เมฆหมอกพันพัว ตำหนักอันโอฬารหาใดเทียบหลังหนึ่งตั้งตระหง่านท่ามกลางความว่างเปล่า

แสงเทพอบอวล แสงมรรคหนาแน่น ระเบียบต้นกำเนิดมหามรรคอันลึกลับเหมือนแสงอุษามากมายสายโรยตัวลงมาจากตำหนักนั้น

ที่นี่เป็นดั่งตำหนักเทพอันเป็นที่สถิตของเทพเทวา!

“ที่นี่ที่ไหน”

“กลิ่นอายต้นกำเนิดมหามรรคหนาแน่นนัก!”

“ในแดนปรินิพพานมีตำหนักเทพเช่นนี้ได้อย่างไร”

เสียงเซ็งแซ่ดังขึ้น แล้วก็พบว่ารอบๆ ตำหนักใหญ่โตมหึมานั้นมีเงาร่างไม่รู้เท่าไรกระจายอยู่แน่นขนัดจนมองไม่เห็นจุดสิ้นสุด!

คนเหล่านี้ล้วนเป็นผู้แข็งแกร่งที่มีคุณสมบัติเข้าสู่แดนปรินิพพาน

ทว่าขณะนี้พวกเขาต่างงุนงง ฉงนใจไม่ว่างเว้น

เพราะทันทีที่เข้าสู่แดนปรินิพพาน พวกเขาก็พากันเคลื่อนตัวมาถึงที่แห่งนี้

นอกจากตำหนักเทพหลังหนึ่งแล้วก็ไม่เห็นทิวทัศน์อื่นใดอีก มีแต่หมอกหนาทึบทั่วไปหมด นี่ทำให้รู้สึกกระวนกระวายใจอย่างอดไม่ได้

“ดูนั่นเร็ว นั่นมันผู้สืบทอดเรือนมรรคดึกดำบรรพ์ พวกเขารวมตัวกันแล้ว”

มีคนอุทาน

สายตามากมายเห็นว่าชายหญิงผู้บุคลิกไม่ธรรมดา สง่างามเกินคนทั่วไปจำนวนหนึ่งรวมตัวกัน เป็นผู้แข็งแกร่งเรือนมรรคดึกดำบรรพ์

“ผู้สืบทอดจากเรือนมรรคยุทธจักร จักรวาล เหล่ามาร โลกาสวรรค์ก็มาด้วย…”

“แถมยังมีสิบเผ่านักรบใหญ่ รวมทั้งพวกร้ายกาจจากเผ่าจักรพรรดิดึกดำบรรพ์จำนวนหนึ่ง!”

ท่ามกลางบรรยากาศยุ่งเหยิง ผู้แข็งแกร่งที่มายังแดนปรินิพพานเหล่านี้เริ่มพากันรวมกลุ่มแบ่งพวก เข้าไปรวมตัวกับคนจากขุมอำนาจเดียวกันกับตน

แดนปรินิพพานเป็นโลกปริศนาแห่งหนึ่ง ไม่เคยปรากฏมาหมื่นกาล แม้ที่นี่จะมีวาสนาที่ยากจินตนาการอยู่ แต่ก็เต็มไปด้วยอันตรายหาใดเทียบ ใครก็ไม่กล้าเลินเล่อ

ตอนที่สามารถเกาะกลุ่มพึ่งพิงกันได้ ย่อมไม่ไปไหนมาไหนเพียงลำพัง

พอเวลาผ่านไปบรรยากาศก็เงียบสงบลงช้าๆ ถึงกับกดดันอยู่บ้าง

ผู้แข็งแกร่งที่กระจายอยู่ตามบริเวณต่างๆ มาจากขุมอำนาจใหญ่ของทั่วหล้าฟ้าดารา บ้างเป็นผู้ฝึกยุทธ์ระดับห้าล่าง ราชันอมตะ ระดับอริยะ กึ่งจักรพรรดิ…

ย่อมมีการกดดันและข่มกันระหว่างระดับต่างๆ เป็นธรรมดา

ขุมอำนาจบางกลุ่มในนั้นถึงกับเป็นศัตรูกัน อยู่ในฟ้าดินเดียวกันย่อมไม่ต่างอะไรกับได้พบศัตรู

ถ้าไม่ใช่ว่าคลำสถานการณ์ไม่ถูก เกรงว่าคงลงมือไปนานแล้ว

ที่นี่… มันที่ไหนกันแน่

สายตาทุกคู่แทบจะประเมินตำหนักเทพที่อยู่ไกลหลังนั้นอยู่แทบทั้งนั้น ไม่รู้ว่ามันสูงเพียงใด ใหญ่โตเพียงไหน โอฬารและศักดิ์สิทธิ์เช่นไร

พลังระเบียบมหามรรคปกคลุมอยู่บนนั้น ละอองแสงลอยละล่อง ทำให้ตำหนักเทพหลังนี้ดูลึกลับหาใดเทียบ

แต่ไม่ว่าพวกเขาจะประเมินอย่างไรก็มองความจริงไม่ออก

“ถ้าบุคคลระดับจักรพรรดิอยู่ที่นี่อาจจะมองทะลุที่มาที่ไปบางอย่างได้ก็ได้”

มีคนเอ่ยเสียงเบาอย่างห้ามไม่อยู่

“เอ๊ะ ใช่แล้ว เฒ่าชราระดับจักรพรรดิพวกนั้นล่ะ”

มีคนตกตะลึง

คำพูดเดียวปลุกทุกคนให้ตื่นจากภวังค์ ผู้แข็งแกร่งทุกคนจึงพบว่าฟ้าดินแห่งนี้กลับไม่มีระดับจักรพรรดิปรากฏตัวสักคน!

ภาพอันพิสดารนี้ทำให้หลายคนต่างเกร็งในใจ

แม้แต่ผู้สืบทอดจากขุมอำนาจใหญ่อย่างหกรือนมรรคใหญ่กับสิบเผ่านักรบใหญ่ยังหน้าเปลี่ยนสี

ที่พึ่งที่ใหญ่ที่สุดของพวกเขาก็คือผู้อาวุโสระดับจักรพรรดิในสำนัก เดิมคิดว่าจะให้ผู้อาวุโสเหล่านี้เป็นผู้นำ อย่างน้อยก็มีสิ่งคุ้มครองเพิ่มในแดนปรินิพพานอันลึกลับเป็นปริศนาได้บ้าง

ใครจะคิดได้ว่า…

ผู้อาวุโสระดับจักรพรรดิของพวกเขาเหล่านั้นต่างไม่ปรากฏตัวสักคน!

นี่ย่อมเป็นเรื่องเหนือความคาดหมายที่ไม่อาจคาดคิดได้ของใครๆ ทั้งยังทำให้ทุกคนยิ่งฉงนใจไม่ว่างเว้นอย่างไม่ต้องสงสัย

สวบ!

จู่ๆ ก็มีคนทะยานขึ้นฟ้า แปลงร่างเป็นรุ้งเทพสายหนึ่งพุ่งไปยังตำหนักเทพที่อยู่ไกลออกไปนั้น

ภาพนี้ทำให้ผู้แข็งแกร่งมากมายกระสับกระส่าย หมายใจจะลองดู หรือพูดได้ว่าเดิมทีพวกเขาก็คิดจะไปสืบข้อเท็จจริงของตำหนักเทพนั่นเช่นกัน

เผียะ!

กลับพบว่าเงาร่างนั้นยังไม่ทันเข้าใกล้ก็ถูกโซ่เทพที่แปลงจากระเบียบมหามรรคเส้นหนึ่งฟาดใส่ ตัวเขาถูกกระแทกกระเด็นออกไป ล้มลงมาหัวแตกเลือดไหล ยับเยินเป็นที่สุด

เสียงสูดหายใจเย็นระลอกหนึ่งดังขึ้น

ผู้คนจำได้ว่าเงาร่างนั้นเป็นมกุฎกึ่งจักรพรรดิผู้หนึ่งมาจากเผ่าจักรพรรดิดึกดำบรรพ์สักเผ่า ในฟ้าดินที่ไม่มีระดับจักรพรรดิปรากฏตัวสักคน เรียกได้ว่าเป็นผู้อยู่ระดับสูงสุดแล้ว

แต่ตอนนี้กลับถูกซัดกระเด็นกลับมาเหมือนแมลงวันอ่อนแอ!

ทันใดนั้นทั้งที่นั้นเงียบสงัด ขณะนี้เหล่าผู้กล้าที่เดิมหมายจะลงมือล้วนล้มเลิกความคิดที่จะไปสืบดู

“ทางเข้าแดนปรินิพพานยังไม่ปิด ตำหนักเทพนั่นคงยังไม่ถึงเวลาเปิด”

ทางฝั่งเรือนมรรคยุทธจักร หมีอู๋หยาที่เงาร่างสูงโปร่ง แววตาแจ่มใสเอ่ยราบเรียบ

“ไม่พูดเรื่องอื่น ตอนนี้ที่แน่ใจได้คือคนที่อยู่ระดับจักรพรรดิขึ้นไปคงถูกเคลื่อนย้ายไปบริเวณอื่นของแดนปรินิพพานแห่งนี้”

เสียงสนทนาเบาๆ ดังขึ้น ต่างคนต่างรอคอยอยู่เงียบๆ

จู่ๆ ก็มีคนเอ่ยถามว่า “ใครรู้บ้างว่าผู้ร้ายในหมายจับฟ้าดารานั่นมาหรือยัง”

แม้ไม่ได้ขานชื่อ แต่ทุกคนในที่นั้นยังเดาออกได้ในชั่วพริบตาว่าพูดถึงใคร สีหน้าต่างไปจากเดิมทันที

สายตาบางคู่มองไปยังคนที่เอ่ยถามคนนั้น แล้วมองออกว่านั่นเป็นกึ่งจักรพรรดิคนหนึ่งจากเรือนมรรคดึกดำบรรพ์ มีนามว่าอวี่เหวินปิน

“ถ้าเขามา ชีวิตน้อยๆ ของเจ้าได้หาไม่เพราะคำพูดนี้แน่”

มีคนแค่นหัวเราะ

ประโยคเดียวทำให้ผู้แข็งแกร่งเรือนมรรคดึกดำบรรพ์เหล่านั้นต่างนิ่วหน้า แววตาเย็นชาขึ้นมา ยังมีคนกล้าพูดกับคนของพวกเขาแบบนี้ด้วยหรือนี่

รนหาที่ตายหรือไง

ไม่นานนักพวกเขาก็เห็นคนที่พูดคนนั้น เป็นชายหนุ่มที่ท่างทางเอื่อยเฉื่อย ดูไม่จริงจังอย่างกับเด็กหนุ่มคนหนึ่ง

“เสวียนจิ่วอิ้น ทายาทสายตรงของหัวหน้าตระกูลเสวียน!”

ทั้งที่นั้นระส่ำระสายไปครู่หนึ่ง จำฐานะของเด็กหนุ่มในชุดผ้าป่านนั้นได้

ก็เห็นอวี่เหวินปินเอ่ยอย่างเย็นชาว่า “ในการประชันหมากครั้งใหญ่ครั้งนั้น เจ้าก็สมคบคิดกับผู้ร้ายในหมายจับนั่น มาตอนนี้ยังพูดแทนเขา หรือตระกูลเสวียนของเจ้าคิดจะฝ่าฝืนบัญชาของจักรพรรดิสวรรค์ดำรง”

ประโยคเดียวโยนความผิดสถานใหญ่ให้ทันที!

เสวียนจิ่วอิ้นกลอกตา ยื่นมือไปชี้อวี่เหวินปินแล้วพูดว่า “จากคำพูดนี้ ที่แดนปรินิพพานครั้งนี้เจ้าตายแน่”

อวี่เหวินปินสีหน้าเปลี่ยนเป็นเป็นไม่น่าดูขึ้นมา ภายใต้สายตามากมายที่จับจ้อง ถูกคนมาชี้ข่มขู่เช่นนี้ ทำให้เขาขายหน้าอยู่บ้าง

เขากำลังจะพูดอะไรก็ถูกคนในสำนักเดียวกันที่อยู่ข้างกายรั้งไว้

ผู้แข็งแกร่งจากขุมอำนาจต่างๆ ของทั่วหล้าฟ้าดารากระจายตัวอยู่ที่นี่แทบทั้งนั้น ทันทีที่ลงมือ เป็นไปได้สูงมากที่จะก่อให้เกิดความยุ่งยากโดยไม่จำเป็นบ้าง

อีกทั้งตอนนี้ยังไม่เข้าใจสถานการณ์ของฟ้าดินแห่งนี้ บุ่มบ่ามก่อเกิดเรื่องไม่ฉลาดอย่างไม่ต้องสงสัย

“สวะ”

เห็นอีกฝ่ายไม่พูดจา เสวียนจิ่วอิ้นก็แสยะยิ้ม สีหน้าดูแคลนไปหมด ทำให้อวี่เหวินปินโมโหจนหน้าดำหน้าแดง กัดฟันไม่หยุดหย่อน

“เจ้าก็พูดให้น้อยหน่อยเถอะ” หลิงเคอจื่อก็เอ่ยเตือนอย่างอดไม่ได้อยู่ข้างเสวียนจิ่วอิ้น “ดูตาม้าตาเรือหน่อย ถ้าเกิดการต่อสู้ขึ้น ข้า… จะช่วยอะไรเจ้าไม่ได้นะ”

เสวียนจิ่วอิ้นพูดอย่างไม่สบอารมณ์ “ดูท่าทางขี้ขลาดของเจ้าสิ! ไม่เห็นหรือว่าข้าเรียกร้องความยุติธรรมให้หลินสวิน นั่นเป็นถึงสหายของพวกเรานะ!”

ก็ในตอนนี้เองเสียงเย็นชาต่ำลึกเสียงหนึ่งก็ดังขึ้น “พูดแบบนี้ เจ้าจะยืนอยู่ฝั่งเดียวกับผู้ร้ายในหมายจับนั่นโดยไม่สนใจสิ่งใดแล้วหรือ”

ฟากสำนักโบราณจรัสเทพ ชายหนุ่มเคร่งขรึมแต่งกายชุดดำ ผิวขาวซีดคนหนึ่งเอ่ยปาด ดวงตาทั้งสองมีเพลิงเทพสีหยกแปลกประหลาดเรื่อเรือง

เฟิงหลัวจื่อ!

บุคคลระดับมกุฎกึ่งจักรพรรดิสามชั้นฟ้าคนหนึ่ง!

หลายคนจำฐานะของคนผู้นี้ได้ ดวงตาหดเกร็งกันหมด

ในที่นั้นแม้มีผู้แข็งแกร่งจากแดนต่างๆ ในฟ้าดารารวมตัวกัน แต่ที่บรรลุระดับมกุฎกึ่งจักรพรรดิได้มีเพียงกลุ่มเล็กเท่านั้น

และเฟิงหลัวจื่อก็ไม่อาจเทียบกับมกุฎกึ่งจักรพรรดิทั่วไป

“เรื่องของข้า เกี่ยวอะไรกับเจ้า”

เสวียนจิ่วอิ้นกลับไม่กลัวเลย วาจาแข็งกร้าว

“ผู้ร้ายในหมายจับนั่นเป็นศัตรูของสำนักโบราณจรัสเทพของพวกเรา และยังเป็นศัตรูของทั่วหล้าฟ้าดาราแห่งนี้ด้วย ในเมื่อเจ้ายืนอยู่ฝั่งเดียวกับเขา เช่นนั้นก็เป็นศัตรูของพวกเราทุกคน”

เฟิงหลัวจื่อเดินมา แววตาเหี้ยมเกรียมน่าสะพรึงกลัว “ยิ่งไปกว่านั้น นี่เป็นถึงแดนปรินิพพาน คิดจริงๆ หรือว่าอาศัยฐานะลูกหลานตระกูลเสวียนก็จะไม่มีใครมาจัดการเจ้า”

เสียงเผยแววเย็นยะเยือก ทำให้บรรยากาศที่นี่ตึงเครียดไปหมด ผู้แข็งแกร่งหลายคนต่างหลีกทางให้ ไม่กล้าขวางไม่ให้เฟิงหลัวจื่อเดินหน้า

ขณะนี้สายตาทั้งที่นั้นต่างมองมาทางนี้

เหล่าผู้สืบทอดเรือนมรรคดึกดำบรรพ์อย่างอวี่เหวินปินต่างมีความสุขที่เห็นคนอื่นเป็นทุกข์อย่างห้ามไม่ได้

เสวียนจิ่วอิ้นผู้นี้ก็โง่เขลาเสียจริง ใต้หล้าตอนนี้ใครยังกล้าข้องแวะกับหลินสวิน หลบยังหลบไม่ทันเลย

แต่ดูเขาสิ ไปเรียกร้องความเป็นธรรมให้หลินสวินต่อหน้าเหล่าผู้กล้า นี่มันกระโดดเข้ากองไฟเองชัดๆ!

“เอ๋ เจ้าหมอนี่จะลงมือ พวกเราถอยก่อนไหม” หลิงเคอจื่อถามอย่างอดไม่ได้

“ถอยให้โง่”

เสวียนจิ่วอิ้นจ้องเฟิงหลัวจื่อที่เดินมา เอ่ยง่ายๆว่า “เจ้าก็อยู่เฉยๆ ดูซิว่าข้าจะฆ่าเจ้าทุเรศที่มาหาที่ตายถึงที่นี่อย่างไร”

“เจ้าทุเรศหรือ”

ไอสังหารฉายวาบในส่วนลึกของดวงตาเฟิงหลัวจื่อ เงาร่างหายลับไปจากที่เดิมทันที

ครู่ต่อมาเขาก็ปรากฏตัวอยู่ตรงหน้าเสวียนจิ่วอิ้น นิ้วมือดุจดาบเหนี่ยวนำไอแหลมคมเปล่งประกายหาใดเทียบแทงไปที่คอเสวียนจิ่วอิ้นอย่างจัง

เร็ว!

เร็วจนเหลือเชื่อ!

มกุฎกึ่งจักรพรรดิสามชั้นฟ้าคนหนึ่งออกโจมตี ความกล้าแข็งของอานุภาพและความรวดเร็วทำให้คนส่วนใหญ่ในที่นั้นถึงกับไม่ทันได้ตอบสนอง

เหล่าบุคคลแห่งยุคที่สามารถจับภาพนี้ได้ พอได้เห็นภาพนี้เข้าก็หวาดหวั่นใจอย่างห้ามไม่ได้

เสวียนจิ่วอิ้นย่อมไม่อาจนอนรอความตาย เขาก็บรรลุมกุฎกึ่งจักรพรรดิตั้งแต่สมัยเขตต้องห้ามเซียนโบราณแล้วเช่นกัน ทั้งยังเหยียบย่างเข้าสู่ขั้นสามชั้นฟ้าเหมือนกันด้วย

ดังนั้นเมื่อเผชิญหน้ากับเฟิงหลัวจื่อ การตอบสนองของเขาเรียกได้ว่ารวดเร็ว ปลายนิ้วมือขวาที่รวบอยู่ในแขนเสื้อมีไอสีขาวดำปรากฏ

เพียงแต่ในตอนที่เขากำลังจะลงมือนี้เอง

เงาร่างของเฟิงหลัวจื่อพลันหยุดชะงักอยู่กลางอากาศ ทั้งตัวเขาถูกมือใหญ่มือหนึ่งหิ้วขึ้นมา ใบหน้าอัดอั้นจนแดงเป่ง แววตาเต็มไปด้วยความตกตะลึง

เขายิ่งดิ้นรนอย่างบ้าคลั่ง แต่มรรควิถีทั้งตัวถูกผนึกไว้มั่น ร่างกายไม่อาจขยับได้!

ภาพที่เกิดขึ้นกะทันหันนี้ทำให้เสวียนจิ่วอิ้นอึ้งไป ทั้งยังทำให้ผู้แข็งแกร่งทั้งที่นั้นต่างรู้สึกไม่ทันตั้งตัว ในใจสั่นสะท้าน

เฟิงหลัวจื่อเป็นถึงระดับมกุฎกึ่งจักรพรรดิสามชั้นฟ้า แต่ชั่วพริบตากลับถูกจับไว้เหมือนลูกไก่!

ก็ตอนนี้เอง ผู้คนถึงมองเห็นคนที่มาเยือนได้ชัดเจน เสื้อผ้าสีขาวพระจันทร์ทั้งชุด ผมดำปลิวสยาย เงาร่างสูงโปร่ง ราบเรียบดุจเมฆไหลเคลื่อน โดดเด่นเหนือธรรมดา

“หลินสวิน!”

เสียงอุทานเสียงหนึ่งดังขึ้น ราวกับสายฟ้าฟาดทำลายความเงียบของฟ้าดินแห่งนี้ ทำให้ใจทุกคนปั่นป่วน และทำให้พวกเขาต่างหน้าเปลี่ยนสีไปด้วย

เจ้าคนที่ถูกจักรพรรดิสวรรค์ดำรงสั่งจับด้วยตัวเอง ถึงกับกล้ามาแดนปรินิพพานแห่งนี้จริงหรือนี่

ใครก็คิดไม่ถึง!

——