“ภายหน้าหากมีโอกาสก็พาคงเจวี๋ยกลับมาด้วยเถอะ ไม่ว่าอย่างไรเขาก็เป็น ‘คนเบิกทาง’ ฟ้าดารานี้ และเป็น… อาจารย์อาของพวกเจ้าด้วย”
นี่ก็คือคำฝากฝังของเจ้าแห่งคีรีดวงกมล
หลินสวินรับปากโดยไม่ลังเล “แต่ก่อนจะพาเขากลับมา ข้าต้องซัดเขาสักตั้งก่อน!”
ตอนนี้เงาร่างของเจ้าแห่งคีรีดวงกมลพังทลายอย่างต่อเนื่อง แทบจะหายไปจนเกลี้ยง ต่อให้เป็นเรื่องที่จะเกิดขึ้นไม่ช้าก็เร็ว แต่หมัดก่อนหน้านี้ของคงเจวี๋ยได้เร่งทุกอย่างนี้ให้เกิดเร็วขึ้นอย่างไม่ต้องสงสัย!
เจ้าแห่งคีรีดวงกมลหัวเราะลั่น “พูดถึงความเจ้าคิดเจ้าแค้น เจ้าก็คล้ายจวินหวนอยู่บ้าง”
เงาร่างเขาเลือนรางยิ่งกว่าเดิมแล้ว คล้ายว่าหายไปได้ตลอดเวลา
แต่เขากลับเหมือนไม่ใส่ใจ กล่าวว่า “หลินสวิน เจ้าเป็นศิษย์คนเล็กที่ข้ารับมา มีฉายามรรคแล้วหรือยัง”
“เต้ายวนขอรับ” หลินสวินตอบ
“มหามรรคประหนึ่งเหวลึกไร้ขอบเขต ทั้งเจ้ายังครองพรสวรรค์หุบเหวกลืนกิน ฉายามรรคนี้เหมาะสมยิ่งนัก…”
เจ้าแห่งคีรีดวงกมลกล่าว เงาร่างกลายเป็นละอองแสงสลายหายไป
“อาจารย์!” ดวงตาหลินสวินแดงก่ำ ในใจรู้สึกอาลัยอาวรณ์อย่างบอกไม่ถูก
“ไปเถอะ หนทางแห่งมหาจักรพรรดิของเจ้าเพิ่งจะเริ่ม วันหน้าศิษย์อาจารย์อย่างเจ้ากับข้าย่อมมีเวลาที่ได้พบกัน”
เสียงที่อบอุ่นของเจ้าแห่งคีรีดวงกมลดังขึ้นรางๆ ก่อนจะหายไปอย่างสมบูรณ์
แม้แต่สายน้ำแห่งกาลเวลาที่โหมกระหน่ำนั้นก็หายไปเงียบๆ
ฟุ่บ! ฟุ่บ! ฟุ่บ!
เจดีย์มหามรรคไร้สิ้นสุด สามพันเคลื่อนคล้อย ภาพเสี้ยวจันทร์สามดารากลับกลายเป็นแสงเคลื่อนตกสู่มือหลินสวิน
เมื่อมองฟ้าดาราที่ว่างเปล่าและเปลี่ยวเหงานั้น หลินสวินพลันสลดใจอย่างบอกไม่ถูก
หนทางแห่งมหามรรค กาลเวลายาวนาน ผ่านไปหลายปีใครจะรู้ว่ากว่าจะเจอกันคราวหน้า ต้องรออีกกี่ปีกี่เดือน
ครู่ใหญ่หลินสวินจึงถอนสายตากลับ
‘อาจารย์ เรื่องที่รับปากท่าน ข้าต้องทำได้แน่นอน!’
หลินสวินพึมพำในใจ
…
ปีที่เจ็ดหลังจากแดนปรินิพพานเปิดออก หลินสวินผ่านการฆ่าฟัน ชักนำเคราะห์สวรรค์ที่ไม่เคยมีมาก่อนด้วยร่างกายที่บาดเจ็บสาหัส
ผ่านเคราะห์เป็นตายเก้ารอบ หลินสวินนิพพานในการทำลายล้าง แจ้งมรรคระหว่างความเป็นความตาย สร้างวิชามรรคแห่งมกุฎมหาจักรพรรดิ ได้รับรากฐานพลังแห่งยอดอมตะ
เรื่องที่เกิดขึ้นในวันนี้มากมายเหลือเกิน อันตราย โกลาหล ชวนระทึกขวัญ
แต่ทั้งหมดนี้ยังไม่ปิดฉาก
…
กำแพงเมืองหมื่นมรรคทอดยาวราวกับไร้สิ้นสุด พาดอยู่กลางฟ้าดารา เพียงแต่เทียบกับอดีต พลังของระเบียบต้นกำเนิดฟ้าดารากลับน้อยลงไป
บนป้อมปราการ ซย่าจื้อยืนโดดเดี่ยว ชายเสื้อพลิ้วไหว ทวนกระดูกขาวแผ่ประกายดาราสีเงินที่ดูประหนึ่งภาพฝันลวงตา
เมื่อเห็นหลินสวินที่เดินมาแต่ไกล นางดูประหม่าเล็กน้อยอย่างยากจะได้เห็น
หลินสวินยิ้มจากใจ ก้าวมาข้างหน้าแล้วกอดซย่าจื้อไว้ในอ้อมแขน ไม่เอ่ยวาจา
คำพูดทั้งหมดล้วนไม่อาจบรรยายความรู้สึกของเขาในตอนนี้ได้
ตอนแรกซย่าจื้อตัวเกร็งอยู่บ้าง จากนั้นก็ค่อยเปลี่ยนเป็นผ่อนคลาย พิงตัวหนุนบ่าอยู่ในอ้อมแขนหลินสวินเงียบๆ
ในหัวของทั้งสองคนอดนึกถึงเรื่องราวในอดีตไม่ได้
ครั้งเยาว์วัยที่หมู่บ้านเฟยอวิ๋น ควันอาหารลอยล่อง เขากับนางมีชีวิตพึ่งพากันและกัน ทุกวันเงียบสงบและมีความสุข
ในจักรวรรดิจื่อเย่า พวกเขาต่างเดินไปบนทางที่แตกต่าง
เขาเป็นทายาทสายตรงของตระกูลหลิน แบกความแค้นบัญชีเลือด ผ่านคลื่นลมและผงาดจากความยากลำบาก
ส่วนนางก็เข้าไปฝึกปราณในตำหนักรัตติกาล
ต่อมาพวกเขาเข้าไปในดินแดนรกร้างโบราณ คนหนึ่งท่องใต้หล้า อีกคนฝึกปราณเงียบๆ…
กระทั่งต่อมาที่ริมฝั่งทะเลหมากดารา ทั้งสองแยกจากกัน
คนหนึ่งไปแดนมรณะเสื่อมโทรม กรำศึกถึงปัจจุบันเพียงลำพัง
อีกคนไปแหล่งสถานคุนหลุน สัญจรอยู่บนฟ้าดารา
เหตุการณ์ต่างๆ ในอดีตผุดขึ้นในใจเหมือนภาพประทับที่แจ่มชัด คลื่นความรู้สึกกระเพื่อมไหวราวกับระลอกคลื่น แผ่ประสานก้องสะท้อนอยู่ในใจทั้งสองคน
ครู่ใหญ่ซย่าจื้อพลันกล่าวขึ้น “หลินสวิน ข้าหิวแล้ว”
หลินสวินอึ้งไปชั่วขณะแล้วหัวเราะขึ้นมา คล้ายนึกถึงเมื่อก่อน ‘ข้าหิวแล้ว’ สามคำนี้คือคำพูดติดปากของซย่าจื้อ ทุกครั้งล้วนตรงไปตรงมาเช่นนั้น
“ครั้งนี้ข้าต้องเลี้ยงเจ้าจนอิ่มแน่” หลินสวินสัมผัสดูเล็กน้อย หลังจากสูญเสียพลังระเบียบ ข้อจำกัดบนกำแพงเมืองหมื่นมรรคก็หายไป สมบัติบนตัวล้วนใช้งานได้
ต้องรู้ว่าหลายปีนี้ในเจดีย์ไร้สิ้นสุดนั้นของเขาสะสมสมบัติไว้นับไม่ถ้วน ภายในนั้นยังมีอาหารเลิศรส ผลไม้ล้ำค่าอัศจรรย์จากทั่วฟ้าดารามากมาย
เมื่อกลับมาในป้อมปราการ หลินสวินนำอาหารเลิศรสพวกนี้ออกมาจนหมด แนะนำให้ซย่าจื้อฟังทีละอย่าง
“นี่คือผลลูกกวาง รูปร่างคล้ายกวางหนอก เมื่อเข้าปากจะนุ่มหอมหวานฉ่ำ เรียกน้ำย่อยได้ดีที่สุด ปีนั้นข้านั่งยานลมกรดมุ่งหน้าไปโลกใหญ่หงเหมิง ซื้อมาจากผู้ฝึกปราณที่มาจากโลกกวางภูเขาคนหนึ่ง”
“ยังมีสิ่งนี้ด้วย เหมือนองุ่นทองพวงใหญ่ใช่ไหม มันชื่อว่าองุ่นแสงทอง เนื้อสัมผัสอวบอิ่ม น้ำในตัวหวานฉ่ำ เจ้าลองชิมของพวกนี้ไปก่อน”
หลินสวินยกผลวิญญาณสมบัติเทพนานัปการขึ้นมาวางเป็นกองพะเนิน จากนั้นก็เริ่มเตรียมวัตถุดิบอย่างอื่น
มีเครื่องปรุงประหลาดพิสดารหลากรูปแบบ มีเนื้อสัตว์สารพัดสารพัน ทั้งที่บินฟ้า วิ่งบนดิน ว่ายในน้ำ หลากหลายประเภท
หลายปีนี้เขาท่องไปทั่วฟ้าดารา ตลอดทางเดินทางอยู่กลางภูผาธารา ตัวเมืองมากมายในสี่สิบเก้าแคว้นแห่งหงเหมิง ล้วนถูกเขาสัญจรผ่านมาไม่รู้เท่าไหร่ ระหว่างทางนี้ยังรวบรวมของแปลกมานับไม่ถ้วน
บ้างเกิดในโลกใหญ่หงเหมิง บ้างมาจากโลกอื่นของฟ้าดาราอื่น เรียกได้ว่าแตกต่างกันไป มากมายหลายหลากละลานตา
เมื่อเตรียมวัตถุดิบพร้อมแล้ว หลินสวินนำกระถางสมบัติใบหนึ่งมาเป็นหม้อทำอาหาร กระบี่บินหลายสิบเล่มเสียบเนื้อ ดาบจักรพรรดิเล่มหนึ่งหั่นผัก…
เห็นเงาร่างที่สาละวนของหลินสวิน ซย่าจื้อเบิกตากว้างพลางกล่าว “หลินสวิน หลายปีนี้เจ้าไปทำอะไรกันแน่ เป็นพ่อครัวรึ”
“หากข้าเป็นพ่อครัวก็ทำอาหารให้เจ้ากินคนเดียว” หลินสวินยิ้ม เขาพูดพลางตบศีรษะ นึกถึงเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้
ครู่ต่อมาร่างแยกทั้งห้าก็พุ่งออกมาพร้อมกัน เริ่มแยกกันเคลื่อนไหว คราวนี้หลินสวินถึงพอใจ ทำอาหารมากขนาดนี้คนเดียวคงช้าเกินไปแล้ว
หน้าป้อมปราการที่กว้างใหญ่นั้นกลายเป็นห้องครัวของหลินสวิน ไม่ทันไรก็อบอวลไปด้วยกลิ่นหอมของอาหารจานแล้วจานเล่า
…
แดนปรินิพพาน
บนทุ่งรกร้างที่กว้างใหญ่ไร้ขอบเขตผืนนั้น
“จบแล้ว ในที่สุดก็จบแล้ว…” สัตว์ประหลาดเฒ่าคนหนึ่งผ่อนลมหายใจออกมายาวๆ เหมือนยกภูเขาออกจากอก
มองขึ้นไปบนฟ้าจากที่นี่ ได้แต่เห็นกำแพงเมืองหมื่นมรรคที่คดเคี้ยวอยู่กลางฟ้าดาราเหมือนมังกรนั่น ฟ้าดาราที่ห่างไกลออกไปกลับไม่อาจมองเห็น
แต่สัตว์ประหลาดเฒ่าทุกคนล้วนรู้ดี การต่อสู้ที่เกิดขึ้นในส่วนลึกของฟ้าดารานั่นน่าจะจบแล้ว ก็ไม่รู้ว่าผลสุดท้ายเป็นอย่างไร
“ก่อนหน้านี้ฟ้าดาราแถบนั้นราวกับจะระเบิดแตก แต่ตอนนี้ดันกลับมาเหมือนเดิม หวนคืนสู่ความสงบอีกครั้ง ดูท่าว่าบุคคลน่ากลัวที่มาจากฟากฝั่งฟ้าดาราคนนั้นน่าจะได้ชัยกลับไปแล้ว”
มีคนกล่าวกับตัวเอง
“ได้ชัย? ไม่แน่เสมอไป คนที่เหยียบสายน้ำแห่งกาลเวลามานั้น มีโอกาสสูงที่จะเป็นกายมรรคเจตจำนงซึ่งเจ้าแห่งคีรีดวงกมลเหลือทิ้งไว้ ก่อนหน้านี้ชายสามหญิงหนึ่งนั่นล้วนถูกเขากำราบโดยง่าย!”
มีคนหวาดหวั่น
คนอื่นก็กดเสียงเบาพูดคุยกัน สีหน้าต่างตื่นตระหนกไม่หยุด
พวกเขาเป็นถึงระดับจักรพรรดิ แต่ก่อนหน้านี้กลับมีความสามารถน้อยนิด ได้แต่หลบลี้หนีตาย เกรงแต่จะถูกลูกหลง
ยามนี้เมื่อนึกถึงการต่อสู้น่ากลัวที่เกิดขึ้นในฟ้าดารานั่น ยังคงทำให้พวกเขาไม่อาจสงบใจ รู้สึกสั่นสะท้าน
“ตอนนี้ข้าสนแค่เศษเดนแห่งคีรีดวงกมลนั่นเป็นหรือตายกันแน่ ทั้งบรรลุจักรพรรดิสำเร็จหรือไม่”
สัตว์ประหลาดเฒ่าคนหนึ่งสีหน้าเคร่งขรึม
ยามนี้ไม่ว่าใครพอนึกถึงหลินสวินจะเหมือนกินแมลงวันเข้าไป ไม่ต้องพูดถึงว่ารู้สึกแย่แค่ไหน
กระบวนรบของทัพใหญ่สัตว์ประหลาดฟ้าดาราเกรียงไกรระดับใด แต่กลับไม่อาจฆ่าเขาได้
มหาเคราะห์แห่งยุคนั้นน่ากลัวเพียงใด แต่ยังไม่อาจสังหารเขาได้
กระทั่งบุคคลน่ากลัวของฟากฝั่งฟ้าดาราปรากฏตัว กลับถูกเจ้าแห่งคีรีดวงกมลที่มาอย่างไม่คาดฝันขวางไว้…
นี่จะให้พวกเขายอมรับได้อย่างไร
“หากเด็กนี่รอดชีวิตคงก้าวสู่ระดับจักรพรรดิแล้วแน่นอน ทั้งยังเป็นระดับมกุฎจักรพรรดิคนหนึ่งด้วย คิดดูว่าตอนที่เขาอยู่ระดับกึ่งมกุฎจักรพรรดิ ยังสังหารสัตว์ประหลาดที่เทียบกับระดับจักรพรรดิด่านสามได้ แค่คิดก็รู้แล้วว่าหลังจากเขาบรรลุจักรพรรดิ พลังต่อสู้จะน่าหวาดกลัวระดับใด”
มีคนวิเคราะห์อย่างใจเย็น “หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งคือ แม้ว่าเขาเพิ่งก้าวสู่ระดับจักรพรรดิ มีพลังปราณแค่ระดับจักรพรรดิด่านแรก แต่กลับไม่อาจใช้ความเข้าใจทั่วไปมาคาดคะเนได้ ด้วยนิสัยของเด็กนี่ต้องกลับมาแก้แค้นพวกเราแน่!”
คำพูดพวกนี้ทำให้สัตว์ประหลาดเฒ่าในที่นั้นหนักใจไม่น้อย
หากเป็นเช่นนั้นจริง หลังจากศึกมรรคของเหล่าจักรพรรดิครั้งบรรพกาลปิดฉาก ในช่วงเกือบแสนปีมานี้ หลินสวินก็คือบุคคลแห่งยุคคนเดียวที่บรรลุมกุฎจักรพรรดิ!
ถ้าสันนิษฐานจากพลังต่อสู้เย้ยฟ้าที่เขาแสดงออกมาในระดับกึ่งมกุฎจักรพรรดิ หลังจากเขาก้าวสู่ระดับจักรพรรดิ พลังต่อสู้ของเขาย่อมไม่ใช่สิ่งที่ระดับจักรพรรดิทั่วไปเทียบได้อย่างแน่นอน
นี่ทำให้สัตว์ประหลาดเฒ่าระดับจักรพรรดิด่านสี่และด่านห้าในที่นั้น ไม่กล้าดูถูกแม้แต่น้อย
กล่าวสรุปโดยง่ายคือหากหลินสวินรอดชีวิตจริง เช่นนั้นสำหรับพวกเขาก็คือภัยคุกคามที่ไม่อาจมองข้ามอย่างหนึ่ง!
“รอดชีวิตแล้วอย่างไร เด็กนี่เพิ่งทะลวงปราณ ต่อให้เย้ยฟ้าแค่ไหน หากพวกเราร่วมมือกันก็ต้องมีโอกาสสังหารเขาได้แน่!”
จักรพรรดิสงครามฉางหลิวแห่งเรือนมรรคดึกดำบรรพ์พูดเสียงเย็น เขาเป็นตัวตนระดับจักรพรรดิด่านหก ก่อนหน้านี้ยามหลินสวินข้ามด่านเคราะห์ เขาก็เป็นคนแรกที่พุ่งเข้าไปคุกคามหลินสวิน
“สหายยุทธ์ฉางหลิวพูดถูก เด็กนี่มีภัยคุกคามก็จริง แต่เขาคนเดียวจะเป็นคู่ต่อสู้ของสหายร่วมวิถีนับร้อยคนอย่างพวกเราได้หรือ”
จักรพรรดิกระบี่เมฆแสงแห่งเผ่าจักรพรรดิดึกดำบรรพ์ก็เอ่ยปาก เขาเคยพาบุคคลระดับจักรพรรดิหลายสิบคน ฉวยโอกาสยามหลินสวินข้ามด่านเคราะห์ บุกไปล้อมสังหารซย่าจื้อ
มีคนกล่าวเตือน “อย่าลืมสิ ข้างกายเด็กนี่ยังมีหญิงสาวที่แข็งแกร่งกว่าอีกคน”
“ก็แค่สองคนเท่านั้น!” จักรพรรดิกระบี่เมฆแสงแค่นเสียงเย็นชา ด้วยไม่อาจจับตัวซย่าจื้อได้ ทำให้เขาแค้นฝังใจมาถึงตอนนี้
มีคนยิ้มพลางกล่าว “จากที่ข้าดูพวกเราไม่จำเป็นต้องห่วงภัยคุกคามที่เด็กนี่จะนำมา ถึงอย่างไรก็รอแดนปรินิพพานสิ้นสุด จักรพรรดิดำรงสวรรค์ย่อมไม่ปล่อยเขาเป็นคนแรก”
ทันทีที่วาจานี้กล่าวออกมา สัตว์ประหลาดเฒ่าคนอื่นพลันผ่อนคลายลงทั้งตัว ใช่แล้ว หลินสวินเป็นถึงเป้าหมายที่ถูกจักรพรรดิดำรงสวรรค์ประกาศจับ!
“ทุกท่าน ยามเด็กนี่บรรลุมกุฎจักรพรรดิ ยังชิงศุภโชคของการกลายเป็น ‘ยอดอมตะ’ ไปด้วย พวกท่านจะยอมแพ้แค่นี้จริงหรือ”
มีคนเปิดปากพูดเงียบๆ “หากจะให้ข้าพูด ตอนนี้พวกเราควรจับตัวเจ้าเฒ่าเฟิงหลิงนั่นไว้ บางทีอาจใช้ข่มขู่หลินสวินนั่นได้”
ฟุ่บ!
ทันทีที่วาจานี้กล่าวออกมา ทุกสายตาในที่นั้นต่างมองไปยังคนผู้หนึ่งพร้อมกัน… จักรพรรดิสงครามเฟิงหลิง!
ใครบ้างไม่รู้ว่ายามอยู่บนกำแพงเมืองหมื่นมรรค เจ้าเฒ่าเฟิงหลิงนี่คอยให้กำลังใจ ทวงความเป็นธรรม เข้าหาสานสัมพันธ์กับเศษเดนแห่งคีรีดวงกมลนั่นตลอด!