อู๋ตงไห่นิ่งคิด แล้วกล่าวว่า “เดิมทางใต้ก็ไม่มีแร่ถ่านหินเท่าไหร่ ดังนั้นฉันจึงไม่รู้จักใครที่ทำเหมืองถ่านหิน”

พูดถึงตรงนี้ จู่ๆ เขาก็นึกอะไรออก จึงยิ้มกล่าวว่า “แต่ฉันกลับมีเพื่อนสมัยเด็กอยู่คน ที่บ้านทำโรงงานอิฐ ทำงานในโรงงานอิฐ เทียบกับทำในเหมืองถ่านหินแล้ว ไม่สบายไปกว่ากันเลยสักนิด สามารถนำแม่ยายของเย่เฉินส่งใช้แรงงานที่นั่นได้!”

เซียวฉางเฉียนพลันยิ้มกล่าวว่า “อั้ยย่ะประธานอู๋ นี่มันช่างยอดเยี่ยมจริงๆ หญิงชั่วแบบนี้ก็สมควรโยนเข้าไปในโรงอิฐนี่แหละ!”

กล่าวจบ เขาก็รีบถามอีกว่า “ประธานอู๋ คุณว่าคุณสะดวกจะบอกที่อยู่ของเพื่อนคนนี้ของคุณกับผมได้ไหม หลังผมให้คนจัดการหม่าหลันเสร็จแล้ว ก็จะส่งไปที่นั่นทันที!”

“ไม่รีบ!” อู๋ตงไห่ยิ้มเย็นกล่าวว่า “ฉันกับเย่เฉินมีความแค้นลึกล้ำกันอยู่ ตอนนี้ฉันเพิ่งจะมาถึงจินหลิงพอดี เรื่องบันเทิงใจเช่นนี้ ไม่มีเหตุผลให้พลาด นายจับเธอมัดเอาไว้ก่อน ถึงเวลาส่งที่อยู่มาให้ฉัน ฉันจะไปที่นั่นยืนยันกับตาตนเอง!”

เซียวฉางเฉียนรับปากอย่างรวดเร็ว “ประธานอู๋คุณวางใจ ผมจะต้องจัดการเรื่องนี้อย่างเหมาะสมแน่นอน ถึงเวลาจะโทรตามให้คุณมายืนยันเองกับตา!”

อู๋ตงไห่ส่งเสียงอืมตอบรับ ยิ้มกล่าวว่า “เอาล่ะ ฉันยังมีธุระต้องจัดการ หลังนายจัดการเสร็จแล้วก็โทรหาฉัน”

“ได้ครับ ประธานอู๋!”

ทางเซียวฉางเฉียนเพิ่งจะวางสาย ก็รีบกล่าวกับทุกคนอย่างระงับความตื่นเต้นไม่อยู่ “ประธานอู๋บอกว่าเขามีเพื่อนที่เปิดโรงงานอิฐอยู่คนหนึ่ง รอพวกเราจับหม่าหลันไว้ หลังจัดการเธอตามแผนแล้ว ก็รีบส่งเธอไปที่โรงงานอิฐทันที ให้เธอใช้แรงงานอยู่ในโรงงานอิฐไปตลอดชีวิต!”

พอเฉียนหงเย่นได้ยินเช่นนี้ ในใจพลันรู้สึกว่าไม่ยุติธรรมเป็นอย่างยิ่ง เธอพูดอย่างโมโหว่า “ตอนนั้นที่ฉันไปเป็นเหมืองถ่านหิน ทำไมหม่าหลันถึงไปโรงงานอิฐได้ล่ะ! แบบนี้เธอก็สบายเลยสิ!”

เซียวฉางเฉียนถลึงตาใส่เธอแวบหนึ่ง พูดโพล่งออกมาว่า “เธอจะไปเข้าใจอะไร! โรงงานอิฐลำบากกว่าเหมืองถ่านหินเสียอีก แม้เหมืองถ่านหินจะสกปรก เหนื่อย แต่อย่างน้อยหน้าหนาวก็อุ่นหน้าร้อนก็เย็น ส่วนโรงงานอิฐไม่เหมือนกัน หนึ่งปีสี่ฤดูใช้แต่ไฟเผาอิฐ แค่ความร้อนก็รับไม่ไหวแล้ว มิหนำซ้ำงานขนอิฐไม่ได้สบายไปกว่างานขุดเหมืองเลย สรุปแล้ว โรงงานอิฐลำบากกว่าเหมืองถ่านหิน!”

แบบนี้ในใจเฉียนหงเย่นค่อยสบายขึ้นมาหน่อย

แต่เธอยังมีคำถามหนึ่งอยากถาม แต่พอมาถึงปากก็กลืนกลับไป

ด้วยเหตุนี้จึงได้แต่ลอบไตร่ตรองอยู่ในใจ “เฮ้อ ไม่รู้ว่าหลังหม่าหลันถูกส่งไปโรงงานอิฐแล้ว จะได้พบคนคุมงานชีกอสักคนหรือไม่ หากได้พบ นั่นคงจะเยี่ยมไปเลย ทางที่ดีให้เธอติดโรคแล้วค่อยท้องเด็กสักคนจะดีที่สุด!”

เวลานี้

ณ ห้องสูทของโรงแรมป๋ายจินฮ่านกง

เย่ฉางหมิ่นกำลังต่อสายโทรศัพท์ เพื่อโทรรายงานสถานการณ์กับคุณท่านใหญ่เย่โจงฉวน

ในสายสนทนา เธอบรรยายถึงเย่เฉินว่าเป็นคนเลวนิสัยไร้เหตุผล โมโหง่าย สันดานต่ำตม ไม่เห็นใครอยู่ในสายตา แถมยังเน้นกับเย่โจงฉวนอยู่ตลอดเวลา “พ่อ เย่เฉินเจ้าหมอนี่หลายปีมานี้คงไม่ได้รับการสั่งสอนอะไร สันดานต่ำตมเป็นที่สุด พ่อห้ามให้เขากลับตระกูลเย่นะคะ ไม่อย่างนั้นล่ะก็ หน้าตาของตระกูลเย่เราได้ถูกเขาทำลายหมดพอดี!”

เย่โจงฉวนฟังคำรายงานที่เธอเสริมเติมแต่งจบ ก็กล่าวเรียบๆ ว่า “ฉางหมิ่น พ่อคิดว่าลูกฉลาดมากมาตลอด คิดไม่ถึงว่าจะถูกอารมณ์ครอบงำได้ง่ายดายขนาดนี้ ช่างทำให้พ่อผิดหวังจริงๆ!”

พอเย่ฉางหมิ่นได้ยินเช่นนี้ พลันเคร่งเครียดขึ้นมาทันที ถามโพล่งออกมาว่า “พ่อ หนู…หนูแย่ตรงไหนกัน?”

เย่โจงฉวนกล่าวเสียงเย็น “แกยังไม่เข้าใจอีกเหรอว่าทำไมฉันถึงอยากให้เฉินเอ๋อกลับมา?”

เย่ฉางหมิ่นพูดอย่างคับข้องใจว่า “พ่อ…หนูไม่อาจเข้าใจได้จริงๆ หากให้หนูพูด เย่เฉินสันดานต่ำขนาดนี้ พวกเราไม่เพียงไม่อาจให้เขากลับมา ยังต้องขีดเส้นกั้นระหว่างเขาให้ชัดเจนด้วย!”

เย่โจงฉวนแค่นเสียงออกมา กล่าวว่า “ตอนนี้สิ่งที่ฉันต้องการ คือให้หลานคนใดคนหนึ่งของฉัน ไปแต่งงานกับซูจือหยูของตระกูลซู หรือไปแต่งงานกับกู้ชิวอี๋ของตระกูลกู้ ตอนนี้เห็นทีคงมีเพียงเฉินเอ๋อที่มีโอกาสมากที่สุด!”