บทที่ 1895 ทับหลังประตูสำนัก

The king of War

ได้ยินคนขับรถพูด หยางเฉินก็หยุดการฝึกฝน ค่อย ๆ ลืมตาขึ้น มองออกไปนอกหน้าต่างรถ

ที่เห็นอยู่หน้ารถ เป็นเส้นถนนที่ราบเรียบมาก สองข้างถนน ปลูกต้นไม้เป็นริมขอบทาง ถนนทั้งสาย น่าจะประมาณสองร้อยเมตร ตรงปลายสุดถนนเป็นประตูสูงใหญ่อลังการ

ทับหลังเหนือประตูยังมีป้ายแผ่นใหญ่ บนป้ายเป็นตัวอักษรเคลือบทองเขียนว่า “ตระกูลบู๊”

ที่ทำให้หยางเฉินถึงขนาดต้องตื่นผวาก็คือ เพียงแค่มองดูตัวอักษรชุดนี้ ก็ให้รับรู้ถึงอานุภาพของความเฉียบขาดด้วยอำนาจบาตรใหญ่ ที่ต้องการสยบตัวเขาให้อยู่

หยางเฉินมองดูตัวอักษรบนทับหลังนั่น พูดด้วยเสียงทุ้มหนัก “ช่างเป็นตัวอักษรที่วางอำนาจบาตรใหญ่จริง ๆ ”

คนขับรถก็หัวเราะพูดขึ้นว่า “ชื่อป้ายสำนักบู๊นี่ เห็นเล่ากันมาว่าเป็นผู้แข็งแกร่งแดนนภาลงลายลักษณ์เอาไว้ แฝงไว้ด้วยสัจธรรมของบูโด ท่านอย่าได้ไปหยามหมิ่นแผ่นป้ายทับหลังนี้เชียวนา แผ่นป้ายทับหลังนี้ เห็นเล่ากันมาว่าจะส่งผลเป็นประโยชน์เป็นอันมากแก่ผู้ฝึกฝน ถือกันเป็นของวิเศษกันเลยทีเดียว”

หยางเฉินก็เป็นครั้งแรกที่ได้พบเห็นลายลักษณ์ประเภทนี้ ก็มิวายต้องถามด้วยสงสัย “สัจธรรมบูโดคืออะไร?”

คนขับรถถึงกับอึ้งงง มองหน้าหยางเฉินแล้วพูดว่า “ตัวท่านเองถึงขนาดผู้แข็งแกร่งแดนเหนือมนุษย์ขั้นเก้าชั้นยอด ก็ยังถูกท่านสยบได้ ทำไมกลับไม่รู้จักสัจธรรมของบูโด”

หยางเฉินผงกหัวตอบไปว่า “ข้ามาจากโลกสามัญ!”

คนขับรถยิ่งรู้สึกตื่นตระหนก เดิมคิดว่าหยางเฉินต้องเป็นตัวประหลาดมหัศจรรย์บูโดจากตระกูลบู๊โบราณ คิดไม่ถึงว่าหยางเฉินกลับมาจากโลกสามัญ ในโลกสามัญนั้นไปได้นักบูโดอัจฉริยะประเภทประหลาดมหัศจรรย์แบบนี้มาตั้งแต่เมื่อไหร่กันนี่?

คนขับรถก็ได้พูดขึ้นว่า “มีแต่ผู้แข็งแกร่งแดนเหนือมนุษย์ขั้นเก้าชั้นยอดที่เข้าใจถึงสัจธรรมแห่งบูโด จึงจะก้าวสู่แดนนภาได้ ส่วนสัจธรรมแห่งบูโดนั้นจริง ๆ เป็นอะไร ผมก็ไม่ค่อยรู้เรื่อง รู้แค่ว่าเป็นอะไรที่มองไม่เห็น จับต้องไม่ได้ สุดยอดแห่งมหัศจรรย์สุด ๆ”

“ตัวอักษรบนป้ายสำนักบูโดนั้นจารึกไว้จากผู้แข็งแกร่งแดนนภา แฝงไว้ด้วยสัจธรรมแห่งบูโด เห็นว่ามีผู้แข็งแกร่งแดนเหนือมนุษย์ขั้นเก้าชั้นสุดยอดมากมาย ต่างมาขอเรียนพบกันคนละหลายครั้งแล้ว แต่ก็ถูกปฏิเสธกลับไปหมด”

“เป็นที่แน่ชัดได้เลยว่า พวกเขาเหล่านั้นล้วนมาเพื่อจะดูสัจธรรมแห่งบูโดจากป้ายนี้ และที่แน่นอนว่าพลังฝีมือของสำนักบู๊ต้องแข็งแกร่งจริง ไม่อย่างนั้นทับหลังอันนี้ ป่านนี้คงโดนขโมยไปถึงไหนแล้ว”

หยางเฉินจ้องไปที่แผ่นป้ายบนทับหลังนั้น ท่าทีอยู่ในภวังค์ความคิด

เขากำลังคิด ตัวเขาเองเวลานี้เป็นผู้แข็งแกร่งแดนเหนือมนุษย์ขั้นเก้าชั้นกลาง แล้วจะมีโอกาสเข้าใจสัจธรรมบูโดไหม?

ถึงแม้จะว่าต้องผู้แข็งแกร่งแดนเหนือมนุษย์ขั้นเก้าชั้นยอดจึงจะเข้าใจถึงสัจธรรมแห่งบูโดได้ แต่ตัวเขามีความพิเศษอยู่ ขนาดตอนยังอยู่ที่แดนเหนือมนุษย์ขั้นแปดนั้น ก็รับรู้ถึงพลังแห่งธาตุได้แล้ว

ไม่เพียงเท่านั้น เขายังสามารถควบคุมบังคับของอาถรรพ์ได้

ถ้าเข้าใจได้ถึงสัจธรรมแห่งบูโดได้ ก็จะก้าวเข้าสู่แดนนภาได้ ถ้าจะบอกว่า เขาจะใช้พลังฝีมือแดนเหนือมนุษย์ขั้นเก้าขั้นกลาง เข้าใจถึงสัจธรรมแห่งบูโด จะถือว่าขึ้นถึงแดนนภาแล้วหรือไม่?

และในขณะนั้นเอง คนขับรถก็ได้ทักท้วงขึ้นมาในทันใด “เจ้านาย เกือบสิบสองโมงแล้ว ท่านจะลงรถไหมนี่?”

หยางเฉินจึงตั้งสติกลับคืนมาได้ กำลังจะลงจากรถ คนขับรถก็ยื่นมือมาชูสองนิ้วให้ดู หัวเราะแหะ ๆ พูดว่า “เจ้านาย สองร้อยหมื่น”

พูดจบ ก็ยังชักเอาเครื่องPOSออกมา

หยางเฉินถึงคิดขึ้นมาได้ ยังมีค่าเชือกที่เขาเอามามัดมือสังหารกลางทาง อีกทั้งค่าโดยสารของมือสังหารที่เขาเอามา จึงได้เอาการ์ดสีดำระดับทองยื่นให้ไป ชั่วเดี๋ยวเดียว เงินสองล้านก็ถูกโอนออกไป

คนขับรถสองมือประคองการ์ดทองใบนั้น ส่งคืนให้หยางเฉินด้วยใบหน้าของคนประจบประแจง พร้อมกับนามบัตรส่วนตัว พูดอย่างยิ้มแย้มว่า “เจ้านาย นี่เป็นนามบัตรผมนะครับ ทีหลังในภูเขามารนี่ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอะไร ติดต่อหาผมได้เลยนะครับ รับรองราคาต่ำที่สุดในภูเขามาร”

“ได้!”

หยางเฉินรับมาเก็บขึ้นพร้อมกับบัตรดำขลิบทอง

คนขับรถคนนี้ถึงจะหน้าเงิน แต่ว่าโดยรวมแล้ว ก็จัดว่าดีอยู่ อย่างน้อยก็ให้ข้อมูลของภูเขามารได้มากทีเดียว

ก็อยู่ในเวลาก่อนสิบสองนาฬิกา เร่งมาถึงสำนักบู๊

เวลานี้เที่ยงสิบเอ็ดนาฬิกาห้าสิบนาที ยังก่อนเวลานัดสิบนาที

หลังจากหยางเฉินลงจากรถ และมือสังหารแดนเหนือมนุษย์ขั้นเก้าชั้นยอดที่มาดักฆ่าเขากลางทางคนนั้น ก็ถูกเอาลงจากรถมาด้วย

มือสังหารดูเหมือนรู้ชะตากรรมตัวเองแล้ว ตาทั้งคู่จ้องอย่างเอาเป็นเอาตายไปที่หยางเฉิน “แกไม่มีทางที่จะมีชีวิตรอดออกไปจากภูเขามาร ข้าจะรอแกอยู่ข้างล่าง”

หยางเฉินมองไปที่มือสังหาร พูดเสียงหนาวเยือก “แกวางใจได้ ข้าตายไม่เป็น และยังจะส่งพวกนักบูโดประเทศซันไปให้เป็นเพื่อนแกเพิ่มด้วย”

เสียงพูดจบ หยางเฉินดีดนิ้วออกไป ลูกหินที่คว้าเก็บขึ้นมา ทะลุผ่านขั้วหัวใจมือสังหารไป

มือสังหาร ตายไปในทันที

ฆ่ามือสังหารไปแล้ว หยางเฉินก้าวเดินมุ่งตรงไปตามทางเข้าไปสำนักบู๊

มาถึงตรงหน้าประตูสำนักบู๊แล้ว เขาแหงนหน้าขึ้นดูตัวอักษรบนป้ายที่เขียนว่า “สำนักบู๊” ฉับพลันนั้นก็เกิดเป็นกระแสกดดันที่แข็งแกร่งมาก ๆ โถมใส่ตัวเขาลงมา

พลังสายเลือดคลั่งในตัวหยางเฉิน ฉับพลันนั้นได้ถูกกระตุ้นขึ้นมา

ที่ทำให้เขาต้องสะท้านใจคือ ไม่ใช่ตัวเขาเป็นคนตั้งใจไปกระตุ้นสายเลือดคลั่ง แต่เป็นเพราะหลังจากที่เขารับแรงกดดันจากตัวอักษร “สำนักบู๊” สายเลือดคลั่งเกิดพลุ่งพล่านตื่นตัวขึ้นมาเอง

นี่ยังไม่ใช่ประเด็นสำคัญ ประเด็นสำคัญอยู่ที่ สายเลือดคลั่งที่พลุ่งพล่านขึ้นมานั้นอยู่ในระดับสูงมาก ถึงขนาดกำลังพุ่งขึ้นไปที่จุดสติแตกนั้น

“ข้าสั่งให้หยุดเดี๋ยวนี้!”

หยางเฉินคำรามใส่ออกมา ใช้ความพยายามทั้งหมดในการสยบสายเลือดคลั่ง

เขารู้ดีที่สุดว่า ถ้าหากปล่อยให้สายเลือดคลั่งพลุ่งพล่านขึ้นสุดขีด แล้วอะไรจะเกิดขึ้น

กระบวนการของตำราเทพสงครามก็ดำเนินไปอย่างดุเดือด มีพลังปราณอันอบอุ่นขึ้นมากระแสหนึ่ง เกิดขึ้นในตัวของหยางเฉิน สายเลือดคลั่งค่อย ๆ สงบลง หยางเฉินจึงได้สบายตัวลง

จนเมื่อสายเลือดคลั่งสงบลงอย่างเบ็ดเสร็จ หยางเฉินคงยืนอยู่กับที่เดิม อ้าปากหอบคำใหญ่ ทั้งตัวชุ่มไปด้วยเหงื่อ

หยางเฉิน “นี่หรือความยิ่งใหญ่ของนักบูโดแดนนภา?เพียงอักษรที่เขียนไว้ ถึงขนาดพาให้ตัวเราเกิดปฏิกิริยาถึงขนาดนี้”

เมื่อครู่นี้ถ้าไม่ใช่สยบสายเลือดคลั่งได้ทันการ น่ากลัวป่านนี้เขาคงถูกสายเลือดคลั่งแว้งกัดใส่ สติแตกไปแล้วมัง

“หยางเฉินกราบขอเรียนพบ!”

หยางเฉินมองเข้าไปในประตู ส่งเสียงพูดอย่างดัง

นี่เป็นเพียงช่องทางที่จะเข้าไปสำนักบู๊ ส่วนสำนักบู๊นั้น ยิ่งใหญ่มาก

ไม่นานนัก ก็มีผู้แข็งแกร่งแดนเหนือมนุษย์ขั้นเก้าชั้นต้นนายหนึ่ง มาถึงหน้าประตู สายตาที่มองหยางเฉิน ดูเหมือนกำลังมองตัวประหลาด ทำเอาหยางเฉินวางตัวไม่ถูก

“เชิญตามข้ามา”

ฝ่ายตรงข้ามมองมายังหยางเฉินแล้วพูด

ในเวลาเดียวกันนั้น บริเวณในสุดของสำนักบู๊ ภายในอาคารรูปแบบโบราณ ตู้ป๋อนั่งอยู่บนเก้าอี้หวาย มีโต๊ะน้ำชาวางอยู่ข้าง ๆ บนโต๊ะมีกาน้ำชาดินเคลือบสีขาววางอยู่

ตู้ป๋อมือถือจอกน้ำชา กำลังจิบน้ำชา

ตู้หมิงเหวี่ยนบุตรชายของตู้ป๋อ ก็ยืนอยู่ข้าง ๆ คอยดูแลยกกาน้ำชาและคอยเติมน้ำด้วยตัวเอง

และในขณะนั้น พ่อบ้านในชุดจีนนายหนึ่ง เดินเข้ามาในห้อง

พ่อบ้านโค้งคำนับตู้ป๋อ แล้วพูดขึ้นว่า “ท่านเจ้าสำนัก หยางเฉินกำลังผ่านเข้าประตูสำนักมา เขาใช้เวลาแค่เพียงหนึ่งนาที”

“ผัวะ!”

ตู้ป๋อถึงกับสำลักพ่นน้ำชาในปากออกมา สะทกสะท้านเต็มหน้า “เจ้าว่าอะไรนะ?เขาใช้เวลาแค่เพียงหนึ่งนาที?มันเป็นไปได้ยังไง?”

ตู้หมิงเหวี่ยนก็ผวางง เอ่ยปากพูดว่า “ป้ายชื่อสำนักบนทับหลังประตูนั้นเป็นจารึกของผู้แข็งแกร่งแดนนภา ต่อให้เป็นถึงผู้แข็งแกร่งแดนเหนือมนุษย์ขั้นเก้าชั้นยอด ก็ยังจมปลักอยู่ตรงนั้นถอนตัวไม่ขึ้น หยางเฉินมีพลังฝีมือแค่เพียงแดนเหนือมนุษย์ขั้นเก้าชั้นกลาง เป็นไปได้ยังไงที่จะเข้ามาได้ในเวลาแค่เพียงหนึ่งนาที?”

พ่อบ้านเฒ่าพูดเสียงหนักแน่น “ให้ชัด ๆ แล้วเขาใช้เวลาแค่เพียงห้าสิบสามวินาที ก็ผ่านเข้าประตูสำนักแล้ว”