่างชัดเจน ถ้าเกิดอันตรายอะไรขึ้นมาจะกลายเป็นผลเสียต่อตัวพี่หลินเอง”
หลินสวินเหลือบมองปราดหนึ่งแล้วไม่ได้แยแสอีก พุ่งตรงเข้าไปในวังน้ำวนนั่น
ฟ้าดินมืดมัว ท้องฟ้าที่ปิดครอบผืนดินของชั้นสี่นี้ต่างกับสามชั้นก่อนหน้า ปกคลุมด้วยสายฟ้าสีโลหิตน่าสะพรึง หมุนคว้างประหนึ่งเมฆพายุ สายฟ้าที่พุ่งลงมาจากฟากฟ้าฉายแสงจ้าบาดตาเป็นระยะ แผ่กลิ่นอายน่าสะพรึงประหนึ่งทำลายโลก
ทันทีที่มาถึงหลินสวินก็สังเกตเห็นว่า สายฟ้าแปลบปลาบบนท้องฟ้านั่น ถึงกับวิวัฒน์มาจากไอชั่วร้ายที่โหดเหี้ยมอำมหิตหาใดเปรียบ!
นี่ก็น่าตกตะลึงเกินไปแล้ว!
เมื่อทอดสายตามองไปรอบๆ ผืนดินเวิ้งว้าง ห้วงอากาศขมุกขมัว กลิ่นอายดุร้ายป่าเถื่อนบีบคั้นจิตใจ เพียงแค่ยืนอยู่ในนั้น ก็เสมือนอยู่ในนรกที่คาวโลหิตและโหดร้ายทารุณ
ไกลออกไปธารโลหิตแดงฉานสายหนึ่งไหลริน ส่งเสียงครืนครัน น้ำในแม่น้ำสีแดงขุ่น ในเกลียวคลื่นที่โหมซัดสะท้อนภาพความตายอันแปลกประหลาดที่พิสดารมากมาย
กลางฟ้าดินยังมีเสียงผีครวญเทพสะอื้นดังมาแว่วๆ ทำเอาคนกลัวจนตัวสั่น
ฮูม…
หลังจากมาถึงที่แห่งนี้ หลินสวินก็ไม่อาจไม่โคจรปราณ ถึงสลายไอชั่วร้ายที่บีบอัดมาจากสี่ทิศแปดทางลงไปได้
เขาถามขึ้น “เจ้าแห่งวิญญาณร้ายที่เจ้าว่าอยู่ที่ไหน”
“พี่หลิน ที่นี่อันตรายเกินไปจริงๆ เจ้ารู้หรือไม่ว่าช่วงหมื่นปีที่ผ่านมานี้ ผู้แข็งแกร่งที่มุ่งหน้ามาที่นี่มีมากกว่าครึ่งที่ประสบเคราะห์!”
สีหน้าเมิ่งซิงจื่อเต็มไปด้วยความตึงเครียด “แค่วิญญาณร้ายธรรมดาทั่วไปก็อันตรายจนสามารถทำให้ระดับมกุฎกึ่งจักรพรรดิสามชั้นฟ้าสิ้นชีพได้แล้ว ส่วนเจ้าแห่งวิญญาณร้ายนั่น… แทบจะเกือบเทียบได้กับระดับจักรพรรดิแท้แล้ว!”
ขณะพูดเขาก็ส่งเสียงขอร้องออกมา “พี่หลิน พวกเรารีบออกห่างจากที่นี่กันเถอะ หาไม่หากถูกเจ้าแห่งวิญญาณร้ายพบเข้าย่อมไม่มีโอกาสรอดชีวิตเด็ดขาด”
หลินสวินกล่าวด้วยสีหน้าไร้ความรู้สึก “เจ้าไม่ได้พูดว่าจะช่วยพวกพ้องของเจ้าเหล่านั้นรึ เหตุใดตอนนี้จู่ๆ มากลับคำ หรือจะบอกว่าเจ้ายังมีเรื่องอะไรปิดบังข้าอีก”
สีหน้าเมิ่งซิงจื่อเปลี่ยนไปมา ส่ายหัวเป็นพัลวัน “ข้ามีหรือจะกล้า… ข้าเพียงแค่…”
ปัง!
ทันใดนั้นเวิ้งฟ้าไกลออกไปมีอสนีบาตสีเลือดฟาดลงมาสายหนึ่ง จากนั้นก็แปลงเป็นเงาร่างที่อาบไล้ด้วยประกายสายฟ้าสีโลหิตที่เจิดจ้าบาดตา
นั่นเป็นวิญญาณร้ายตัวหนึ่ง กลิ่นอายเหี้ยมเกรียมไร้ที่สิ้นสุด!
“ตาย…!” วิญญาณร้ายแผดเสียงแหลมสูงออกมา ร่างของเขาพลันแปรเปลี่ยนเป็นกระแสน้ำเชี่ยวสีเลือดสายหนึ่ง โฉบทะลวงห้วงอากาศทะยานเข้ามา
ตูม!
เขายกมือขึ้นโบกคราหนึ่ง กระแสน้ำสีเลือดไร้สิ้นสุดก็โถมเข้ามา กลิ่นคาวโลหิตเข้มข้นเหนียวหนืด แผ่กลิ่นอายอันชั่วร้ายและเน่าเหม็น ชวนให้คนรู้สึกคลื่นเหียนแทบจะอาเจียน
แค่การโจมตีนี้ก็ไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าระดับมกุฎกึ่งจักรพรรดิสามชั้นฟ้าแล้ว!
ฮูม…
หลินสวินยืนนิ่งไม่ไหวติง ทว่าทั่วร่างกลับมีปราณกระบี่พร่างพราวแถบหนึ่งพุ่งออกมา แปลงเป็นกระบวนค่ายกลกระบี่แน่นขนัด พุ่งกำราบทันที
เสียงปะทะสะเทือนฟ้าดินดังสนั่น กระบวนค่ายกลกระบี่โคจร ปราณกระบี่ไร้ทัดเทียมพุ่งกระหน่ำ บดขยี้กระแสธารสีเลือดที่โหมซัดนั่นจนเกลี้ยง
ยังไม่ทันที่วิญญาณร้ายตนนั้นจะได้เข้ามาใกล้ ร่างก็ถูกสับเละ ร่วงโปรยปรายเกลื่อนพื้น
แกร๊ง!
ผลึกต้นกำเนิดมหามรรคขนาดเท่าไข่ห่านก้อนหนึ่งร่วงลงมา ส่องประกายกระจ่าง แวววาวไร้มลทิน ถูกหลินสวินคว้าผ่านอากาศมาไว้ในมือ มองสังเกตครู่หนึ่งก็อดเผยสีหน้าประหลาดออกมาไม่ได้
คุณลักษณะของผลึกต้นกำเนิดมหามรรคก้อนนี้ไม่ธรรมดาเป็นที่สุด แก่นมหามรรคที่ซ่อนอยู่ภายในประหนึ่งเมฆหมอกในแสงสายัณห์ หลากสีสันวิจิตรตระการตา ไม่ใช่สิ่งที่ผลึกต้นกำเนิดมหามรรคที่เขารวบรวมมาได้ก่อนหน้านี้จะเทียบชั้นได้!
และยามนี้เมิ่งซิงจื่อก็อึ้งค้างแล้ว ก่อนหน้านี้เขาเคยมาเคี่ยวกรำในชั้นสี่ หากคิดอยากจัดการวิญญาณร้ายที่มีอานุภาพอย่างเมื่อครู่นี้ เขาต้องทุ่มสุดกำลังจึงจะสามารถรับมือไหว
แต่ภายใต้เงื้อมมือหลินสวิน กลับยังคงไม่คณามือเช่นเคย นี่เกือบล้มล้างความรู้ความเข้าใจของเขาไปแล้ว!
ควรรู้ว่าเขาเองก็มีปราณระดับมกุฎกึ่งจักรพรรดิสามชั้นฟ้าเช่นกัน แต่เมื่อเทียบกับหลินสวินกลับไม่น่าดูเลยสักนิด!
และเป็นยามนี้ที่หลินสวินเอ่ยปากอีกครั้ง “ข้าจะถามเจ้าอีกครั้ง เจ้าแห่งวิญญาณร้ายนั่นอยู่ที่ไหน”
เมิ่งซิงจื่อสั่นไปทั้งตัว ชี้ไปยังจุดที่ไกลออกไป “ไปทางนั้น ทะยานไปประมาณหนึ่งก้านธูปก็จะเห็นภูเขาใหญ่สีเลือดลูกหนึ่ง เจ้าแห่งวิญญาณร้ายนั่นอยู่ที่ยอดภูเขาใหญ่สีเลือดลูกนั้น”
สวบ!
จากนั้นหลินสวินก็พาเมิ่งซิงจื่อออกเดินทาง
ฟ้าดินเวิ้งว้าง ท้องฟ้ามีประกายสายฟ้าโหมตลบ แผ่กลิ่นอายพินาศย่อยยับออกมา ตลอดทางมานี้หลินสวินก็ยังคงไม่ปกปิดกลิ่นอาย มุ่งหน้ารวดเร็วปาน ประดุจลำแสงพริบวาบไม่หยุดกลางห้วงอากาศ
บางครั้งจะมีวิญญาณร้ายสามถึงห้าตัวรวมกลุ่มปรากฏตัวออกมา แต่ละตนไอเลือดม้วนตลบ กลิ่นอายน่าสะพรึง ดั่งผีร้ายที่พุ่งออกมาจากอเวจี
บ้างเปลี่ยนร่างเป็นสัตว์ยักษ์ บ้างก็แปลงเป็นภูตผีปีศาจ เมื่อเทียบกับผู้ฝึกปราณจริงๆ สิ่งเดียวที่ต่างกันคือไม่มีสติปัญญา!
แต่พลังต่อสู้ของพวกมันกลับดุดันเหี้ยมเกรียมเป็นที่สุด กล่าวอย่างไม่เกินจริง หนึ่งในเจ็ดยอดมกุฎแห่งหอวิหคทองแดงอย่างเมิ่งซิงจื่อ หากอยากฝึกปราณที่นี่ก็ต้องฝ่าฟันอันตรายถึงชีวิตเช่นกัน!
แต่บังเอิญว่าหลินสวินไม่ใช่มกุฎกึ่งจักรพรรดิทั่วไป
ตลอดทางมานี้ไม่ว่าจะมีวิญญาณร้ายอะไรโผล่มา ไม่ว่าหน้าตาอีกฝ่ายจะบิดเบี้ยวและน่าสะพรึงปานใด ล้วนถูกบดขยี้ในทุกย่างก้าวที่หลินสวินมุ่งหน้าไป
ไม่อาจขัดขวาง!
และผลเก็บเกี่ยวของหลินสวิน ก็คือผลึกต้นกำเนิดมหามรรคที่คุณลักษณะไม่ธรรมดาก้อนแล้วก้อนเล่า
หากไม่ใช่ว่าต้องเร่งเดินทาง เขายังอยากจะอยู่ต่อจริงๆ ทำการกวาดล้างนรกอำพรางชั้นสี่นี้ให้เกลี้ยงสักรอบ ดูว่าสุดท้ายจะได้รับผลึกต้นกำเนิดมหามรรคเท่าไหร่
“พี่หลิน นั่นก็คือที่อยู่ของเจ้าแห่งวิญญาณร้าย!”
ด้วยความเร็วยิ่งยวดที่หลินสวินทะยานมา ไม่ถึงหนึ่งก้านธูปเมิ่งซิงจื่อก็เห็นภูเขาใหญ่สีเลือดลูกหนึ่งอยู่ไกลๆ แล้ว
มันตั้งตระหง่านอยู่กลางฟ้าดิน โดดเด่นทรงพลัง อาบไล้ด้วยสีแดงเลือดทั่วทั้งเขา ประหนึ่งธารโลหิตนับไม่ถ้วนหลั่งรินจากยอดเขาลงมาสู่เบื้องล่าง
หลินสวินมองจากไกลๆ แล้วอดขมวดคิ้วไม่ได้ ภูเขาใหญ่สีเลือดนั่น แท้จริงแล้วสร้างมาจากกระดูกนับไม่ถ้วนกองทับถม แผ่กำจายกลิ่นคาวเลือดและความตายที่ชวนให้ขนพองสยองเกล้าหาอย่างที่สุด
ตำแหน่งบนยอดเขานั่นสร้างเป็นแท่นบูชาแท่นหนึ่ง กำลังดูดรับพลังอสนีบาตสีเลือดจากเวิ้งฟ้าอย่างบ้าคลั่ง
‘ดูท่าเจ้าแห่งวิญญาณร้ายที่มีสติปัญญานั่นจะไม่ธรรมดาซะแล้ว…’
ในขณะที่หลินสวินกำลังคิด จู่ๆ ก็มีเสียงนุ่มนวลเบิบนาบดังขึ้นจากกลางฟ้าดิน
“มีสหายมาจากแดนไกล ไม่ใช่เรื่องน่ายินดีหรอกหรือ สหายยุทธ์ผู้นี้ ไม่ทราบว่ามาเยือนกระท่อมซอมซ่อของข้า มีอันใดจะชี้แนะหรือ”
เพียงแค่เสียงก็ทำเอาเมิ่งซิงจื่อถึงกับตัวสั่นไปทั้งร่าง สีหน้าซีดขาวสลับเขียว
ขณะเดียวกันนี้หลินสวินก็มองเห็น ว่าบนยอดเขาใหญ่สีเลือดนั่นมีเงาร่างสายหนึ่งปรากฏขึ้นมา สวมเกี้ยวประดับทรงสูง อาภรณ์สีเขียว ใบหน้าหล่อเหลา อมยิ้มมุมปาก
ในมือของเขาถือม้วนคัมภีร์ม้วนหนึ่ง ยืนนิ่งบนยอดเขา เสมือนบัณฑิตที่มากด้วยสติปัญญาและแผนการ แตกต่างจากที่หลินสวินจินตนาการไว้อย่างสิ้นเชิง
หากไม่เห็นกับตาตนเอง เกรงว่าใครก็คงไม่เชื่อ ว่าชายหนุ่มที่สวมชุดเขียวผู้นี้ก็คือเจ้าแห่งนรกอำพรางชั้นที่สี่ เป็นบุคคลที่ประหนึ่งนายเหนือหัวในฟ้าดินแห่งนี้!
แต่เมื่อหลินสวินโคจร ‘เปิดตาทิพย์’ ก็เห็นในทันที ว่าชายหนุ่มที่เหมือนบัณฑิตคนนี้ถึงกับแปรสภาพมาจากโครงกระดูก!
โครงกระดูกนี้ทั่วร่างขาวโพลนโปร่งแสงดุจหิมะ เหมือนหลอมสร้างจากเหล็กเทพ ชวนให้คนรู้สึกว่าอยู่ยงคงกระพันไม่อาจล้มล้างได้
และในหว่างคิ้วตรงกะโหลกศีรษะ ก็มีวิญญาณที่แกร่งกล้าเผด็จการหาใดเปรียบสายหนึ่งกำลังจำศีล รูปร่างคล้ายกับงูเหลือมสีเลือดตัวเขื่องขดตัวอยู่ เขี้ยวยาวโผล่ออกมาด้านนอก ดุร้ายแปลกพิศวง
“หืม ยังมีเจ้าคนเห็นแก่ตัวอย่างเจ้าด้วย คิดไม่ถึงว่าเจ้าจะยังกล้ามาที่นี่อีก”
ชายชุดเขียวนั่นมองมายังเมิ่งซิงจื่อ ในสายตาเผยแววเหยียดหยามอย่างไม่ปกปิด
“เจ้าหุบปาก!”
เมิ่งซิงจื่อตวาดลั่น สีหน้าดุร้าย “เจ้ามารชั่ว ใกล้ตายรอมร่อยังไม่รู้ตัว ครั้งนี้พี่หลินมุ่งหน้ามาก็เพื่อมาเอาชีวิตเจ้า!”
ชายชุดเขียวยิ้มพลางเอ่ยขึ้น “ที่แท้… คนไร้คุณธรรมไร้น้ำใจอย่างเจ้าก็หาคนช่วยได้แล้ว มิน่าถึงกล้ากลับมา”
ขณะพูดเขาก็ทอดสายตามองไปทางหลินสวิน กล่าวด้วยสีหน้าครุ่นคิด “สหายยุทธ์ผู้นี้ ข้าสัมผัสได้ว่าเจ้าแข็งแกร่งยิ่ง เหนือกว่าที่คนธรรมดาจะเทียบได้ หากให้ข้าพูด ก็ไม่อยากจะเป็นศัตรูกับเจ้า เจ้าจะยั้งมือไว้ไมตรีได้หรือไม่”
น้ำเสียงแจ่มชัด เปิดเผยตรงไปตรงมา
นี่แทบไม่เหมือนกับวิญญาณร้ายที่ทรงอานุภาพเลยชัดๆ
“กลัวหรือ อยากรอดหรือ ไม่มีทาง!”
เมิ่งซิงจื่อแผดเสียงดังลั่น ใบหน้าเผยไอสังหารอย่างไม่ปกปิด “พี่หลิน เป็นเขานี่แหละที่ทำร้ายเหล่าพี่น้องร่วมสำนักหอวิหคทองแดงของพวกเราจนตาย!”
นัยน์ตาหลินสวินวาบประกาย “ไม่ใช่ว่าคนพวกนั้นถูกกำราบไว้หรือ เพียงแค่มอบสมบัติชิ้นนั้นออกมาก็สามารถแลกชีวิตของพวกเขาคืนมาได้ไม่ใช่หรือ”
สีหน้าเมิ่งซิงจื่อพลันไม่เป็นธรรมชาติขึ้นมา กล่าวว่า “พี่หลิน คำพูดของเจ้าวิญญาณร้ายนั่นเชื่อได้หรือ เขาย่อมวางแผนการชั่วร้ายไว้ก่อนแล้วเป็นแน่”
ชายชุดเขียวคนนั้นแหงนหน้าขึ้นฟ้าหัวเราะลั่น “อย่างนี้นี่เอง ในที่สุดข้าก็เข้าใจแล้ว ที่แท้เจ้าคิดจะตลบหลัง โยนความผิดทั้งปวงมาใส่หัวข้านี่เอง! คนอย่างเจ้านี่ช่างโฉดชั่วอำมหิตนัก”
“พี่หลิน รีบลงมือเร็ว!”
เมิ่งซิงจื่อเอ่ยเร่งเสียงดัง คล้ายกลัวว่าชายชุดเขียวจะพูดอะไรไปมากกว่านี้
แต่หลินสวินกลับนิ่งเฉย นัยน์ตาดำของเขาลุ่มลึก กล่าวด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ใดๆ “เมิ่งซิงจื่อ ถึงยามนี้แล้วข้าขอถามแค่ประโยคเดียว เจ้าปิดบังอะไรไว้กันแน่”
เสียงเผยแววเย็นเยียบกรีดกระดูก