โลกมืด
จ้งชิวพาซีมาปรากฏตัวด้วยกันที่ยอดเขาสันโดษลูกหนึ่ง
เจ็ดปีแล้ว พวกเขาสองคนรออยู่ที่นี่มาตลอด บ้างพูดคุยกันชั่วคราว บ้างมองไปไกลๆ อย่างเงียบๆ
สำหรับคนอย่างพวกเขาแล้ว เวลาเจ็ดปีก็ผ่านไปเพียงชั่วดีดนิ้ว แปรเปลี่ยนเป็นไม่สำคัญไปนานแล้ว
เหนือเวิ้งฟ้ากลิ่นอายแดนปรินิพพานยังคงอบอวล เพียงแต่ทางเข้าสู่ภายในหายลับไปนานแล้ว
ด้วยพลังของจ้งชิวยังไม่อาจอนุมานทุกอย่างที่กำลังเกิดขึ้นในแดนปรินิพพานนั้นได้
“ข้าสงสัยมาตลอดว่าเหตุใดเจ้าจึงแน่ใจปานนี้ว่าจักรพรรดิสวรรค์ดำรงจะไม่มีทางกลับมา” ซีเอ่ยถามอย่างอดไม่ได้
จ้งชิวครุ่นคิดเล็กน้อยแล้วตอบตามจริงว่า “แหล่งน้ำศักดิ์สิทธิ์เป็นหนึ่งในจตุโบราณสถาน พลังระเบียบต้องห้ามที่มาจากอีกฟากฝั่งไม่อาจรุกรานเข้ามาได้”
จ้งชิวหยุดไปแล้วพูดอย่างดูแคลนว่า “ถ้าไม่อาจใช้และควบคุมพลังระเบียบต้องห้ามได้ จักรพรรดิสวรรค์ดำรงนั่นจะนับเป็นตัวอะไร ถ้าเข้าไปในแหล่งน้ำศักดิ์สิทธิ์ เขาความสามารถเท่านั้น ไม่ตายก็ต้องก่อเรื่องจนขายหน้า”
วาจาหยาบโลนไปหน่อย แต่ก็ทำให้ซีเข้าใจได้ทันที
“ถ้าเขากลับมาแล้วล่ะ” ซีเอ่ยถาม
จ้งชิวพูดเสียงเรียบ “พลังของแดนปรินิพพานเป็นสิ่งที่แปลงมาจากระเบียบแรกกำเนิดฟ้าดารา สามารถสกัดการรบกวนของพลังระเบียบต้องห้ามได้ ต่อให้จักรพรรดิสวรรค์ดำรงกลับมาก็ไม่กล้าโผล่หัว ทำได้แค่อดกลั้น รอมาเยือนในวันที่แดนปรินิพพานหายลับไป”
ตั้งแต่เริ่มจนจบจ้งชิวดูมั่นใจหาใดเทียบ
นี่ทำให้ซีเอ่ยขึ้นอย่างอดไม่ได้ว่า “แต่ถ้าเขาโผล่หัวมาล่ะ”
จ้งชิวยื่นหมัดออกมาแล้วเอ่ยว่า “ถ้าเป็นเช่นนี้จริง เชื่อหรือไม่ว่าหมัดเดียวของข้าระเบิดหัวหมาของเขาได้”
ซีอดขันไม่ได้ เจ้าคนโอหังคนนี้ยังหยิ่งยโสตั้งแต่ต้นจนจบ
เปรี้ยง!
ทันใดนั้นเหนือเวิ้งฟ้าก็มีเสียงสายฟ้าดังขึ้น ฟังดูห่างไกลหาใดเทียบ ผู้แข็งแกร่งส่วนมากที่อยู่ในโลกมืดถึงกับไม่อาจสังเกตได้
แต่จ้งชิวกลับได้ยิน ในดวงตาเขามีประกายสว่างจ้าผุดออกมาทันที
เจ็ดปีนี้ สิ่งที่เขารอคอยก็คือเสียงสายฟ้านี้!
“เริ่มแล้วหรือ” ซีพูด
“อืม เริ่มแล้ว” ขณะนี้จ้งชิวกลับเหมือนรู้สึกตื่นเต้นอยู่บ้าง สูดหายใจลึกเฮือกหนึ่งอย่างหาได้ยากยิ่งแล้วเอ่ยว่า “ข้าปกครองโลกมืดมาไม่รู้กี่ปี ที่รออยู่ก็คือเสียง ‘ดอกไม้บาน’ เสียงนี้”
ดอกไม้บาน ย่อมหมายถึงหนึ่งบัวที่เบ่งบานดอกนั้น
ซีเอ่ยถาม “บรรลุมกุฎจักรพรรดิที่แดนปรินิพพาน จะก้าวสู่ ‘ยอดหนทางสู่อมตะ’ ที่ว่าได้จริงหรือ”
จ้งชิวเงียบไปครู่หนึ่งแล้วเอ่ยว่า “ยังจำที่ข้าเคยพูดไว้ได้ไหม ว่าตอนนั้นอาจารย์ข้าจ่ายค่าตอบแทนใหญ่ยิ่งนักเพื่ออนุมานความเร้นลับของแดนปรินิพพานนี้”
“บัดนี้แดนปรินิพพานนี้มาเยือนแล้วจริงๆ สิ่งนี้พิสูจน์ได้อย่างไร้ข้อกังขาว่าข้อสันนิษฐานของอาจารย์ข้าในตอนนั้นถูกต้อง”
“ดังนั้น ยอดหนทางสู่อมตะนี้จะต้องมีอยู่แน่!”
“ยิ่งไปกว่านั้น พวกเรารอมาเนิ่นนานไม่รู้เท่าไร ที่รอมาไม่ได้สูญเปล่า”
พูดถึงตอนสุดท้าย สีหน้ากับวาจาของเขายังเปลี่ยนเป็นหนักแน่นหาใดเทียบ
ซีนิ่งเงียบไปครู่หนึ่งแล้วเอ่ยว่า “เจ้าจะมั่นใจได้อย่างไรว่าหลินสวินก็คือดอกบัวที่บานเด่นดอกนั้น หรือควรบอกว่า เจ้าไม่กังวลว่าดอกบัวนี้ยังไม่ทันบานเต็มที่ก็จะประสบเหตุไม่คาดฝันหรือ”
“เจ้าเคยพูดไว้ว่าพวกน่ากลัวที่ฟากฝั่งฟ้าดาราบางส่วนไม่ยอมให้ยอดหนทางสู่อมตะสายนี้อุบัติขึ้น”
นางไม่ได้ไม่ถือหางหลินสวิน แต่ไม่รู้ว่าคราวนี้หลินสวินจะประสบกับเคราะห์ใหญ่ขั้นไหน
ดวงตาจ้งชิวเย็นชา มองดูเหนือเวิ้งฟ้าไกลๆ เอ่ยเสียงเบาว่า “ข้ารู้แค่ว่า ผู้ใดต้องการแทรกแซงหรือทำลาย ผู้นั้นจะต้องจ่ายค่าตอบแทน!”
“รอดูเถอะ มหาเคราะห์คราวนี้เริ่มขึ้นแล้ว ฉากเด็ดจริงๆ… อีกไม่นานก็จะแสดงแล้ว!”
……
หลินสวินรู้สึกได้อย่างชัดเจน ว่าทุกครั้งที่ฝ่าฟันความยากลำบากของด่านเคราะห์อสนีที่ประหนึ่งการเวียนว่ายตายเกิด ตนเองก็เหมือนแปรสภาพไปครั้งหนึ่ง
การแปรสภาพแต่ละครั้งทำให้ตนเข้าใกล้เส้นทางสู่การกลายเป็นจักรพรรดิทีละก้าว!
เปรี้ยง!
เงียบสงัดไปช่วงสั้นๆ สายฟ้าของด่านเคราะห์รอบที่สี่ก็โรยตัวลงมา
ก็เห็นว่าในส่วนลึกของเมฆาเคราะห์นั้นมีแสงอสนีงดงามหลากสีสัน ทั้งสีแดง สีเขียว สีเหลือง สีดำ สีขาว…
ท่ามกลางความคลุมเครือ ส่วนลึกของเมฆาเคราะห์วิวัฒน์เป็นภูผาธารางดงาม ยอดเขาตั้งตระหง่าน มหานทีไหลหลั่ง ต้นไม้ใบหญ้าเขียวขจี ทิวทัศน์ดั่งภาพวาด
เพียงแต่ภูผาธาราอันเกรียงไกรดุจภาพวาดนั้นล้วนแปลงมาจากด่านเคราะห์อสนีทั้งสิ้น ในต้นไม้ใบหญ้าทุกต้นล้วนมีกลิ่นอายทำลายล้างแผ่กระจายอบอวล
เพียงมองดูไกลๆ ก็ทำให้ผู้คนรู้สึกสิ้นหวังและพังทลาย มหาเคราะห์ชั้นนี้เหนือกว่าจินตนาการของระดับจักรพรรดิเหล่านั้นโดยสิ้นเชิง
ทำให้ทุกคนยังไม่กล้าเชื่อว่านี่จะเป็นมหาเคราะห์บรรลุจักรพรรดิครั้งหนึ่ง
ครืน!
ภูผาธาราอสนีแถบนั้นมาเยือน เพียงชั่วพริบตาเท่านั้นฟ้าดาราแห่งนี้สั่นสะเทือนบิดเบี้ยวรุนแรง ซย่าจื้อนิ่วหน้า หลบไปไกลๆ โดยไม่ลังเล
นางสัมผัสได้ถึงอันตรายยิ่งยวด
และตอนนี้ เงาร่างหลินสวินก็ถูกปกคลุมอยู่ท่ามกลางภูผาธาราอสนีแห่งนั้นในชั่วพริบตา
ผืนปฐพีกว้างใหญ่ไพศาล ภูผาธาราเป็นลูกคลื่น พลังอสนีเคราะห์มีอยู่ทุกแห่งหน
ท่ามกลางต้นไม้ใบหญ้านั้น ปราณกระบี่ด่านเคราะห์อันแหลมคมไร้เทียมทานพวยพุ่ง น้ำแห่งมหานทีม้วนตลบ ที่หอบม้วนขึ้นมามีแต่อสนีเคราะห์ที่ซัดสาดรุนแรง ภูผานั้นสูงตระหง่านไม่ไหวติง แต่กลับมีสายฟ้าที่แปลงจากหินผาก้อนแล้วก้อนเล่าโปรยปราย หินผาสายฟ้าแต่ละก้อนมีอานุภาพสังหารเทพผี
ทันทีที่หลินสวินเข้าไปก็ถูกถล่มโจมตี ไม่ว่าเขาจะหลบหนีไปที่ไหน ไม่ว่าเขาจะเคลื่อนย้ายหลบหลีกอย่างไร ภูผาธารานั้นก็เหมือนกรงขัง มีเคราะห์สังหารไร้ที่สิ้นสุดจู่โจมเขาไม่หยุดหย่อน
หนีก็ไม่ได้หลบไม่พ้น ทำได้เพียงต้านตรงๆ!
ทว่าหลินสวินที่ผ่านการแปรสภาพมาสองครั้ง ไม่ได้บาดเจ็บไปทั้งตัวอย่างตอนแรกแล้ว มิหนำซ้ำเขายังแน่ใจยิ่งว่าเมื่อผ่านด่านเคราะห์รอบหนึ่ง ตัวเขาก็จะเกิดการเปลี่ยนแปลงแปรสภาพ
ดังนั้นเขาไม่ได้วิตกกับการถูกขังอยู่ในนี้ กลับมีจิตต่อสู้เดือดพล่าน รวมถึงเจตจำนงหนักแน่นยิ่งยวด
เขาออกโจมตีไม่หยุด แม้จะบาดเจ็บเต็มตัว แต่กลับดื้อดึงหาใดเทียบ
จนต่อมาร่างเขาก็ถูกซัดกระจุยอีกครั้ง ทำให้ทุกคนยังกังขาอย่างอดไม่ได้ว่าเขาจะตายอยู่ในนั้น จิตวิญญาณแหลกสลายเมื่อไรก็ได้
แต่สุดท้ายหลังจากภูผาธาราอสนีนั้นถูกทำลายลง เงาร่างของเขากลับควบรวม เหมือนดั่งนิพพานและเกิดใหม่ภายใต้การทำลายล้างอีกครั้ง
“ยังไม่ตายอีกหรือ” สัตว์ประหลาดเฒ่าระดับจักรพรรดิเหล่านั้นอัดอั้นตันใจจนแทบระเบิด ทุกครั้งที่เห็นหลินสวินกำลังจะตาย เขาก็จะคืนชีพขึ้นมาอย่างปาฏิหาริย์ทุกครั้งไป
นี่ก็คล้ายถูกคนตบหน้าอย่างไร้ปรานีครั้งแล้วครั้งเล่า รู้สึกแย่เกินไปแล้ว
จักรพรรดิสงครามเฟิงหลิงเหมือนยกภูเขาออกจากอก ใจที่หล่นไปอยู่ตาตุ่มก็ค่อยๆ ทะยานตัวขึ้นมา ภาพที่หลินสวินข้ามด่านเคราะห์แต่ละภาพนั้นสะท้านขวัญเกินไป ทำให้ความรู้สึกขึ้นๆ ลงๆ ไม่เป็นตัวของตัวเอง
ครืน!
พลังขับเคลื่อนทั้งตัวหลินสวินเดือดพล่าน สัมผัสได้ถึงการแปรสภาพทั้งร่างอยู่เงียบๆ
เพื่อการบรรลุมกุฎจักรพรรดิคราวนี้ หลายปีนี้เขาทุ่มเทกายใจและความอุตสาหะไปไม่รู้เท่าไร
ในนรกอำพราง เขาบุกไปถึงชั้นเก้า ทะลวงแดนผนึกมรรคเข้าสู่เขตต้องห้ามอสนี ทำให้จิตวิญญาณ เจตจำนง พลังมหามรรคและพลังยุทธ์ต่างบรรลุขั้นบริบูรณ์ถึงขีดสุดอย่างไม่เคยมีมาก่อน
ในวัฏจักรก่อนหน้านี้ เขาฝึกปราณระดับกำลังภายใน จิตผสานวิญญาณ มหาสมุทรวิญญาณ หยั่งสัจจะ กระบวนแปรจุติ ระดับราชัน…
ทำให้มรรควิถีทั้งร่างไม่มีจุดบกพร่องและจุดด่างพร้อยโดยสิ้นเชิง ในกาลเวลาตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบัน ล้วนเป็นอันดับหนึ่ง ครองมงกุฎเหนือสุดทั่วหล้า!
ความทุ่มเทอุตสาหะทั้งหมด ก็ไม่ใช่เพื่อชั่วขณะนี้หรอกหรือ
บรรลุมกุฎจักรพรรดิ อดีตและปัจจุบันมีน้อยคนนักที่จะบรรลุได้ ในระดับจักรพรรดินับพันยังหาไม่ได้สักคน
แต่ระดับมกุฎจักรพรรดิที่หลินสวินไขว่คว้าไม่ได้ธรรมดาปานนั้น ว่ากันถึงแก่นแล้วมรรคาของเขายังต้องเป็นคำเหล่านี้เท่านั้น…
อดีตปัจจุบันอนาคต มรรคข้าเป็นหนึ่ง!
ไม่นานนักด่านเคราะห์อสนีรอบที่ห้าก็มาเยือน
สิ่งปลูกสร้างอย่างตำหนัก หอสูง มรรคสถาน แท่นบูชา… ปรากฏขึ้นในส่วนลึกของเมฆาเคราะห์ โอฬารลึกลับ ต่างแปลงมาจากยอดพลังด่านเคราะห์
นี่ทำให้ทุกคนต่างอึ้งไป ตั้งแต่อดีตจนบัดนี้ การบรรลุจักรพรรดิแทบจะประสบกับเคราะห์สวรรค์สี่รอบทั้งนั้น เรียกอีกชื่อว่า ‘สี่เคราะห์เก้าจักรพรรดิ’
ขอเพียงผ่านได้ก็จะเข้าสู่ธรณีประตูแห่งระดับจักรพรรดิ ก้าวบนเส้นทางแห่งมหาจักรพรรดิ ตั้งแต่นี้จะสามารถท่องทะยานในความว่างเปล่า เห็นเหล่าภูเขาเป็นเล็กจ้อย
แต่ตอนนี้หลินสวินกลับทำลายขนบที่มีมาแต่อดีต!
“ยังดี ขอเพียงด่านเคราะห์ยังอยู่ เจ้าหมอนี่จะต้องถูกผ่าตายแน่!” สัตว์ประหลาดเฒ่าจำนวนหนึ่งกัดฟันเข่นเขี้ยว
“ต่อให้เป็นสี่เคราะห์เก้าจักรพรรดิ ก็ไม่มีทางน่ากลัวเหมือนกับก่อนหน้านั้น นี่เป็นไปได้สูงยิ่งว่าจะเป็นเคราะห์บรรลุมกุฎจักรพรรดิ!”
และยังมีสัตว์ประหลาดเฒ่าสีหน้าไม่สู้ดี ในใจสั่นระรัว เจ้าหมอนี่ ที่แท้ก็ต้องการบรรลุมกุฎจักรพรรดิ!
“บรรลุมกุฎจักรพรรดิหรือ ละเมอเพ้อพกสิ้นดี ตั้งแต่ศึกมรรคของเหล่าจักรพรรดิในกาลก่อนมาจนตอนนี้ แสนปีที่ผ่านมาไม่มีใครบรรลุมรรคานี้สักคน!”
มีคนเอ่ยอย่างคมคาย
“เจ้าหมอนี่ต้องล้มเหลวแน่!”
…ท่ามกลางเสียงสนทนามากมาย ด่านเคราะห์อสนีรอบที่ห้าของหลินสวินก็ปะทุขึ้นแล้ว แกร่งกล้ากว่าด่านเคราะห์อสนีรอบก่อนหน้านี้มาก
ในที่สุดหลินสวินก็ร่างกายแตกระแหง เลือดเนื้อแหลกเละ จิตวิญญาณยังถูกซัดจนมืดมนไร้แสง แต่ยังฝืนต้านทานต่อไป
ยังไม่ตาย!
สัตว์ประหลาดเฒ่าเหล่านั้นอย่างกับกินแมลงวันตายเข้าไป ทั้งสั่นสะท้านทั้งยากจะยอมรับได้ อัดอั้นจนแทบกระอักเลือด
นี่เป็นไปได้อย่างไร
ด่านเคราะห์โจมตีเช่นนี้ก็ยังฆ่าเขาไม่ได้หรือ
หลินสวินไม่สนใจทุกอย่างนี้สักนิด จิตวิญญาณของเขาจดจ่อกับการข้ามด่านเคราะห์โดยสมบูรณ์ ไม่กล้าชะล่าใจแม้แต่นิดเดียว
เขาสังเกตได้แล้วว่า มหาเคราะห์ไร้เทียมทานที่เรียกได้ว่าไม่เคยมีมาก่อนในโลกนี้… เป็นไปได้สูงมากว่าจะไม่ปิดฉากเพียงเท่านี้
หรือพูดอีกอย่างก็คือ ต่อไปจะเกิดภัยคุกคามถึงชีวิตที่ไม่อาจคาดเดาได้
ดังคาด หลินสวินเดาถูกแล้ว
ในเวลาต่อมา ด่านเคราะห์อสนีตกลงมาจากส่วนลึกของเมฆาเคราะห์ ด่านเคราะห์อสนีรอบที่หกมาเยือน!
สายฟ้านับไม่ถ้วนตัดสลับ สุดท้ายควบรวมเป็นระฆังมรรคเคราะห์อสนีลอยอยู่บนฟ้าดารา ระลอกคลื่นที่เกิดขึ้นจากการสั่นสะเทือนแต่ละครั้งสามารถซัดร่างกายหลินสวินให้กระจุย เส้นเอ็นกระดูกระเบิดออก เลือดเนื้อถูกทำลายยับเยิน
ในที่สุดรูปจำลองเจตจำนงของเขาแปลงเป็นรูปลักษณ์เตาหลอม รักษาความแจ่มกระจ่างไว้อย่างมั่นคง ถึงได้ปะทะและทำลายพลังระฆังมรรคเคราะห์อสนีนั้นจนหมดสิ้น
อันตรายและความน่ากลัวในนั้น คนนอกไม่อาจสัมผัสได้
หลังผ่านเคราะห์นี้ หลินสวินสัมผัสได้อย่างฉับไวว่าการแปรสภาพคราวนี้ นอกจากร่างกายและพลังปราณยิ่งเข้าใกล้ระดับจักรพรรดิแล้ว การเปลี่ยนแปลงที่น่าตะลึงที่สุดก็คือจิตวิญญาณ
‘รูปจำลองเจตจำนง’ ที่ควบคุมดูแลอยู่ในห้วงนิมิตเหมือนกับเตาหลอมที่มีอยู่จริง หลังจากผ่านการหลอมตีเป็นร้อยครั้ง ผนังเตาหลอมปรากฏลายมรรคลี้ลับอยู่รางๆ ราวกับเป็นของจริงที่จับต้องได้ ลึกลับอย่างบอกไม่ถูก
ทว่าทั้งหมดนี้ไม่ได้สิ้นสุดลง
ในส่วนลึกของเมฆาเคราะห์ ด่านเคราะห์อสนีรอบที่เจ็ดกำลังควบรวมและหมักบ่มอย่างบ้าคลั่ง
จวบจนตอนนี้ ระดับจักรพรรดิทั้งหมดที่อยู่บนกำแพงเมืองหมื่นมรรคต่างตกตะลึงอยู่ตรงนั้น ต่อให้หมายจะให้หลินสวินถูกผ่าตาย แต่เมื่อเห็นมหาเคราะห์เช่นนี้ก็ยังทำให้พวกเขาสั่นสะท้านและกระเทือนใจดังเก่า
ไม่ว่าใครต่างชี้ชัดได้ว่า สิ่งที่เกิดขึ้นตรงหน้าต้องเป็นมหาเคราะห์ที่ไม่เคยมีมาก่อนตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบันครั้งหนึ่งอย่างแน่นอน!