ตอนที่ 2149 วัฏจักรกำลังภายใน

Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์

หลินสวิน!

คนที่เคยเห็นหลินสวินบนโลกนี้จริงๆ มีไม่มาก แต่ชื่อของเขากลับเรียกได้ว่ารู้จักกันทั่วหล้า

ก็ในตอนนี้เอง เมื่อได้รู้ว่าชายหนุ่มที่จู่ๆ ก็ปรากฏตัวแล้วจับเฟิงหลัวจื่อไว้ ก็คือผู้สืบทอดคีรีดวงกมลในข่าวลือคนนั้น หลายคนยังเผยสีหน้าตกตะลึง

ส่วนคนที่คุ้นเคยกับหลินสวินอย่างหมีอู๋หยา หลิงหงจวง จินเทียนเสวียนเยวี่ย เสวียนจิ่วอิ้น หลิงเคอจื่อ ก็รู้สึกประหลาดใจเช่นกัน

เพราะพวกเขาก็คิดไม่ถึงว่าหลินสวินจะมาจริงๆ!

บรรยากาศเงียบสงัดกดดัน ขณะนี้สายตานับไม่ถ้วนจับจ้องมาที่หลินสวินเพียงคนเดียว

ทั้งเป็นปรปักษ์ หวาดกลัว แค้นเคือง…

ทั้งสั่นสะท้าน ตกตะลึง สงสัย…

ด้านเฟิงหลัวจื่อในตอนนี้หน้าบวมเป่งเป็นสีเลือดหมู ดวงตาเต็มไปด้วยความพรั่นพรึง

ถ้าเปลี่ยนเป็นคนอื่นเขาคงส่งเสียงขู่ เอาชื่อสำนักโบราณจรัสเทพมาข่มอีกฝ่าย แต่เมื่อเผชิญหน้ากับหลินสวินก็ใช้ไม่ได้ผลอยู่แล้ว

หลายปีมานี้ไม่ว่าจะเป็นที่ทางเดินโบราณฟ้าดาราหรือโลกมืด ยังไม่เคยมีคนที่หลินสวินผู้สืบทอดคีรีดวงกมลไม่กล้าฆ่า!

อย่างมหาจักรพรรดิปาฉี ระดับจักรพรรดิขั้นแปดสำนักโบราณจรัสเทพ ยังประสบเคราะห์ด้วยน้ำมือหลินสวิน!

นี่จะไม่ให้เฟิงหลัวจื่อกลัวได้อย่างไร

เขาถึงกับสังหรณ์ว่าคราวนี้ตนต้องจบเห่แล้ว…

ปึง!

ครู่ต่อมาตัวเฟิงหลัวจื่อก็ถูกขว้างออกไป ตกลงไปกับพื้นอย่างจังเหมือนหมาตัวหนึ่ง ภาพตรงหน้าพร่ามัว

แต่ความลิงโลดหาใดเทียบกลับผุดขึ้นในใจเฟิงหลัวจื่อ เทพมารหลินคนนี้… ดันไม่ฆ่าเขาเสียนี่!

เหล่าผู้กล้าเห็นเช่นนี้ก็ต่างประหลาดใจไปครู่หนึ่ง ในข่าวลือหลินสวินเป็นพวกร้ายกาจที่สังหารเด็ดขาด ไม่ปรานีอ่อนข้อให้ เหตุใดถึงปล่อยคู่ต่อสู้ไปอย่างง่ายดายปานนี้

แต่กลับเห็นว่าหลินสวินนิ่วหน้า สายตามองตำหนักเทพที่อยู่ไกลออกไปนั้น ดวงตาฉายแววจดจ่อ

ก่อนหน้านี้เขาคิดจะลงมือฆ่าจริงๆ แต่ในชั่วพริบตาที่ใช้พลังกลับถูกยอดพลังระเบียบมหามรรคคุกคาม ทำเอาเขาขนลุกเกรียวไปทั้งตัว

นี่ทำให้เขารับรู้ได้ว่า ขอเพียงเขากล้าลงมือ ครู่ต่อมาก็จะมีภัยมาถึงตัว!

แต่เสวียนจิ่วอิ้นไม่สนใจเรื่องพวกนี้ เดินขึ้นมากอดหลินสวินอย่างกระตือรือร้น

“พี่หลิน ข้ารู้อยู่แล้วว่าเจ้าต้องมา คราวนี้พวกเราพี่น้องมีโอกาสสู้เคียงบ่าเคียงไหล่กันอีกแล้ว!” เขาสีหน้าปรีดา

หลิงเคอจื่อที่อยู่ข้างๆ ก็ยิ้มอย่างเบิกบาน เอ่ยว่า “พี่เสวียนพูดถูก คราวนี้ข้าก็ไม่ต้องหวาดกลัวอีกแล้ว”

“ไม่ได้เรื่อง” หลินสวินยิ้มพลางเคาะหน้าผากหลิงเคอจื่อไปคราหนึ่ง

“คุณชาย” ไกลออกไปมีเงาร่างงดงามสูงโปร่งร่างหนึ่งเดินมา ชุดขาวโพลนดุจหิมะ ผิวเซียนกระดูกเทพ งามกระจ่างเหนือธรรมดา ประหนึ่งนางเซียนที่เดินออกมาจากภาพเขียน

เป็นจินเทียนเสวียนเยวี่ย

เนตรดาราอันงดงามทั้งสองของนางปรากฏแววประหลาดใจและตื่นเต้นอย่างเก็บกลั้นได้ยาก

“แม่นางเสวียนเยวี่ย รีบมาเร็ว” เสวียนจิ่วอิ้นยิ้มพูด

หลินสวินก็ยิ้มแล้วเอ่ยว่า “จากกันตอนเขตต้องห้ามเซียนโบราณ ในที่สุดพวกเราก็ได้พบกันอีกครั้งแล้ว”

เพื่อนเก่าจากกันนานได้พบกันใหม่ ย่อมเป็นเรื่องน่าดีใจยิ่ง

เพียงแต่ก็ในตอนนี้เอง เสียงระคายหูเสียงหนึ่งก็ดังขึ้นในที่นั้น

“จินเทียนเสวียนเยวี่ย ถ้าเจ้าไปกับหลินสวินนั่น เกรงว่าตระกูลจินเทียนของพวกเจ้าจะติดร่างแหไปด้วย! เจ้าไม่คำนึงถึงตัวเองก็ควรนึกถึงตระกูลที่อยู่เบื้องหลังเจ้าไหม อย่าลืมสิ หลินสวินคนนี้เป็นคนที่จักรพรรดิสวรรค์ดำรงบัญชาว่าต้องฆ่า!”

คนที่พูดก็คือหญิงสาวในชุดเหลืองจากเรือนมรรคจักรวาลคนหนึ่ง รูปลักษณ์สะสวย งามเด่นเหนือมวลผกา แต่สีหน้าเผยแววหยิ่งยโสโอหัง

หลินสวินนิ่วหน้าแต่ไม่ได้พูดอะไร แค่มองจินเทียนเสวียนเยวี่ยแล้วเอ่ยว่า “คำพูดของคนต่ำช้าผู้นี้แม้จะไม่น่าฟังอยู่บ้างแต่ก็พูดถูก เสวียนเยวี่ย ถ้าเคลื่อนไหวร่วมกับข้า เป็นไปได้สูงมากที่จะเกี่ยวโยงไปถึงคนในตระกูลที่อยู่เบื้องหลังเจ้า…”

หญิงสาวชุดเหลืองคนนั้นถูกด่าว่า ‘คนต่ำช้า’ ก็สีหน้าอึมครึมลงไป แต่สุดท้ายยังทำได้แค่อดทนไว้ พอได้เผชิญหน้ากับหลินสวิน นางไม่กล้าบุ่มบ่ามแม้แต่นิดเดียว

หลายปีมานี้ผู้สืบทอดเรือนมรรคจักรวาลถูกหลินสวินฆ่าไปไม่รู้เท่าไร ขนาดหวงฝู่เซ่าหนงยังถูกเขาฆ่า นี่จะให้หญิงสาวชุดเหลืองกล้างัดข้อกับหลินสวินได้อย่างไร

กลับพบว่าจินเทียนเสวียนเยวี่ยสูดหายใจลึกเฮือกหนึ่ง เผยรอยยิ้มบางๆ “ก่อนมาแดนปรินิพพานข้าถูกขับออกจากตระกูลแล้ว ภายหน้า… ข้าไม่ได้แซ่จินเทียนอีกแล้ว”

หลินสวินมองดูจินเทียนเสวียนเยวี่ยอย่างลึกล้ำคราหนึ่ง พยักหน้าแล้วไม่พูดอะไรอีก

“แม่นางเสวียนเยวี่ย ถ้ากังวลว่าจะถูกจักรพรรดิสวรรค์ดำรงหมายหัว สู้ไปตระกูลเสวียนของพวกเราดีกว่า รับรองว่าจะไม่ทำให้เจ้าได้รับบาดเจ็บสักนิดเดียว”

ขณะที่เสวียนจิ่วอิ้นยิ้มกริ่มพลางพูด จู่ๆ ก็ตบหน้าผากนึกถึงเรื่องหนึ่งได้ สื่อจิตกับหลินสวิน ‘พ่อข้าบอกว่ารอแดนปรินิพพานปิดฉากแล้วให้เจ้าไปบ้านข้า’

‘มีเรื่องอะไร’ หลินสวินอึ้งไป

‘ถึงตอนนั้นเจ้าไปก็ได้รู้แล้วไม่ใช่หรือ’ ความจริงแล้วตัวเสวียนจิ่วอิ้นเองก็ไม่รู้

หลินสวินรับปาก

ระหว่างที่สนทนา จู่ๆ เขาก็สังเกตเห็นว่าผู้ฝึกปราณที่อยู่ในบริเวณใกล้เคียงต่างหลบออกจากจุดที่เขาอยู่ตามจิตใต้สำนึก

ราวกับหนีงูเงี้ยวเขี้ยวขอ อย่างกับหลบเทพโรคระบาด

ในขณะเดียวกันหลินสวินก็สัมผัสได้ว่า ณ ที่นั้นมีสายตาปฏิปักษ์มากมายจับจ้องตน ทั้งพวกเรือนมรรคอย่างดึกดำบรรพ์ ยุทธจักร จักรวาล และยังมีชาวเผ่าที่มาจากสิบเผ่านักรบใหญ่ ขุมอำนาจเผ่าจักรพรรดิดึกดำบรรพ์

หลินสวินไม่ได้ประหลาดใจ

พูดอย่างไม่เกรงใจ ถ้าไม่ใช่ที่นี่ลึกลับและเป็นปริศนามากเกินไป มีพลังระเบียบมหามรรคที่สามารถคุกคามเขาได้อยู่ เขาต้องออกตัว ‘หาเรื่อง’ ไปนานแล้วอย่างแน่นอน

ศัตรูคู่แค้นพวกนั้นหมายจะฆ่าเขา เขาจะไม่อยากกำจัดศัตรูพวกนี้ได้อย่างไร

ถึงอย่างไรคนพวกนั้นก็เป็น ‘คนคุ้นหน้าเก่า’ ทั้งนั้น ในที่นี้ก็ไม่ได้มีระดับจักรพรรดิควบคุมดูแล ด้วยพลังต่อสู้ของเขาในตอนนี้ย่อมเดินกร่างได้

ครืน!

ไกลออกไป จู่ๆ ก็มีเสียงสะท้านไหวดังขึ้นระลอกหนึ่ง

ก็พบว่าประตูใหญ่ตำหนักเทพที่ตั้งตระหง่านกลางฟ้าดิน ชโลมอยู่ท่ามกลางระเบียบกฎเกณฑ์นั้นเปิดออกช้าๆ ในขณะนี้ พลันดึงดูดสายตาทั้งที่นั้น

ฮูม…

ละอองแสงไหลเวียน กฎเกณฑ์ถักทอ หน้าประตูตำหนักเทพพลันมีเงาร่างคล้ายมายาร่างหนึ่งปรากฏออกมา แปลงมาจากระเบียบมหามรรคทั้งสิ้น เผยอานุภาพอันสูงส่งหาใดเทียบ

ทั้งที่นั่นระส่ำระสาย ผู้คนนับไม่ถ้วนร้อนใจ ดวงตาร้อนผ่าว การประชันในแดนปรินิพพานนี้ ในที่สุดก็จะเริ่มแล้วหรือ

ลมหายใจบางคนเปลี่ยนเป็นถี่กระชั้น

“เส้นทางสู่นิพพานเริ่มขึ้นในขณะนี้ พอเข้าไปในตำหนักนี้ พวกเจ้าก็จะเข้าไปในวัฏจักรหนึ่ง ผู้ที่สามารถกลับมาจากวัฏจักรได้ จะได้โอกาสนิพพานครั้งหนึ่ง”

เงาร่างที่แปลงมาจากระเบียบมหามรรคไม่ได้เอ่ยปาก แต่ในสมองทุกคนที่อยู่ในที่นั้นกลับมีเสียงหนึ่งดังขึ้น ทำให้พวกเขารู้เรื่องที่จะต้องเผชิญในเวลาต่อมา

“วัฏจักรเริ่มที่กำลังภายใน จิตวิญญาณ พลังกาย สภาวะจิต และมรรควิถีของพวกเจ้าหลังจากเข้าวัฏจักร จะกลายเป็นคนธรรมดา ฝึกปราณใหม่อีกครั้ง ระดับกำลังภายในก็คือขีดจำกัด”

ผู้ฝึกปราณในที่นั้นต่างปั่นป่วนขึ้นทันที ทุกคนเผยสีหน้าอึ้งงัน รู้สึกไม่ทันตั้งตัว

ระดับกำลังภายใน เป็นระดับแรกเมื่อเริ่มฝึกปราณ เป็นระดับแรกของ ‘ห้าระดับล่าง’

ในสายตาพวกเขาตอนนี้ ผู้ฝึกปราณระดับกำลังภายในก็เปรียบดั่งสิ่งมีชีวิตที่ไม่ต่างอะไรกับมดธรรมดา ไม่อยู่ในสายตาสักนิดเดียว

แต่ตอนนี้พวกเขากลับต้องเข้าสู่วัฏจักร กลายเป็นคนธรรมดาสามัญ มีเพียงทะลวงระดับกำลังภายในเท่านั้นถึงจะออกมาจากตรงนั้นได้!

ที่น่ากลัวที่สุดก็คือ หลังจากเข้าสู่วัฏจักร มรรควิถีที่พวกเขาครอบครองทั้งหมดในตอนนี้จะหายไปหมด ไม่อาจช่วยเหลือพวกเขาได้!

ชั่วขณะเดียวเหล่าผู้กล้าฉงนใจ ใครก็คิดไม่ถึงว่าสิ่งที่รอพวกเขาอยู่ยามเพิ่งเข้าสู่แดนปรินิพพาน ก็คือการทดสอบวัฏจักรอันไม่อาจคาดคิดได้เช่นนี้

เงาร่างที่แปลงจากระเบียบมหามรรคนั้นกลับคล้ายไม่รู้สึกอะไร ส่งเสียงต่อไปว่า

“วัฏจักรระดับกำลังภายใน พวกเจ้าจะปรากฏตัวด้วยตัวตนอื่นในโลกใบเดียวกัน หมายจะออกมา ต้องหลงเหลือเจตจำนงมหามรรคของตนไว้ในโลกกำลังภายใน”

ตัวตนอื่น!

โลกกำลังภายใน!

หลงเหลือเจตจำนงมหามรรค!

ชั่วพริบตาหลายคนต่างจับใจความสำคัญบางประการได้อย่างฉับไว

“ตัวตนอื่น ไม่ใช่หมายความว่าข้าก็ไม่ใช่ข้าแล้วหรือ อย่างนี้ก็แย่สิ ถ้าเกิดเข้าสู่วัฏจักรแล้วข้าเปลี่ยนเป็นขอทานที่เร่ร่อนอยู่ข้างถนนจะทำอย่างไร ถึงตอนนั้นพวกเราพี่น้องร่วมสำนักก็จะจำกันไม่ได้อีกแล้ว!”

มีคนโอดครวญ

“โลกกำลังภายใน พูดเช่นนี้แล้ว ในโลกวัฏจักรแห่งนั้น สิ่งที่แข็งแกร่งที่สุดก็แค่พลังปราณระดับกำลังภายใน”

มีคนดวงตาเปล่งประกาย

หากเป็นเช่นนี้ก็ไม่มีอะไรน่ากลัว!

‘ในเมื่อเป็นการทดสอบ คิดจะเหลือเจตจำนงของตนในโลกกำลังภายในนั้น เกรงว่าจะไม่ได้ง่ายดายปานนั้น…’

มีคนนิ่วหน้าครุ่นคิด

และตอนนี้หลินสวินก็นึกถึงคำที่ศิษย์พี่รองจ้งชิวได้กำชับไว้

‘จำไว้ให้ดี ถ้าพบกับวัฏจักร ‘ตื่นรู้’ จึงจะสำคัญที่สุด’

ขณะนี้หลินสวินรับรู้ได้ทันที ว่าสิ่งที่อันตรายที่สุดในการทดสอบครั้งนี้เกรงว่าจะอยู่ที่คำว่า ‘ตื่นรู้’

เจ้าแห่งคีรีดวงกมลเคยพูดไว้ว่า ‘ภายใต้วัฏจักร ทันทีที่หลงอยู่ในนั้น ต่อให้มรรควิถีของเจ้าจะเทียมฟ้าก็ไม่สามารถควบคุมความเป็นตายได้ แพ้ชนะกลายเป็นว่างเปล่า’

ตอนนี้หลังจากพวกเขาที่อยู่ในที่นี้เข้าสู่วัฏจักร ต่างปรากฏตัวด้วยอีกตัวตนหนึ่ง นี่ก็หมายความว่าถ้าไม่ทำให้จิตสำนึกก่อนเข้าสู่วัฏจักร ‘ตื่นรู้’ ขึ้นมา เป็นไปได้สูงมากที่จะติดอยู่ในนั้นทั้งชีวิต!

หลินสวินเคยผ่านการกลับชาติมาเกิดในวัฏจักรยาวนานถึงยี่สิบกว่าปี ในด่านที่แปดของทางเดินเมฆาหยกของห้องโถงมรรคาสวรรค์

ตอนนั้นเขาก็ปรากฏตัวด้วยฐานะอื่นเช่นกัน สุดท้ายจึงหยั่งรู้แก่นอัศจรรย์ของ ‘มหามรรคคือความจริง’ หลุดพ้นออกมาได้

กล่าวอย่างไม่เกินเลยว่าตอนนั้นถ้าเขาไม่ปลุก ‘จิตสำนึก’ ของตนให้ตื่นขึ้น ก็ไม่อาจฝ่าด่านนั้นมาได้สักนิด

คิดถึงตรงนี้ หลินสวินบอกทุกเรื่องที่ตนรู้กับพวกเสวียนจิ่วอิ้น หลิงเคอจื่อและจินเทียนเสวียนเยวี่ย

พอทั้งสามฟังจบต่างก็หวั่นใจอย่างห้ามไม่อยู่ จำเอาไว้เงียบๆ

เสียงเงามายาที่แปลงจากระเบียบดังต่อไปว่า

“วัฏจักรของโลกกำลังภายในมีระยะเวลาเพียงสิบปี”

“อยู่ในนั้น ทันทีที่ตายก็หมายความว่าตายจริงๆ”

“สิบปีผ่านไป ถ้ายังออกมาจากที่นั่นไม่ได้ ชีวิตนี้ก็จะหลงอยู่ในนั้น ไม่มีโอกาสได้หลุดพ้น”

พอพูดออกมาเช่นนี้ บรรยากาศในที่นั้นเงียบสงัดขึ้นมา ห้วงอากาศแข็งตัว กดข่มจนทุกคนหายใจติดขัด

ตอนนี้มีคนหน้าเปลี่ยนสีไม่รู้เท่าไร จิตใจเคร่งเครียด

แต่มั่นใจได้ว่านี่ก็คืออันตรายครั้งใหญ่ที่มีอยู่ทั่วแดนปรินิพพาน!

หลินสวินก็ปั่นป่วนใจไปครู่หนึ่ง สีหน้าปนเปไปด้วยความรู้สึกต่างๆ

สิบปี เป็นกับตาย หลุดพ้นกับหลงทาง… อันตรายที่มีอยู่ภายในนี้ต้องเหนือจินตนาการแน่!

“ตอนนี้… ยังไม่เข้าร่วมได้หรือไม่”

มีคนเอ่ยปากเสียงสั่น ตอนนี้เริ่มอยากถอยแล้ว

เงาร่างที่แปลงจากระเบียบไม่ตอบ เพราะเดิมทีเงาร่างนี้ก็แปลงมาจากระเบียบมหามรรค ไม่มีสติปัญญา ไม่มีจิตสำนึก ไม่อาจให้คำตอบได้อยู่แล้ว!

——