สองชั่วยามต่อมา
ภายใต้แรงกดดันที่สาดกระหน่ำไม่หยุดหย่อนเช่นนี้ หลินสวินไม่อาจไม่หยุดพัก ช่วยไม่ได้ พลังผลาญไวเกินไป จำเป็นต้องฟื้นฟู
ฮูม…
หลินสวินโบกแขนเสื้อวางกระบวนใหญ่ ใช้วิชากระบวนค่ายกลต้านทานพลังกดดันของฟ้าดินแห่งนี้ ส่วนตัวเขาก็นั่งขัดสมาธิในกระบวนค่ายกลใหญ่ เร่งฟื้นฟูพลัง
เวลาหนึ่งก้านธูปต่อมา
หลินสวินฟื้นฟูพลังกาย เสียผลึกต้นกำเนิดมหามรรคที่คุณภาพดีเลิศไปสามก้อน ส่วนการโคจรกระบวนค่ายกลใหญ่ก็ผลาญผลึกมรรคไปเกือบสามล้านก้อน!
แต่หลินสวินไม่มัวนั่งปวดใจ หากไม่ฟื้นฟูพลัง เกรงว่าจะไม่มีทางเดินออกจากชั้นแปดนี่ไปได้แน่
เขาเริ่มเคลื่อนไหวต่อ
และเป็นเช่นนี้ เขาแวะพักฟื้นและมุ่งหน้าต่อเป็นพักๆ
สามวันต่อมา
เวลายาวนานเช่นนี้ผ่านไป ทุกครั้งที่หลินสวินเดินทางได้หมื่นลี้ ก็ไม่อาจไม่แวะพักผ่อนเอาแรง ผลึกมรรคหลายร้อยล้านบนตัวละลายหายไปดุจสายน้ำไหล
แต่หลินสวินก็ยังสามารถสัมผัสได้ว่า ร่างกายและจิตวิญญาณที่ผ่านการเคี่ยวกรำและกระหน่ำโจมตีของพลังแรงกดดันนั่นไม่หยุดหย่อนมาตลอดสามวัน ล้วนเปลี่ยนแปลงไปมาก เกิดการถอดคราบอันละเอียดอ่อนที่ยากสังเกตขึ้นมากมาย
ผลเก็บเกี่ยวเช่นนี้ทำให้ในใจหลินสวินค่อนข้างคึกคัก
ด้วยมรรควิธีในปัจจุบันของเขาเหนือชั้นกว่าผู้แข็งแกร่งระดับเดียวกันมานานแล้ว ยืนโดดเด่นเหนือสุดในระดับนี้ คิดอยากรุดหน้าอีกก็ยากเย็นแสนเข็ญชัดๆ
แต่ตอนนี้ไม่กี่วันสั้นๆ ก็ทำให้ร่างกายตนเกิดการเปลี่ยนแปลงเล็กๆ ขึ้นได้ ก็เรียกได้ว่าน่าตกใจแล้ว
เจ็ดวันต่อมา
พร้อมๆ กับการเดินทางอีกครั้งของหลินสวิน ทั้งร่างก็เบาลง เหมือนโยนภูเขาใหญ่หนักอึ้งออกจากตัวไม่มีผิด ความรู้สึกเบาสบายที่มาแบบปุบปับนั่นทำให้หลินสวินอดอึ้งงันไม่ได้ เสมือนจะงอกปีกขึ้นสวรรค์อย่างไรอย่างนั้น
แต่จากนั้นหลินสวินก็ขมวดคิ้ว นี่ยังอยู่ในฟ้าดินชั้นที่แปด เหตุใดแรงกดดันที่มีอยู่ทุกอณูนั่นถึงหายไปแล้ว
ถึงขั้นที่เขาพลันนึกขึ้นมาได้ ว่าตลอดทางที่ตนเดินทางมาถึงตอนนี้ แม้แต่วิญญาณร้ายสักตัวก็ยังไม่เคยพบเจอ!
นี่มันเรื่องอะไรกันแน่
“ใคร”
และเวลานี้เอง จู่ๆ เสียงต่ำลึกสายหนึ่งก็ดังขึ้นข้างหูหลินสวิน
หลินสวินผงะ จิตรับรู้แผ่ออกไป
หน้าหุบเขาที่ห่างไปหมื่นจั้งนั่น มีชายชุดคลุมเทาคนหนึ่งนั่งขัดสมาธิอยู่ตรงปากหุบเขา
ชายชุดเทาคนนี้สีหน้าเย็นชา สองตาปิดสนิท เงาร่างสูงผอม แสงมรรคไหลเวียนทั่วร่าง แผ่อานุภาพน่าสะพรึงที่เป็นของระดับจักรพรรดิออกมา
หลินสวินมองปราดเดียวก็ดูออกว่าชายชุดเทานี่ไม่ใช่วิญญาณร้าย แต่เป็นมหาจักรพรรดิเผ่ามนุษย์อย่างแท้จริงคนหนึ่ง
และพร้อมกันนั้นชายชุดเทาก็สังเกตเห็นหลินสวินเช่นกัน ดวงตาแผ่ประกายเทพน่าสยดสยองออกมา
“เอ๋! เจ้าหนูน้อย ดูเจ้ามีปราณระดับมกุฎกึ่งจักรพรรดิขั้นสมบูรณ์ ถึงกับสามารถมาถึงชั้นแปดของนรกอำพรางนี่ได้ กระทั่งผ่านพลังกดดันของ ‘แรงถ่วงระเบียบ’ มาถึงที่นี่ได้ ความแข็งแกร่งของเจ้าคงไม่ด้อยไปกว่าระดับจักรพรรดิเลยกระมัง”
กล่าวถึงตรงนี้ชายชุดเทาเผยแววแปลกไป คล้ายตกใจไร้ใดเปรียบ
“ข้าน้อยหลินสวิน คารวะผู้อาวุโส”
หลินสวินประสานหมัด
คราวนี้เขารู้แล้ว สถานที่ที่ผ่านมาก่อนหน้านี้ถึงกับเป็นแดนผนึกแรงถ่วงที่แปรสภาพขึ้นจากระเบียบฟ้าดิน!
หนำซ้ำเขายังมองออกแล้ว ว่าความแข็งแกร่งของชายชุดเทาผู้นี้น่าสะพรึงไร้ใดเปรียบ เมื่อเทียบกับจักรพรรดิผีค้างคาวเงินนั่นยังแข็งแกร่งกว่าช่วงใหญ่ ถึงขั้นมองระดับสูงต่ำของพลังปราณไม่ออก
“เจ้าก็เป็นผู้สืบทอดหอวิหคทองแดงหรือ”
ชายชุดเทายิ่งแปลกใจ “แต่เหตุใดข้าไม่เคยได้ยินว่ามีคนเช่นเจ้ามาก่อน”
หลินสวินกล่าว “ผู้อาวุโสเข้าใจผิดแล้ว ข้าไม่ใช่ผู้สืบทอดหอวิหคทองแดง เพียงแค่มีวาสนาได้รับโอกาสมาเคี่ยวกรำที่นี่”
“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้ แต่เจ้ามาที่นี่ได้ ก็พิสูจน์ความสัมพันธ์ของเจ้ากับหอวิหคทองแดงแล้ว”
ชายชุดเทาเผยแววกระจ่างแจ้ง จากนั้นก็สีหน้าพลันเข้มขรึมกล่าวว่า “สหายน้อย เจ้าออกไปเร็วๆ จะดีกว่า เบื้องหน้าก็คือ ‘แดนผนึกมรรค’ อันตรายเหลือแสน อย่าว่าแต่เจ้า ต่อให้ระดับจักรพรรดิมา ก็ไม่อาจล่วงล้ำแม้แต่ก้าวเดียว”
แดนผนึกมรรค!
หลินสวินเลิกคิ้วกล่าว “บังอาจถามผู้อาวุโส แดนผนึกมรรคที่เรียกกันนี้ซ่อนอันตรายปานใดไว้กันแน่”
“เจ้าดูตรงนั้น”
ชายชุดเทาแม้สีหน้าจะเย็นชา แต่ท่าทีกลับไม่เลวเลย ยื่นมือชี้ไปไกลๆ
ก็เห็นฟ้าดินตรงนั้นถูกสีเลือดแดงฉานปิดครอบ สายฟ้าน่าตกใจเป็นสายๆ โคจรอยู่ในนั้น ท่ามกลางความเลือนราง ในนั้นยังปรากฏเงามายาน่าสะพรึงเป็นสายๆ คล้ายคนแต่ไม่ใช่คน คล้ายปีศาจแต่ไม่ใช่ปีศาจ
แค่มองอยู่ไกลๆ นัยน์ตาหลินสวินยังหดรัด
“นั่นคือแดนผนึกมรรค ในนั้นกำราบพลังเจตจำนงที่แหว่งวิ่นเอาไว้ พลังเจตจำนงเหล่านั้นล้วนเป็นสิ่งที่อัครบุคคลซึ่งฝังร่างอยู่ที่นี่ทิ้งไว้ในช่วงต้นยุคดึกดำบรรพ์ หมื่นกาลไม่เสื่อม หากเข้าไปในนั้น เจตจำนงและสภาวะจิตแห่งตนก็จะถูกกดทับอย่างไม่อาจจินตนาการ…”
ชายชุดเทากล่าว “แปดพันปีมานี้ ข้านั่งอยู่ที่นี่ก็เพราะห่วงว่าเจตจำนงเหล่านั้นจะกรูออกมา หากเป็นเช่นนั้น สำหรับใครก็ตามที่เขามาเคี่ยวกรำในนรกอำพราง ล้วนเป็นหายนะที่ไม่อาจจินตนาการอย่างหนึ่งแน่นอน”
หลินสวินสีหน้าเปลี่ยนสลับไปมา
คราวนี้เขาถึงตระหนักได้ว่าอันตรายที่แท้จริงของชั้นแปดนี้ ไม่ใช่วิญญาณร้าย แต่เป็นเศษเสี้ยวพลังเจตจำนงที่ยอดคนยุคดึกดำบรรพ์เหล่านั้นทิ้งไว้ต่างหาก!
“ผู้อาวุโส เท่าที่ข้ารู้ ในกาลเวลาไร้สิ้นสุดที่ผ่านมานี้ก็ใช่ว่าไม่มีใครบุกผ่านที่นี่ไปได้” หลังไตร่ตรองครู่ใหญ่หลินสวินก็เอ่ยปาก “เหมือนอย่างเจ้าหอวิหคทองแดง ปีนั้นก็ไม่ใช่มีปราณระดับมกุฎกึ่งจักรพรรดิเหมือนกันหรือ”
เอ่ยถึงเจ้าหอวิหคทองแดง ชายชุดเทาสีหน้าขึงขังกล่าวว่า “สหายน้อยไม่รู้อะไร นายท่านเข้ามาเคี่ยวกรำในชั้นแปดสมัยดึกดำบรรพ์ ตอนนั้นแดนผนึกมรรคนี่เพิ่งก่อตัว พลังเจตจำนงที่กระจายอยู่ในนั้นไม่ได้น่ากลัวเท่าตอนนี้เลยด้วยซ้ำ”
หลินสวินอึ้งไปครู่หนึ่ง แล้วกล่าวว่า “แต่ข้ายังอยากลองสักตั้ง”
ชายชุดเทาขมวดคิ้ว “สหายน้อย สวรรค์ริษยายอดคน แข็งไปย่อมหักง่าย เจ้าคุณสมบัติน่าตกใจ ความแข็งแกร่งยิ่งพลิกฟ้า แต่อย่างไรก็ต้องระวังไว้ เมื่อควรหยุดก็หยุด อย่าเคลื่อนไหวขาดสติเด็ดขาด”
หลินสวินอึ้งงัน ประสานหมัดกล่าว “ที่ผู้อาวุโสสั่งสอนนั้นถูกต้อง แต่ข้าไม่อยากยอมแพ้เช่นนี้ หวังว่าท่านจะช่วยให้สมปรารถนา”
“เจ้า…”
ชายชุดเทาถลึงตา คล้ายหงุดหงิดอยู่บ้าง
แต่ในเวลานี้เขาฉุกคิดขึ้นได้ ยื่นมือคว้ากลางอากาศคราหนึ่งก็กำม้วนหยกม้วนหนึ่งไว้ในมือ
เมื่ออ่านคร่าวๆ ชายชุดเทาก็อึ้งไปทันที
สิ่งที่บันทึกในม้วนหยกนี้คือคำสั่งจากเจ้าหอวิหคทองแดง…
‘หากพบหลินสวิน ไม่ต้องขัดขวาง ไม่ต้องช่วยเหลือ ให้เขาเคี่ยวกรำลำพัง!’
“เมื่อครู่เจ้าบอกว่าเจ้าชื่ออะไรนะ”
ชายชุดเทาอดถามไม่ได้ คล้ายอยากยืนยันให้แน่ใจอีกครั้ง
“หลินสวิน” หลินสวินกล่าว
ชายชุดเทานัยน์ตาเจือแววแปลกไป เขาคิดไม่ถึงจริงๆ ว่าชายหนุ่มคนนี้จะถึงกับทำให้นายท่านออกคำสั่งเช่นนี้ลงมาด้วยตนเอง
ครุ่นคิดครู่หนึ่งเขากล่าวว่า “ช่างเถิด เจ้าไปเถอะ แต่เจ้าต้องจำไว้ หากพบอันตรายข้าจะไม่ออกมือช่วยเหลือเด็ดขาด”
หลินสวินกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ขอบคุณผู้อาวุโสที่ช่วยให้สมปรารถนา”
กล่าวพลางเขาพุ่งทะยานออกไป
“สหายน้อย”
ชายชุดเทาอดกล่าวไม่ได้ “จำไว้ อันตรายแท้จริงของแดนผนึกมรรคนั่น คือการต่อต้านเจตจำนงและสภาวะจิต หากยืนหยัดไม่ไหวก็รีบปลีกตัวถอยออกมา ห้ามฝืนเด็ดขาด”
หลินสวินหมุนตัวประสานหมัดจากไกลๆ ถึงค่อยมุ่งหน้าไปยังบริเวณที่ไกลออกไปอีกครั้ง
กลางฟ้าดินสีเลือดพลิกตลบดุจกระแสน้ำเชี่ยว พวยพุ่งราวหมอก สายฟ้าแปลบปลาบอยู่ภายใน เจือคลื่นทำลายล้างที่ชวนให้คนหวาดหวั่น
ท่ามกลางความเลือนราง มีเงาร่างที่เหมือนภาพมายาเป็นสายๆ ปรากฏอยู่กลางฟ้าดินสีเลือด เทียวผลุบเทียวโผล่ แต่ละสายล้วนมีอานุภาพแตกต่างกันไป
ประดุจเทพไท้กลุ่มหนึ่ง น่าสะพรึงไร้สิ้นสุด
นี่ก็คือแดนผนึกมรรค!
ช่วงต้นยุคดึกดำบรรพ์ ในเคราะห์จ่อมจมครั้งแรก เศษเสี้ยวเจตจำนงที่ยอดบุคคลมากมายซึ่งตายอยู่ที่นี่เหลือทิ้งไว้ แปรสภาพเป็นเขตแดนอันเป็นเอกลักษณ์และอันตรายเช่นนี้
พลังเศษเสี้ยวเจตจำนงในนั้นผ่านการกัดกร่อนของกาลเวลามาเนิ่นนานแต่ไม่ดับสลาย แค่คิดก็รู้ว่าแข็งแกร่งปานใด
หลินสวินที่ยืนจ้องภาพนี้จากไกลๆ อยู่นาน จู่ๆ ก็เอ่ยถามขึ้น “ผู้อาวุโส หากอยากเข้าสู่ชั้นที่เก้า ก็ต้องผ่านสถานที่นี้ใช่หรือไม่”
บริเวณไกลโพ้น ชายชุดเทาอึ้งไปครู่หนึ่งก่อนจะกล่าวว่า “ถูกต้อง”
เขาคิดไม่ถึงว่าสิ่งที่หลินสวินกังวลไม่ใช่อันตรายที่มีเกลื่อนในแดนผนึกมรรคจะน่ากลัวปานใด หากแต่เป็นเรื่องที่คิดอยากเข้าสู่ชั้นที่เก้า
นี่ทำให้ชายชุดเทารู้สึกไม่รู้จะหัวเราะหรือร้องไห้ดี
จะบอกว่าเจ้าหมอนี่โอหังเกินไป แต่เขาก็สามารถมาถึงชั้นแปดนี้ได้ ความแข็งแกร่งย่อมเรียกได้ว่าเย้ยฟ้าอย่างแน่นอน
แต่หากบอกว่าเค้าไม่โอหัง ทว่ากลับยืนกรานจะไปเสี่ยงอันตราย หากข้ามพื้นที่ที่ปกคลุมด้วยแดนผนึกมรรคนั่นไม่ได้จะได้ตายเอาจริงๆ!
ขณะที่ชายชุดเทาคิดไปต่างๆ นานา หลินสวินก็เริ่มเคลื่อนไหวแล้ว สาวเท้าก้าวสู่กลางฟ้าดินสีเลือดที่แดนผนึกมรรคปกคลุมอยู่
………………………………