ตอนที่ 2131 ปีนป่ายมหามรรคไม่หันกลับ

Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์

ตูม!

เพิ่งจะเข้าสู่แดนผนึกมรรคที่ปิดครอบกลางฟ้าดินสีเลือดนั่น เงาร่างมโหฬารดุจมายาสายหนึ่งก็โจมตีมายังหลินสวิน

นี่เป็นชายที่สวมมงกุฎจักรพรรดิ สูงผอมไร้ที่เปรียบคนหนึ่ง เงาร่างพร่าเลือน แต่ทุกอากัปกิริยากลับประดุจจักรพรรดิท่องทั่วหล้า

เมื่อเขากดฝ่ามือหนึ่งออกมา

หลินสวินยังไม่ทันต้านทานทั้งร่างก็ถูกซัดกระเด็น เลือดลมทั่วร่างโหมตลบ อัดอึดจนแทบกระอักเลือด

แต่เขาตระหนักได้ทันที ว่าพบเจอการโจมตีหนักหน่วงเช่นนี้ บนตัวกลับไร้อาการบาดเจ็บใดๆ ตรงข้ามกลับเป็นจิตวิญญาณและสภาวะจิตที่ประหนึ่งถูกค้อนหนักฟาดอย่างจัง ทรมานสุดขีด

ชายสวมมงกุฎจักรพรรดิโจมตีมาอีกครั้ง ร่างกายดุจเขาสูงชัน ทำให้คนรู้สึกเล็กจ้อยเป็นพิเศษ เหมือนมดปลวกแหงนมองฟ้า

หลินสวินเรียกดาบหักออกมาโดยไม่ลังเล เริ่มทำการฟาดฟัน

แต่ภาพแปลกพิสดารฉากหนึ่งปรากฏขึ้น ดาบหักเหมือนฟันอากาศ ไม่ได้ทำร้ายชายสวมมงกุฎจักรพรรดิคนนั้นแม้แต่เสี้ยวเดียว

ตรงข้ามกลับเป็นหลินสวินที่ถูกหนึ่งฝ่ามือตบกระเด็นอีกครั้ง เบื้องหน้าล้วนดำมืดไปวูบหนึ่ง จิตวิญญาณหวาดผวาไหวสั่น สภาวะจิตยังเริ่มส่อแววไม่คงทน

‘ดูท่าที่ผู้อาวุโสท่านนั้นพูดจะไม่ผิด พลังเจตจำนงในแดนผนึกมรรคนี้ สิ่งที่เล่นงานมีเพียงจิตวิญญาณและสภาวะจิตเท่านั้น’

หลินสวินตระหนักได้ว่านี่จะเป็นการต่อสู้ที่ต่างไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิง สิ่งที่วัดไม่ใช่พลังปราณ ไม่ใช่พลังต่อสู้ที่มีแข็งแกร่งแค่ไหน

แต่เป็นการต่อสู้ระหว่างเจตจำนงและสภาวะจิต!

ในการต่อสู้ระดับนี้ วัตถุภายนอกทั้งหมดอย่างดาบหัก ศาสตราจักรพรรดิคุนหลุน ล้วนใช้ประโยชน์ไม่ได้ มีแต่ต้องอาศัยสภาวะจิตและจิตวิญญาณแห่งตนไปต้านทานเท่านั้น

คิดถึงตรงนี้หลินสวินก็คลายมือเท้า สลัดความคิดฟุ้งซ่าน เริ่มรุกต่อสู้

สภาวะจิตและเจตจำนง ล้วนเป็นพลังที่คลุมเครือเร้นลับยิ่ง ผลสะท้อนอย่างตรงไปตรงมาที่สุด ก็คือปณิธานและอานุภาพที่เผยออกมาในการต่อสู้!

ตูม!

ครู่ต่อมาหลินสวินเริ่มสู้กับชายสวมมงกุฎจักรพรรดินั่นแล้ว แสงมรรคกึกก้อง ประกายเทพพวยพุ่ง อานุภาพไร้ทัดเทียม

ปึงๆๆ!

ไม่นานหลินสวินก็ถูกกดดัน ถูกซัดถอยร่อนไม่หยุด

เงามายาสวมมงกุฎจักรพรรดินั่น เห็นชัดว่ากร้าวแกร่งและน่ากลัวไร้ใดเปรียบ แม้จะเป็นเจตจำนงที่แตกสลาย แต่ทุกท่วงท่าการเคลื่อนไหวล้วนมีอานุภาพกดครอบเวิ้งฟ้า

นั่นไม่ใช่มรรควิถีที่แท้จริง แต่เป็นการกำราบเจตจำนงอันบริสุทธิ์อย่างหนึ่ง แตกต่างจากการต่อสู้ในความหมายทั่วไปลิบลับ

นี่ก็ทำให้แม้หลินสวินจะถูกซัดถอยร่นบ่อยครั้ง แต่ทั่วร่างก็ยังไม่ได้รับบาดเจ็บ มีเพียงสภาวะจิตและจิตวิญญาณเท่านั้นที่ประสบแรงจู่โจมและกระหน่ำซ้ำๆ

หากเปลี่ยนเป็นคนทั่วไป พบเจอพลังโจมตีเช่นนี้ เจตจำนงและสภาวะจิตเกรงว่าคงถูกบดขยี้แหลก มรรควิถีแห่งตนคงมลายหายไปพร้อมกันนานแล้ว

แต่หลินสวินต่างออกไป ฝึกปราณจนถึงตอนนี้ เจตจำนงและสภาวะจิตของเขาผ่านการเคี่ยวกรำมาไม่รู้เท่าไหร่ แน่วแน่ดุจหินแกร่ง หมื่นกาลไม่สั่นคลอนนานแล้ว!

ทุกความคิดล้วนเจิดจ้าแวววาว ดั่งดาบดุจกระบี่

เหมือนอย่างตอนที่เคี่ยวกรำในหอหลอมจิตนครหยกขาวในดินแดนรกร้างโบราณสมัยยังเด็ก หลินสวินก็มีสภาวะจิตแข็งแกร่งที่ ‘ใจข้าดุจมีด สามารถฟาดฟันสุริยันจันทราเทพผี’ แล้ว!

และในช่วงหลายปีนี้ พร้อมๆ กับระดับปราณที่เพิ่มขึ้น บนมรรคาของเขาก็มาพร้อมกับการต่อสู้ไร้สิ้นสุดและลมคาวฝนเลือดแทบจะทุกโมงยาม

การเคี่ยวกรำจากเลือดและเปลวเพลิง การหล่อหลอมของความเป็นความตาย ก็ทำให้เจตจำนงของหลินสวินแน่วแน่ไม่สั่นคลอนนานแล้ว!

“ฆ่า!”

ทุกครั้งที่ถูกซัดถอย หลินสวินก็จะพุ่งมาอีกครั้ง ไม่ย่อท้อใดๆ ยิ่งพ่ายยิ่งกล้า ไม่ว่าจะเป็นสภาวะจิตหรือพลังเจตจำนง ล้วนไม่เคยถูกสั่นคลอน

พร้อมๆ กับเวลาที่เคลื่อนคล้อย จำนวนครั้งที่หลินสวินถูกซัดถอยร่นเริ่มลดน้อยลงอย่างช้าๆ

หนึ่งเค่อต่อมา

หลินสวินสามารถเข้าต้านชายสวมมงกุฎจักรพรรดิคนนั้นได้แล้ว การต้านทานเช่นนี้ เป็นการต้านทานด้านสภาวะจิตและพลังเจตจำนงโดยแท้!

หนึ่งก้านธูปต่อมา

หลินสวินซัดหมัดสังหารออกไป หมัดนี้รวมพลังเจตจำนงทั่วร่างของเขาเอาไว้ สภาวะจิตยิ่งจดจ่อและเยือกเย็นอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน ส่งผลให้หมัดนี้บังเกิดอานุภาพยิ่งใหญ่ที่ซัดกวาดทุกอย่าง ไม่มีสิ่งใดไม่พังทลาย

ตูม!

เงาร่างของชายมงกุฎจักรพรรดิระเบิดกระจุย

ไม่ได้แพ้ในการต่อสู้ประลองยุทธ์ แต่แพ้ในความมุ่งมั่นและเจตจำนงที่ประทับในหมัดนี้

ละอองแสงพร่างพรมทั่วฟ้า หลังเงาร่างชายมงกุฎจักรพรรดิสูญสลาย กลายเป็นละอองแสงพลังเจตจำนงอันบริสุทธิ์ ก็ถูกร่างของหลินสวินดูดกลืนจนหมด

ชั่วพริบตาหลินสวินดวงจิตผ่องแผ้ว สภาวะจิตเปล่งปลั่ง ราวดูดซับยาชูกำลังชั้นยอด จิตวิญญาณและสภาวะจิตเกิดการเปลี่ยนแปลงแสนวิเศษอัศจรรย์และเด่นชัด

‘ที่แท้การเอาชนะพลังเจตจำนงที่ยอดบุคคลยุคดึกดำบรรพ์เหล่านี้เหลือทิ้งไว้ ถึงกับยังได้รับผลดีเช่นนี้ด้วย…’

หลินสวินนัยน์ตาวาววับ

ไกลออกไปชายชุดเทาเห็นทุกอย่างนี้อยู่ในสายตา และอดอึ้งไปไม่ได้เช่นกัน

เขาดูแลอยู่ที่นี่มาแปดพันปี เคยพบเจอความความน่ากลัวของแดนผนึกมรรคนั่นมานานแล้ว ถึงขั้นรู้ชัดมองออกว่าพลังเจตจำนงของชายมงกุฎจักรพรรดินั่น ล้วนสามารถเทียบรัศมีกับระดับจักรพรรดิขั้นสองได้

แต่ตอนนี้ในการประลองด้านเจตจำนงและสภาวะจิต… กลับแพ้ให้มกุฎกึ่งจักรพรรดิคนหนึ่ง!

‘มิน่านายท่านถึงไม่ให้ขวางและไม่ให้ช่วย เจ้าหมอนี่เป็นปีศาจจริงๆ’ ชายชุดเทาทอดถอนใจในใจระลอกหนึ่ง

แต่แม้จะเป็นเช่นนี้ ชายชุดเทาก็ยังคงไม่คาดหวังกับหลินสวินตามเดิม

นี่เพิ่งแค่เริ่มต้น พลังเจตจำนงในแดนผนึกมรรคนั่นมีมากถึงสามสิบหกสาย ในนั้นไม่ขาดพวกร้ายกาจที่น่าสะพรึงไร้ที่เปรียบ!

ชายชุดเทาจำได้แม่น ในนั้นมีเศษเสี้ยวพลังเจตจำนงหนึ่ง เผยรูปร่างเป็นกระถางใหญ่ มีอานุภาพเหนือสุดที่ผงาดง้ำทั่วหล้า กำราบหมื่นกาลอยู่กลายๆ!

เจตจำนงกระถางใหญ่นั่น ก็เป็นเจตจำนงที่น่ากลัวที่สุดเช่นกัน!

ในเวลาเดียวกันนั้น ในที่สุดหลินสวินก็มีโอกาสสังเกตดูแดนผนึกมรรค

นี่คือโลกสีเลือดแถบหนึ่ง หมอกเลือดเวิ้งว้าง เข้ามาอยู่ในนี้แล้วทอดสายตามองรอบทิศ ไม่สามารถระบุทิศทางได้เลย เหมือนถูกเนรเทศมาในโลกหมอกพร่ามัว

ท่ามกลางความเลือนร่าง สามารถมองเห็นผนึกพลังระเบียบเป็นสายๆ กลายเป็นพลังเขตแดนลึกลับแผ่ครอบฟ้าดินแถบนี้เอาไว้ทั้งหมด

ไม่นานหลินสวินก็เห็นเงาร่างบางส่วน ล้วนประดุจภาพลวงตา เทียบผลุบโผล่อยู่ในพยับหมอกสีเลือดไกลโพ้น

หลินสวินใคร่ครวญครู่หนึ่งแล้วไม่ได้บุกอาดๆ

เขาหยุดเท้า ขณะที่รอคอยก็เริ่มฟื้นฟูพลังกายเต็มที่

สภาวะจิตและเจตจำนงจะได้รับอิทธิพลจากพลังกายเช่นเดียวกัน ยามเมื่อพลังกายอ่อนแอ สภาวะจิตและเจตจำนงก็จะสั่นคลอน เกิดความคิดฟุ้งซ่านสารพัด

เปรียบง่ายๆ กับหลังคนเจ็บป่วย สภาพจิตใจและอารมณ์ล้วนจะเอื่อยเฉื่อยอย่างเห็นได้ชัด

สำหรับหลินสวินแล้ว การเสริมพลังกายเวลานี้ก็เท่ากับเตรียมพร้อมสำหรับการต่อสู้ถัดไป จุดประสงค์ก็เพื่อเลี่ยงผลกระทบจากพลังกายในขณะที่สภาวะจิตและเจตจำนงกำลังต่อสู้

ไม่นานนักเงามายาสายหนึ่งก็พุ่งโฉบออกมาจากพยับหมอกสีเลือด นี่เป็นเงาสีน้ำเงินเข้ม รูปร่างอรชรอ้อนแอ้น ตอนมีชีวิตน่าจะงดงามเป็นที่สุด มีมาดงามสง่าสะท้านยุค

แต่เวลานี้กลับเป็นเพียงพลังเจตจำนงสายหนึ่ง เห็นได้ชัดว่าสลัวรางเลื่อนลอย ไม่อาจมองโฉมหน้าชัดเจนได้สักนิด

สวบ!

ทันทีที่ปรากฏ นางโบกมือฟันปราณกระบี่ออกมาสายหนึ่ง

หลินสวินเข้าต่อสู้ พริบตาเดียวก็ถูกฟันกระเด็น ร่ายกายไม่เคยบาดเจ็บ แต่สภาวะจิตและจิตวิญญาณกลับรู้สึกถึงการกรีดขาดเจ็บปวดจากการถูกกระบี่บินฟันอย่างหนึ่ง

‘หญิงผู้นี้แข็งแกร่งยิ่งกว่าชายมงกุฎจักรพรรดินั่นอีก!’ หลินสวินสูดหายใจลึก สภาวะจิตกระจ่างผ่องแผ้ว เจตจำนงแน่วแน่ดุจขุนเขา กระโจนตัวเข้าโจมตี

การต่อสู้ก่อนหน้านี้ทำให้เขาปรับตัวกับการต่อสู้ที่แปลกไปเช่นนี้ได้แล้ว

ตูมครืน!

ในฟ้าดินสีเลือดแสงมรรคไหลเวียน กึกก้องไม่หยุด

ขณะต่อสู้ สภาวะจิตและเจตจำนงของหลินสวินประดุจกระบี่มรรคคมกริบไร้ทัดเทียมเล่มหนึ่ง ต่อสู้เต็มกำลังกับเงาร่างสีน้ำเงินเข้มนั่น

การต่อสู้เช่นนี้เหมือนการตีหลอมกระบี่เล่มหนึ่ง เพียงแต่กระบี่เล่มนี้เป็นสภาวะจิตและเจตจำนงแห่งตน หากยืนหยัดไม่ไหวก็ลงเอยด้วยกระบี่แหลกคนตาย

หากยืนยหยัดได้ นั่นย่อมเป็นภาพที่กระบี่คมถูกตีหลอมขึ้นมาได้!

หลังผ่านไปครึ่งวันเต็ม สภาวะจิตและเจตจำนงถูกกระหน่ำโจมตีมากมาย สีหน้าหลินสวินซีดขาวชัดเจน ในที่สุดก็เอาชนะคู่ต่อสู้ได้

ตูม!

เงาร่างสีน้ำเงินเข้มสายนั้นสลายเป็นละอองเจตจำนงบริสุทธิ์

หลินสวินที่ทั้งร่างกายและจิตใจต่างอ่อนเพลียอาบชโลมกลางละอองแสง สภาวะจิตและเจตจำนงประดุจได้อาบไล้กลางฝนวสันต์ชุ่มฉ่ำ ได้รับการเปลี่ยนแปลงและฟูมฟักอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน

รสชาตินั้นทำให้เขารู้สึกเหมือนเสพติด มัวเมาไปกับมัน ทุกอณูทั่วร่างล้วนเกิดความสั่นสะท้านที่สดชื่นเบิกบานอย่างหนึ่ง

“ตัวที่สองแล้ว…”

ไกลออกไปชายชุดเทาสายตาไหววูบ “คาดเดาเช่นนี้ สภาวะจิตและเจตจำนงของเจ้าหมอนี่สามารถเทียบได้กับพวกชั้นยอดในระดับจักรพรรดิขั้นสองแล้ว… ก็ไม่รู้ว่านายท่านไปหาสัตว์ประหลาดเช่นนี้มาจากไหน…”

ชายชุดเทาดูแลอยู่ที่นี่แปดพันปี เท่ากับตัดขาดจากโลกไปแล้ว ไม่รู้เลยว่าไม่ว่าจะเป็นในโลกมืดตอนนี้หรือโลกอื่นๆ บนทางเดินโบราณฟ้าดารา ชื่อของหลินสวินก็เป็นบุคคลที่ดุจตะวันกลางฟ้านานแล้ว

แต่แม้จะไม่รู้เรื่องพวกนี้ ด้วยประสบการณ์ฝึกปราณนานปีของเขาก็ยังตัดสินได้ว่า ปีศาจเย้ยฟ้าเช่นนี้ต้องหายากในโลก ยากพบพานในอดีตกาลอย่างแน่นอน!

เมื่อนึกถึงตรงนี้ชายชุดเทาอดนึกเสียดายขึ้นมาไม่ได้ เอ่ยเตือนอย่างอดไม่อยู่ “สหายน้อย เจ้าพิสูจน์ความแข็งแกร่งแห่งตนแล้ว หากยืนกรานต่อไปจะไม่มีทางให้หันกลับแล้ว ถึงตอนนั้นมีเพียงผลลัพธ์สองอย่าง ไม่ทะลวงผ่านแดนผนึกมรรค ก็ต้อง… ตาย!”

“ปีนป่ายมหามรรค ไหนเลยจะมีทางหันกลับให้เลือก ผู้อาวุโสไม่ต้องเป็นห่วง เรื่องเป็นตายข้าไม่เก็บมาใส่ใจนานแล้ว”

เสียงของหลินสวินลอยออกมา

เขากำลังเร่งฟื้นฟูพลังกาย

“เฮ้อ”

ชายชุดเทาถอนใจยาว รู้ว่าต่อให้เตือนอีกก็เสียแรงเปล่า

เวลาหนึ่งก้านธูปต่อมา

เงาร่างเจตจำนงสายที่สามปรากฏขึ้น นี่เป็นเงาร่างมโหฬารที่อาบชโลมในสายฟ้าสีเงิน ดุจเทพศักดิ์สิทธิ์ควบคุมทัณฑ์อสนีแห่งสวรรค์ เต็มไปด้วยอานุภาพทำลายล้างเทียมฟ้า

หลินสวินต่อสู้กับมัน โรมรันเป็นเวลาหนึ่งวันเต็มกว่าจะเอาชนะอีกฝ่ายได้

และหลินสวินในยามนี้ สภาวะจิตและเจตจำนงก็เกือบถึงพังทลายแล้วเช่นกัน

เหนื่อยล้ากายใจสุดแสน ทั้งร่างเริ่มออกอาการสั่นสะท้าน สติพร่าเลือน

แม้ร่างกายจะสมบูรณ์ไม่บุบสลาย แต่เพราะสูญเสียพลังกายมหาศาล ทำเอาผิวหนังทุกอณูล้วนเจ็บปวดเกินทน เหมือนถูกจับแยกร่างไม่มีผิด

เขานั่งขัดสมาธิเงียบๆ หลังจากเจตจำนงสายฟ้าสีเงินนั่นถูกซัดทลาย พลังเจตจำนงบริสุทธิ์ที่แปรสภาพออกมาเหล่านั้นถูกร่างกายเขาดูดซับอย่างละโมบบ้าคลั่ง ยังผลให้สภาวะจิตและเจตจำนงเกิดการเปลี่ยนแปลงละเอียดอ่อนอย่างหนึ่ง

แต่ทั้งหมดนี้หลินสวินก็ไม่มัวมาเสพสุขแล้ว เขาจำเป็นต้องฟื้นฟูพลังกายอย่างเร่งด่วนก่อนที่คู่ต่อสู้คนถัดไปจะปรากฏตัว!

หากหลินสวินเดาไม่ผิด คู่ต่อสู้คนที่สี่คงจะปรากฏตัวหลังผ่านไปหนึ่งก้านธูป เหมือนกับคู่ต่อสู้หลายคนก่อนหน้านี้

นี่ก็หมายความว่า เวลาที่เหลือให้เขาฟื้นฟูก็มีแค่หนึ่งก้านธูปเท่านั้น!

ดังคาด เวลาหนึ่งก้านธูปพอดิบพอดี คู่ต่อสู้คนที่สี่ปรากฏตัวขึ้น

นั่นเป็นชายที่สวมชุดนักพรตคนหนึ่ง เหนือศีรษะปรากฏลายยอดเอกอุฟ้าประทานที่แปรสภาพมาจากพลังเจตจำนง!