พอเย่ฉางหมิ่นเดินจากไป เฉินจื๋อข่ายก็รีบร้อนถามพนักงานคนที่สามว่า “เมื่อกี้เกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่?”
ลิลี่ผู้นั้นสะอื้นไห้กล่าวว่า “ผู้จัดการทั่วไปเฉิน คุณหนูโกรธจนคว่ำโต๊ะไปแล้ว พี่หนานพาพวกเรามาเก็บกวาดเศษแก้วที่นี่ กลับกลายเป็นว่าจู่ๆ คุณหนูใหญ่ก็มาลงไม้ลงมือกับพวกเรา ซ้ำยังถีบท้องพี่หนาน พี่หนานเธอยังตั้งครรภ์อยู่ด้วย ฉันจะโทรเรียกรถพยาบาล คุณหนูใหญ่ก็พังมือถือฉัน…”
พี่หนานนั่งอยู่บนพื้นใบหน้าเต็มไปด้วยความเจ็บปวดเอ่ยปากกล่าวว่า “ผู้จัดการทั่วไปเฉิน เรื่องนี้ต้องโทษฉันค่ะ คุณอย่าได้พาลใส่พวกเธอสองคนเลยนะคะ หากบริษัทจะลงโทษล่ะก็ โปรดลงโทษฉันคนเดียวเถอะ!”
เฉินจื๋อข่ายถอนหายใจ กล่าวว่า “เรื่องนี้ต้องตำหนิฉัน เป็นฉันไม่ได้ดูแลทุกคนให้ดี ฉันจะให้คนรีบพาพวกเธอไปส่งโรงพยาบาลก่อน นอกจากนี้ยังให้พวกเธอลางานอีกอย่างน้อยหนึ่งเดือน แล้วก็ให้ค่าชดเชยพวกเธอคนละสองแสน”
กล่าวจบ เขาก็มองหัวหน้าพนักงานที่นั่งอยู่บนพื้น แล้วกล่าวอย่างจริงจังว่า “พี่หนาน ผมจะติดต่อหมอสูตินรีเวชที่ดีที่สุดในจินหลิงช่วยรักษาเด็กในท้องให้คุณเดี๋ยวนี้ ต่อให้ต้องแลกทุกอย่างก็ต้องรักษาเด็กเอาไว้ให้ได้ หากเด็กรักษาไว้ได้แล้ว ผมจะให้ค่าทำขวัญเด็กอีกสองแสน หากรักษาไว้ไม่ได้ ผมจะชดใช้ให้คุณห้าแสน แล้วจะให้คุณลาพักหนึ่งปีพร้อมจ่ายเงินเดือนให้ด้วย กลับไปพักผ่อนบำรุงร่างกายให้ดีๆ เตรียมการตั้งครรภ์ใหม่!”
พอเฉินจื๋อข่ายพูดเช่นนี้ ทุกคนพลันถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอกได้ในที่สุด
พวกเธอยังกังวลว่าเฉินจื๋อข่ายจะฟังความต้องการของเย่ฉางหมิ่น ลงโทษพวกเธออย่างหนัก
คิดไม่ถึงว่าเฉินจื๋อข่ายจะดูแลทุกคนเช่นนี้ เจ้านายที่มากน้ำใจมากคุณธรรมเช่นนี้ ช่างหาได้ยากจริงแท้!
เห็นผู้หญิงสามคนพากันร้องห่มร้องไห้กล่าวขอบคุณ เฉินจื๋อข่ายก็ไม่สนใจจะไปปลอบ รีบเรียกหน่วยรปภ.ให้พาคนไปส่งโรงพยาบาลอย่างเร่งด่วน
หลังรอคนทั้งสามส่งไปยังโรงพยาบาลแล้ว เขาก็ส่งเสียงถอนหายใจติดๆ กันอย่างกลุ้มใจอยู่ในห้องทำงานเพียงคนเดียว “เฮ้อ ไม่รู้เลยจริงๆ ว่าผู้หญิงอย่างเย่ฉางหมิ่น จะอยู่ทรมานกันที่จินหลิงไปจนถึงเมื่อไหร่ และไม่รู้ว่าเธอยังจะทำเรื่องที่เกินเลยอะไรออกมาอีก น่าเสียดายที่ฉันอย่างไรก็เป็นเพียงคนรับใช้ของตระกูลเย่ ไม่ว่ามองจากทางใด ก็ข่มเธอไม่ได้โดยสิ้นเชิง หากเธออยากจะก่อกวนคว่ำฟ้าอยู่ที่จินหลิงจริงๆ ฉันเองก็คงอับจนปัญญา เห็นทีถึงเวลาคงได้แต่ฝากความหวังไว้ที่คุณชายแล้ว!”
…
เย่เฉินไม่ได้เห็นผู้หญิงคนนี้อยู่ในสายตาตน แล้วก็ไม่ได้เอามาใส่ใจ หลังกลับบ้าน ก็เริ่มเตรียมเรื่องฉลองปีใหม่พร้อมกับทุกคน
เนื่องจากเป็นตรุษจีนแรกในคฤหาสน์Tomson Rivieraหลังใหญ่ ดังนั้นสี่คนครอบครัวจึงยิ่งให้ความสำคัญกับเรื่องพิธีการของตรุษจีนปีนี้
เซียวชูหรันซื้อของประดับจำพวกกระดาษแก้ว สติ๊กเกอร์และโคมแขวนสีแดงอันใหญ่ที่ใช้ประดับตกแต่งมามากมาย วางแผนว่าจะนำมาตกแต่งในบ้านเองกับมืออย่างยินดีปรีดาเล็กน้อย
แม้หม่าหลันจะเป็นคนขี้เกียจมาก แต่ทิฐิในใจแข็งแกร่งกว่า เลยคิดจะรีบจัดแต่งบ้านออกมาอย่างรวดเร็ว จากนั้นค่อยถ่ายรูปลงอวดในโมเม้นหลายๆ รูปสักหน ดังนั้นจึงยุ่งง่วนอยู่กับเซียวชูหรันไปด้วย
หลังเย่เฉินกลับมา ก็เข้าร่วมกับพวกเขาด้วย
เซียวชูหรันหยิบโคมแขวนสีแดงอันใหญ่ใบหนึ่งที่ทำมาอย่างสวยงามออกมาจากกล่องกระดาษใบเขื่องที่สั่งมาจากช็อปปิ้งออนไลน์ ก่อนจะเอ่ยกับหม่าหลันว่า “แม่คะ หนูอยากตกแต่งระเบียงชั้นสองกับชั้นสาม แขวนโคมแดงแบบนี้ไว้ที่ราวกั้นระเบียง หลังฟ้ามืดไฟเปิด ผลลัพธ์จะต้องดีมากแน่”
หม่าหลันตอบรับอย่างไม่ลังเล “ตกลง! ปีใหม่ทั้งที ก็ต้องฉลองกันหน่อย เดี๋ยวแม่จะไปแขวนเดี๋ยวนี้!”
เซียวชูหรันรีบกล่าวว่า “แม่คะ หนูยังมีอีกเรื่อง อยากจะปรึกษากับแม่หน่อย”
หม่าหลันยิ้มตาหยีพลางกล่าว “ได้! มีเรื่องอะไรก็พูดมาได้เลย!”
เซียวชูหรันกล่าวขึ้นอย่างเก้อเขินเล็กน้อย “บนระเบียงชั้นสามของแม่ แขวนหมวกสีเขียวนานาชนิดไว้กองหนึ่งมาตลอด ปีใหม่หนนี้ แขวนหมวกเขียวไว้มากขนาดนี้ดูไม่ค่อยเหมาะนัก ถ้าอย่างนั้นพวกเรามาถอดหมวกเขียวออกกันเถอะ!”
พอหม่าหลันได้ยินเช่นนี้ พลันพูดโพล่งออกมาอย่างไม่ลังเลว่า “นั่นจะได้ยังไงกัน! หมวกเขียวเหล่านั้นล้วนเป็นของเก่าที่เตรียมไว้ให้เซียวฉางเฉียน ทำเพื่อให้เขาหลังตื่นนอนทุกวัน ลืมตาเห็นหมวกเขียวกองนี้ จากนั้นก็จะหดหู่ไปทั้งวัน หากแม่เอาออกแล้ว จะไม่เป็นการเอาเปรียบเขาฟรีๆ เหรอ?”
เซียวชูหรันจนปัญญา “แม่คะ! นี่ปีใหม่แล้วนะคะ ทุกบ้านต่างแขวนโคมผูกผ้าแพรหลากสี หากบ้านเรายังแขวนหมวกเขียวมากขนาดนี้ไว้ ถึงเวลามันจะยิ่งดูไม่ดีนะคะ!”