ชายชุดเขียวหัวเราะขึ้นมาก่อน “ดูท่าสหายยุทธ์ผู้นี้หาใช่คนเลอะเลือน”

เมิ่งซิงจื่อสีหน้าไม่น่าดู ถลึงตาใส่ชายชุดเขียวปราดหนึ่งแล้วจึงเอ่ยกับหลินสวินว่า “พี่หลิน วิญญาณร้ายนั้นอย่างกับผี มันกำลังจงใจเสี้ยม…”

หลินสวินพูดตัดบท “โอกาสครั้งสุดท้าย”

ในน้ำเสียงเจือความเย็นเยียบชวนสยอง

เมิ่งซิงจื่อเหงื่อกาฬแตกพลั่กไปทั่วหน้าผาก สีหน้าร้อนรนกล่าวว่า “พี่หลิน เจ้า… เจ้าสงสัยอะไรอยู่กันแน่ เจ้าอย่าไปหลงกลเจ้ามารปีศาจนั่นเด็ดขาดนะ!”

กลับเห็นว่าชายอาภรณ์เขียวที่อยู่บนยอดเขาไกลลิบเอ่ยปากพูด “ให้ข้าพูดแล้วกัน หนึ่งเดือนก่อนคนผู้นี้กับพวกพ้องกลุ่มหนึ่งมุ่งหน้ามาที่นี่ แล้วบังเอิญพบสมบัติมรดกดึกดำบรรพ์ชิ้นหนึ่งปรากฏออกมา จึงลงมือแย่งชิงด้วยกัน”

“โชคไม่ดียิ่ง ตอนนั้นข้าเองก็อยู่ด้วย ซ้ำยังพบสมบัติชิ้นนี้ก่อนหน้าพวกเขาอีก…”

เมิ่งซิงจื่อตวาดลั่นสีหน้าเขียวคล้ำ “เจ้าหุบปาก! พี่หลิน เจ้าอย่าไปฟังเขาพูดเหลวไหลเด็ดขาด!”

“ลนลานอะไร ฟังเขาพูดเหลวไหลสักหน่อยจะเป็นไร”

หลินสวินยกมือตบไหล่เมิ่งซิงจื่อเบาๆ ฝ่ายหลังพลันถูกพันธนาการทันที แม้แต่พูดยังพูดไม่ออก ร้อนรนจนเหงื่อกาฬไหลหลั่ง

ชายชุดเขียวหัวเราะแล้วเอ่ยต่อ “สหายยุทธ์ก็รู้ดี ข้าวิวัฒน์มาจากวิญญาณร้าย ในสายตาพวกเจ้าก็คือพวกต่างเผ่าที่ใครต่อใครก็ฆ่าแกงได้ ทว่าอย่างไรเสียข้าก็ตื่นรู้มีปัญญา มีความรู้สึกและศักดิ์ศรีเป็นของตน”

“ในการช่วงชิงสมบัติตอนนั้น พวกพ้องของเมิ่งซิงจื่อผู้นี้ถูกข้าตีพ่ายไปทีละคน แต่ข้าไม่ได้ลงมือสังหาร เพียงแค่จะให้เมิ่งซิงจื่อสละสมบัติ แลกกับชีวิตพวกพ้องเหล่านี้ของเขาเท่านั้น

“แต่ใครจะคาดคิดเล่า หึๆ”

สีหน้าหนุ่มชุดเขียวฉายแววเยาะหยันเสี้ยวหนึ่ง “ใครจะคาดคิดว่าสหายยุทธ์เมิ่งซิงจื่อผู้นี้… กลับหอบสมบัติหนีไปคนเดียว”

เวลานี้เมิ่งซิงจื่อที่ถูกพันธนาการอยู่ตรงนั้นทั้งตกใจทั้งโกรธหาใดเปรียบ ขัดขืนไม่หยุด คล้ายอยากจะเอ่ยอะไรบางอย่าง แต่กลับไม่มีประโยชน์สักนิด

“หนีรึ”

หลินสวินมุ่นคิ้ว ทอดสายตามองเมิ่งซิงจื่อแล้วปลดพลังที่คุมขังออก “ความจริงเป็นเช่นนี้จริงๆ รึ”

เมิ่งซิงจื่อหอบหายใจเฮือกใหญ่ เอ่ยขึ้นอย่างร้อนรน “ไม่จริง ทั้งหมดล้วนไม่จริง ข้าเมิ่งซิงจื่อมีหรือจะทิ้งพี่น้องร่วมสำนักอย่างไม่แยแสเพื่อสมบัติแค่ชิ้นเดียว เห็นชัดว่าเจ้ามารชั่วนี่ใส่ร้ายป้ายสี สร้างความแตกแยก!”

“ใส่ร้ายป้ายสี? เช่นนั้นเจ้าดู คนพวกนี้คือใครกัน”

ชายชุดเขียวยิ้มพลางโบกมือคราหนึ่ง

เงาร่างคนกลุ่มหนึ่งปรากฏออกมา มีทั้งชายหญิง ล้วนสีหน้าท่าทางเซื่องซึม ลมหายใจรวยริน

เมื่อพวกเขามองเห็นเมิ่งซิงจื่อ แต่ละคนต่างเผยสีหน้าเดือดดาลเคียดแค้น คนบางส่วนถึงกับด่าสาดเสียเทเสียขึ้นมา

“เมิ่งซิงจื่อ! เจ้ากับข้ารู้จักกันมาหลายร้อยปี ข้าเห็นเจ้าเป็นพี่น้อง แต่เพื่อสมบัติชิ้นเดียวเจ้ากลับทอดทิ้งพวกข้าอย่างไม่แยแส เจ้า… ช่างใจอำมหิตนัก! ”

“ข้าฟังคำสั่งของเจ้า ทุ่มสุดชีวิตไปช่วยเจ้าช่วงชิงสมบัติ แต่เจ้าล่ะ หลังจากได้สมบัติแล้วกลับหนีไปคนเดียว!”

ชายหญิงพวกนั้นแต่ละคนต่างเดือดดาลอย่างเห็นได้ชัด ท่าทางเหมือนอยากจะแล่เนื้อกินเมิ่งซิงจื่อทั้งเป็นใจจะขาด

ครั้นมองเมิ่งซิงจื่ออีกครา ใบหน้าก็ซีดเผือดไปนานแล้ว สั่นเทิ้มไปทั้งตัว สีหน้าสับสนงงงวย แผดเสียงดังลั่น “พวกเจ้า… พวกเจ้ายังมีชีวิตอยู่ได้อย่างไรกัน ไม่สิ พวกเจ้าต้องถูกมารชั่วนั่นควบคุมไว้แล้วเป็นแน่ ในตอนที่ชิงสมบัติ ข้าเห็นชัดๆ ว่าพวกเจ้าประสบเคราะห์แล้ว…”

เขาหันมองหลินสวินพลางเอ่ยวิงวอน “พี่หลิน เจ้าอย่าถูกมารชั่วนั่นหลอกเด็ดขาด ก่อนหน้านี้จริงอยู่ว่าข้าพูดปด หลังชิงสมบัติชิ้นนั้นออกจากชั้นสี่นี้ เดิมทีก็ไม่คิดจะกลับมาอีกเลย เพราะข้ารู้ว่าพวกพ้องเหล่านั้นตายไปแล้ว!”

“เหตุที่ต้องหลอกก็แค่อยากเอาสมบัติชิ้นนั้นกลับมาจากมือเจ้าอีกครั้งเท่านั้น”

“แต่ข้ากล้าสาบานต่อสวรรค์ ตอนที่ช่วงชิงสมบัติข้าไม่ได้ทอดทิ้งสหาย คิดแต่จะหอบสมบัติหนีไปเพียงลำพังโดยเด็ดขาด! ไม่มีเด็ดขาด!”

เขาเหมือนคนที่กำลังจะจมน้ำตาย พยายามแก้ต่างให้ตนเองสุดกำลัง

ไกลออกไปชายชุดเขียวถอนหายใจยาวคราหนึ่ง เอ่ยขึ้น “เรื่องมาถึงขนาดนี้ หลักฐานทั้งหมดก็เด่นหราอยู่ตรงหน้า เจ้ายังดื้อดึงไม่เลิก ช่างน่าเศร้าเสียจริง”

เขามองหลินสวินพลางเอ่ยขึ้น “สหายยุทธ์ผู้นี้ ทีนี้เจ้าเชื่อหรือยัง”

“พี่หลิน…!” ร่างของเมิ่งซิงจื่ออ่อนยวบทรุดลงกับพื้น คำรามดังลั่น อาการราวกับมีร้อยปากก็ไม่อาจแก้ต่าง ร้อนรนหาใดเปรียบ

“ข้าไม่เชื่อ”

ในที่สุดหลินสวินก็เปิดปากพูด นัยน์ตาดำราวกับสายฟ้า มองไปยังชายชุดเขียวบนยอดเขาไกลๆ เพียงสามคำสั้นๆ กลับทำเอาฝ่ายหลังอึ้งไป

“ไม่เชื่อ?” ชายชุดเขียวขมวดคิ้วกล่าว “หรือสิ่งเหล่านี้ยังไม่พอจะพิสูจน์อีกหรือ”

หลินสวินกล่าวเรียบเรื่อย “ข้าขอถามเจ้า ถ้าสมบัติถูกชิงไปแล้ว เจ้ายังจะไว้ชีวิตพวกพ้องเหล่านั้นของเมิ่งซิงจื่อเพื่ออะไรกันอีกเล่า อย่าบอกข้านะว่าเจ้าคาดการณ์ไว้ก่อนแล้วว่าจะต้องมีเรื่องอย่างวันนี้เกิดขึ้น ดังนั้นจึงเตรียม… พยานพวกนี้ไว้”

“ใช่ๆๆ! เป็นเช่นนี้แหละ!” เมิ่งซิงจื่อราวดึงสติกลับมาได้ ส่งเสียงดังด้วยความตื่นเต้น

ชายชุดเขียวถอนหายใจเบาๆ “สหายยุทธ์ ข้าบอกไปแล้วว่าข้ามีสติปัญญาแล้ว แถมยังมีความรู้สึกนึกคิดและศักดิ์ศรีเป็นของตนเองด้วย ในตอนที่ช่วงชิงสมบัติ เดิมทีก็ไม่ได้ลงมือรุนแรง ต่อให้สมบัติถูกชิงไป แต่ข้ามีหรือจะเอาความเดือดดาลที่สุมอยู่เต็มอกไประบายใส่คนพวกนี้ได้”

“เจ้าเพ้อเจ้อ!” เมิ่งซิงจื่อขบเขี้ยวเคี้ยวฟันขู่คำราม “มารชั่วที่แปลงมาจากวิญญาณร้ายอย่างเจ้ายังจะมีจิตใจเมตตาอยู่อีกหรือ น่าขันสิ้นดี!”

“เหตุใดวิญญาณร้ายต้องทำตัวชั่วช้าเท่านั้นด้วยเล่า”

ชายชุดเขียวถามกลับ เขาประดุจบัณฑิตคงแก่เรียน เผยแววไม่สบอารมณ์ออกมา “จำเอาไว้ ข้ามีสติปัญญาแล้ว ต่างจากพวกต่ำช้าที่ไม่มีสติปัญญาพวกนั้นนานแล้ว!”

“ยิ่งกว่านั้นหากสหายยุทธ์ไม่เชื่อคำพูดข้า ก็ควรเชื่อคำพูดคนพวกนี้กระมัง” ชายชุดเขียวชี้ไปยังชายหญิงเหล่านั้นที่อยู่ข้างกาย

นัยน์ตาดำของหลินสวินลุ่มลึก เอ่ยคำพูดที่ลึกลับออกมา “พวกเขาไม่ใช่พวกเขาอีกแล้ว คำพูดของพวกเขาก็ย่อมไม่น่าเชื่อถือ”

เมิ่งซิงจื่องุนงง ฟังไม่เข้าใจ

ทว่าชายชุดเขียวกลับดูเหมือนเข้าใจ อดอึ้งไปไม่ได้ นัยน์ตาเจือประกายประหลาดขึ้นมา “เจ้า… มองออกแต่แรกแล้วหรือ”

เขาเหมือนได้รู้จักหลินสวินใหม่อีกครั้ง คล้ายแปลกใจและตะลึงงันอย่างมาก

หลินสวินถอนหายใจเบาๆ “หากเจ้าไม่เรียกคนพวกนี้ออกมา บางทีข้าคงเชื่อคำของเจ้าไปแล้ว แต่เจ้าดันทำเสียเรื่องเอง”

ภายใต้ ‘เปิดตาทิพย์’ ของเขา มองเห็นประจักษ์ชัดแต่แรกแล้วว่าพวกพ้องเหล่านั้นของเมิ่งซิงจื่อ ดูภายนอกเหมือนไม่ต่างอะไรกับคนปกติ แต่จิตดั้งเดิมของพวกเขากลับถูกยันต์ที่มีอักขระสีเลือดพิลึกพิลั่นแน่นขนัดปิดผนึกอยู่!

พูดง่ายๆ ก็คือ คนพวกนี้ไม่ต่างอะไรกับหุ่นเชิดที่ไร้จิตวิญญาณไปนานแล้ว

ก่อนหน้านี้ตอนเปิดปากพูด ก็เป็นการควบคุมจากชายชุดเขียวเช่นกัน!

อันที่จริงก็เพราะมองจุดนี้ออก จึงทำให้หลินสวินตอบสนองขึ้นมาโดยพลัน ในใจตื่นตระหนกเช่นกัน เพราะเหมือนอย่างที่เขาพูดมา เมื่อครู่เขาเกือบเชื่อคำพูดของชายชุดเขียวแล้ว!

“พี่หลิน ในที่สุดเจ้าก็เชื่อข้าแล้ว…” เมิ่งซิงจื่อแทบจะร้องไห้ออกมา เมื่อครู่เขาอัดอั้นกลัดกลุ้มใจจนเจียนคลั่งอยู่แล้ว

กล่าวอย่างไม่เกินจริง เมื่อครู่เขายังสงสัยว่าตนเองอาจตายไปอย่างไม่เป็นธรรม!

“หากไม่ใช่เพราะก่อนหน้านี้เจ้าพูดโกหกหลายครั้ง มีหรือจะเกิดเรื่องเช่นนี้” หลินสวินเหลือบมองเขาปราดหนึ่ง ไม่อาจเกิดความรู้สึกเวทนาเห็นใจอะไรขึ้นมาสักนิด

เพราะเมิ่งซิงจื่อเคยพูดโกหกมาก่อน ถึงทำให้เขาเกือบหลงกลชายชุดเขียวนั่น!

เมิ่งซิงจื่อสีหน้าอักอ่วน ทั้งอับอายทั้งตำหนิตนเองจนไม่กล้าสบสายตาหลินสวิน ว่ากันถึงแก่นแล้ว เขาก็ยังสนใจสมบัติชิ้นนั้นมากเกินไปอยู่ดี!

“ดูท่ากลับเป็นข้าที่ดูเบาเจ้า”

ชายชุดเขียวหุบรอยยิ้มที่มุมปาก นัยน์ตาจ้องเขม็งไปยังหลินสวิน เจือประกายพิสดาร “เช่นนั้นเจ้าว่าเหตุใดข้าต้องหลอกเจ้าอย่างลำบากเช่นนี้ เพื่อจะปรักปรำเมิ่งซิงจื่อนี่หรือ เขาไม่คู่ควรสักนิด!”

ในเสียงเจือแววหยามเหยียดเข้มข้น

หลินสวินกล่าวเรียบเรื่อย “เพราะเจ้าไม่มั่นใจว่าจะสังหารข้าได้ ได้แต่คิดหาวิธีอื่น หากข้าหลงกลจริงๆ เจ้าก็ค่อยเริ่มเคลื่อนไหวขั้นถัดไป”

“เคลื่อนไหวอะไร” ชายชุดเขียวเลิกคิ้ว

หลินสวินกล่าว “อย่างเช่น ล่อข้าเข้าไปในภูเขาใหญ่ที่เจ้าอาศัยอยู่ แล้วหยิบยืมพลังผนึกที่แผ่ครอบอยู่ภายในภูเขามาจัดการข้ากระมัง”

ชายชุดเขียวอึ้งไปอีกครา จู่ๆ ก็เอ่ยปากชม “เยี่ยมยอด สหายยุทธ์สมกับที่มีดวงตาเฉียบแหลมดุจดวงประทีป จะไม่ให้ข้าเลื่อมใสยังยากนัก”

เขาหยุดไปครู่หนึ่งค่อยกล่าวกลั้วหัวเราะ “แต่เจ้าเดาผิดไปหน่อย ที่หลอกเจ้าไม่ใช่เพราะไม่มั่นใจว่าจะสังหารเจ้าได้ แค่อยากเล่นสนุกสักหน่อยเท่านั้น”

นัยน์ตาเขาเผยแววปวดใจ “ก่อนหน้านี้นานมาแล้ว ข้าก็ตื่นรู้มีสติปัญญา แต่ในกาลเวลาไร้สิ้นสุดนี้กลับถูกขังอยู่ในสถานที่เส็งเคร็งที่พวกเจ้าเรียกกันว่านรกอำพรางนี่ ข้าเองก็อยากออกไป… แต่ไม่ว่าข้าจะทำอย่างไรก็ไม่สามารถหลุดพ้นพลังของสถานที่นี้ได้…”

“นานวันเข้า ก็รู้สึกเบื่อหน่ายยิ่ง เหงาหงอยยิ่ง และยัง… ทุกข์ทรมานยิ่ง…” ชายชุดเขียวทอดถอนใจ

หลินสวินสีหน้าราบเรียบไม่สะทกสะท้าน สภาพอารมณ์ยิ่งไร้ระลอกคลื่นหวั่นไหวใดๆ

ชายชุดเขียวนั่นประหนึ่งบัณฑิตมากความรู้ จิตใจกว้างขวางเปิดเผยตรงไปตรงมา แต่ความจริงกลับพูดจาเจ้าสำนวน หลอกลวงราวภูตผี คำพูดจากปากเขาจริงกี่ส่วนเท็จกี่ส่วนกันแน่ ยากจะแยกแยะอย่างยิ่ง

และหลินสวินก็ไม่ได้อยากไปแยกแยะอีก

เขาพลิกฝ่ามือคราหนึ่ง ทวนศึกครึ่งท่อนปรากฏออกมา เอ่ยพูดตรงๆ “ด้วยสติปัญญาของเจ้า คงคาดเดาได้ไม่ยากว่าข้ามาที่นี่ก็เพื่อสมบัติชิ้นนี้”

ชายชุดเขียวอึ้งไป ราวกับคิดไม่ถึงว่าหลินสวินจะไม่สนใจคำพูดเขาเลยสักนิด

ครู่ใหญ่กว่าเขาจะพยักหน้า “ไม่ผิด ต่อให้เป็นคนอื่นได้รับสมบัติครึ่งชิ้นเช่นนี้ ก็ต้องพะวงว่าอีกครึ่งหนึ่งของสมบัติอยู่ที่ไหนเป็นแน่ นี่เดาได้ง่ายมาก”

“เจ้ารู้หรือไม่ว่าอีกครึ่งท่อนนี่อยู่ไหน” หลินสวินเอ่ยถามตรงๆ

ชายชุดเขียวอดยิ้มเยาะขึ้นมาไม่ได้ “ทำไมข้าต้องบอกเจ้าด้วย”

“ทำไมน่ะหรือ”

หลินสวินก็ยิ้มเหมือนกัน สาวเท้าขึ้นไปด้านหน้า เสื้อผ้าโบกสะบัด อานุภาพน่าสะพรึงเกรียงไกรไร้ทัดเทียมแผ่ออกมา ทำเอาเขาเหมือนเป็นคนละคนในพริบตา ผงาดกร้าวดุจเทพ

ชายชุดเขียวนัยน์ตาหดรัดลงน้อยๆ กล่าวทอดถอนใจ “น่าเบื่อเสียจริง การชิงชัยตั้งแต่โบราณกาลนี่ ท้ายที่สุดแล้วก็ไม่พ้นต้องแก้ปัญหาด้วยการต่อสู้…”

ระหว่างทอดถอนใจเขาโบกแขนเสื้อคราหนึ่ง

ตูม!

อัสนีสีเลือดที่ครอบทับผืนฟ้าพลันม้วนตลบโหมซัดรุนแรงขึ้นในฉับพลัน เงาร่างสีเลือดเป็นสายๆ พุ่งออกจากกลางสายฟ้า ราวกับปีศาจชั่วร้ายพุ่งพรวดออกจากนรก

นั่นเป็นวิญญาณร้ายนับไม่หวาดไม่ไหว ปรากฏตัวขึ้นมาปกฟ้าคลุมดิน!

“สหายยุทธ์ หากเจ้ารอดชีวิตในเคราะห์นี้ได้ ข้าจะบอกเจ้าว่าอีกครึ่งหนึ่งของทวนมหามรรคไร้สวรรค์อยู่ที่ไหน”

ชายชุดเขียวเอื้อนเอ่ยพลางยิ้มน้อยๆ เขายืนอยู่บนยอดเขาเพียงลำพัง สวมเกี้ยวประดับทรงสูง ยามนี้เขาไม่เหมือนบัณฑิตผู้หนึ่งอีกต่อไป แต่กลับเหมือนจอมราชันที่ควบคุมฟ้าดินแห่งนี้!