ในสนามรบเหลือสัตว์ประหลาดเฒ่าระดับจักรพรรดิแค่เกือบห้าสิบคน เทียบกับตอนแรกแล้ว แค่ด้านจำนวนก็น้อยลงไปราวแปดส่วน
ในแปดส่วนนี้มีผู้แข็งแกร่งที่อยู่ต่ำกว่าระดับจักรพรรดิขั้นสี่ถูกฆ่าไปเกือบสองส่วน มีประมาณหกสิบกว่าคน
คนอื่นล้วนเลือกหลบหนี
หรือกล่าวได้ว่าต่อสู้มาถึงตอนนี้ ระดับจักรพรรดิที่หลินสวินสังหาร มีน้อยกว่าระดับจักรพรรดิที่หนีไปพวกนั้น
นี่ก็พิสูจน์ได้ว่าเป็นกลุ่มรวมพลจริงๆ ไม่ถึงขั้นเป็นพวกพ้องสามัคคี เคลื่อนไหวไปด้วยกัน
แต่ต่อให้เป็นเช่นนั้น ระดับจักรพรรรดิที่ถูกหลินสวินสังหารนั่น เมื่อนำมารวมกันแล้วก็ยังเป็นตัวเลขชวนตะลึงที่พอจะทำให้ทั่วหล้าตื่นตระหนก!
การต่อสู้ไม่ได้สิ้นสุดเพียงเท่านี้ ตรงกันข้ามกลับอันตรายยิ่งกว่าเดิม
สัตว์ประหลาดเฒ่าเกือบห้าสิบคนที่เหลืออยู่นั้น แต่ละคนล้วนมีพลังต่อสู้ระดับจักรพรรดิขั้นห้าและขั้นหก อานุภาพของแต่ละคนล้วนเรียกได้ว่าน่าหวาดกลัวร้ายกาจ
ต่อให้หลินสวินสังหารจักรพรรดิกระบี่อวิ๋นกวง ทำให้พวกเขารู้สึกใจสั่นสะท้าน แต่พวกเขาก็ไม่ถอยเพียงแค่นี้
หนึ่งด้วยเชื่อมั่นว่าหลินสวินที่เพิ่งเหยียบระดับจักรพรรดิไม่มีทางยืนหยัดได้นานแน่
และด้วยพวกเขามั่นใจว่าต่อให้เกิดผลลัพธ์ที่เลวร้ายที่สุด ด้วยพลังของพวกเขาย่อมเพียงพอจะถอยหนีได้อย่างสบาย!
ความจริงหลินสวินและกายมรรคทั้งห้าในตอนนี้ล้วนถูกปิดล้อมจริงๆ สถานการณ์ที่เผชิญหน้าไม่ได้เปลี่ยนไปมากนัก
ถึงขั้นต่อให้หลินสวินคิดสังหารคู่ต่อสู้เหมือนอย่างจักรพรรดิกระบี่อวิ๋นกวงอีกก็ลำบากแล้ว
สาเหตุอยู่ที่สัตว์ประหลาดเฒ่าที่เปลี่ยนเป็นระวังตัวและจริงจังพวกนี้ ล้วนมองหลินสวินเป็นศัตรูที่แข็งแกร่งตัวฉกาจ เมื่อสังเกตเห็นว่าอันตรายก็จะถอยไปชั่วคราว ไม่ยอมเข้าปะทะอย่างบุ่มบ่ามอีก
ตูม!
ในสนามรบกลิ่นอายสังหารล้นฟ้า เสียงมรรคดังกระหึ่มสะท้อนไปทั่วทิศ
“เจ้าสวะ ใช้พลังไปสิ เดี๋ยวเจ้าก็หมดแรงตาย!”
มีเฒ่าดึกดำบรรพ์สีหน้าอำมหิตแฝงความเกลียดชัง
ระดับมกุฎจักรพรรดิขั้นหนึ่งกลับมีพลังต่อสู้เย้ยฟ้า ต่อสู้มาได้ถึงตอนนี้ นี่ทำให้พวกเขารู้สึกหวาดหวั่น รวมถึงอับอายอย่างบอกไม่ถูก
“ครั้งนี้หากไม่ฆ่าเขาให้ตาย วันหน้าใต้หล้านี้เกรงว่าคงไม่มีใครกำราบเขาได้แล้ว!”
มีสัตว์ประหลาดเฒ่าสีหน้าจริงจัง
เพิ่งก้าวสู่ระดับจักรพรรดิ ก็มีพลังต่อสู้ที่สังหารระดับจักรพรรดิขั้นห้าในการล้อมโจมตีได้ นี่ไม่ใช่แค่เย้ยฟ้า แต่วิปริตชัดๆ!
ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน ใครเคยเห็นคนที่เพิ่งบรรลุจักรพรรดิแล้วมีพลังต่อสู้ไร้เทียมทานเช่นนี้บ้าง
หากให้บุคคลเช่นนี้รอดไปได้ เมื่อพลังปราณและความสามารถของเขายกระดับ… ภายหน้าต้องยิ่งเปลี่ยนเป็นแข็งแกร่งและน่ากลัวขึ้นเรื่อยๆ!
หากถึงตอนนั้นจริง ใต้หล้านี้ใครยังเป็นคู่ต่อสู้ของเขาได้อีก
“ฆ่า! ต่อให้ไม่อาจชิงศุภโชคบนตัวเขามาได้ก็ต้องกำจัดมหัตภัยนี้ให้สิ้นซาก!”
มีสัตว์ประหลาดเฒ่าตวาดลั่น ไอสังหารสะท้านฟ้า
ก่อนหน้านี้เมื่อนานมาแล้วพวกเขาล้วนล่วงเกินหลินสวินทั้งสิ้น ไม่ต้องคิดก็รู้ว่าหากให้หลินสวินรอดไปได้ ภายหน้าไม่ช้าก็เร็วต้องถูกหลินสวินล้างแค้นแน่!
นี่ก็คือสิ่งที่ทำให้พวกเขาหวาดกลัว
มีโจรบุกมาทุกเมื่อ มีหรือจะป้องกันได้ตลอด
“วางใจเถอะ วันหน้าเมื่อข้าคนแซ่หลินเหยียบทางเดินโบราณฟ้าดาราอีกครั้ง ย่อมไปเยือนทีละสำนัก คิดบัญชีกับทุกท่านให้เต็มที่!”
นัยน์ตาดำของหลินสวินลึกล้ำ ทั่วร่างแผ่กฎเกณฑ์มรรคจักรพรรดิโหมกระหน่ำ วิวัฒน์เป็นเหวลึก ต่อให้ถูกล้อมโจมตี สถานการณ์อันตรายแต่ไม่ถูกกำราบ
หรือกล่าวได้ว่าตั้งแต่เริ่ม เขาก็นำเฒ่าสารเลวพวกนี้มาเพิ่มความมั่นคงให้มรรควิถี!
เพิ่งบรรลุมกุฎจักรพรรดิ ระดับขั้น พลัง มรรควิถีล้วนใหม่ทั้งหมด ทำให้หลินสวินเกิดการเปลี่ยนแปลงที่พลิกฟ้าพลิกดิน
แต่การเปลี่ยนแปลงเช่นนี้ก็ต้องปรับตัวและเพิ่มความมั่นคง
การต่อสู้เป็นวิธีขัดเกลาซึ่งตรงไปตรงมาและเรียบง่ายที่สุดอย่างไม่ต้องสงสัย ทำให้เขายึดกุมพลังของระดับจักรพรรดิได้อย่างรวดเร็ว ทั้งฉวยโอกาสนี้มาทดสอบและเคี่ยวกรำมรรควิถีแห่งตนไปด้วย
“ทุกท่านล้วนได้ยินแล้ว เจ้าหมอนี่บ้าคลั่งแค่ไหน หากให้เขารอดไปได้ ภายหน้าไม่ช้าก็เร็วต้องสังหารทั่วหล้า เปิดฉากฝนเลือดลมคาวนับไม่ถ้วน!”
มีเฒ่าดึกดำบรรพ์หน้าคล้ำเขียว คำรามด้วยเสียงแหบพร่า
“ฆ่า!”
“ฆ่าเดรัจฉานนี่ซะ!”
เหล่าสัตว์ประหลาดเฒ่าพวกนั้นแต่ละคนตาลุกวาว โจมตีอย่างแข็งกร้าวยิ่งกว่าเดิม ทำให้ฟ้าดินแถบนี้ปั่นป่วน ตกอยู่ในความวุ่นวายโกลาหล
“โอม!”
แรงกดดันของหลินสวินเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว เขาเอ่ยเสียงมรรค เรียกกายมรรคทั้งห้ากลับมาทันที จากต่างคนต่างสู้เปลี่ยนเป็นกรำศึกพร้อมร่างต้นของเขา
เมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว แม้จะทำให้เขาตกเป็นเป้าโจมตีในชั่วขณะเดียว แต่พอมีร่างแยกทั้งห้าช่วยกันต่อสู้และป้องกันแล้ว กลับกลายเป็นว่าไม่ต้องหวั่นเกรงพลังกดดันของศัตรูทั่วทิศ
บนเวิ้งฟ้า จักรพรรดิสงครามเฟิงหลิงอดตึงเครียดขึ้นมาไม่ได้
ระดับจักรพรรดิขั้นหนึ่ง คือขั้นแห่ง ‘ไร้ผูกมัด’ ที่เรียกว่าไร้ผูกมัดก็คือไม่ยึดติดในมรรค ไม่ยึดมั่นในวิชา
ยึดมั่นย่อมมีการครอบครอง ยั่งยืนย่อมไม่ยึดติด
ผู้ครองมหามรรค ต้องตั้งจิตให้ไร้ผูกมัด!
เมื่อบรรลุขั้นนี้ ในร่างจักรพรรดิจะเปิดโลกใบใหม่ สร้างจากพลังระดับจักรพรรดิที่บริสุทธิ์และแข็งแกร่ง
โลกนี้ยังถูกมองว่าเป็น ‘โลกจักรพรรดิแห่งตน’
มรรควิถีที่ยึดกุมยิ่งยอดเยี่ยมและแข็งแกร่ง ‘โลกจักรพรรดิแห่งตน’ ก็ยิ่งกว้างใหญ่และไพศาล อานุภาพที่ปลดปล่อยออกมาก็ยิ่งน่ากลัว
นอกจากนี้จิตวิญญาณของระดับจักรพรรดิขั้นหนึ่งยังกลายเป็น ‘รูปจำลองเจตจำนง’ รูปจำลองไม่ดับสลาย ความคิดไม่เสื่อมสูญ มรรควิถีก็คงอยู่ชั่วกาล!
ร่างกายเลือดลมเปลี่ยนเป็น ‘กายพรตมรรคจักรพรรดิ’ ต่อให้เหลือแค่เลือดหนึ่งหยด กระดูกหนึ่งท่อนก็เกิดใหม่ได้
นี่ก็คือระดับจักรพรรดิ!
ขอแค่ไม่ถูกโจมตีจน ‘สลายกลายเป็นธุลี’ ชีวิตก็เหมือนไม่ดับสลาย สามารถมีอายุขัยเทียมฟ้า!
ด้วยเหตุนี้ในระดับจักรพรรดิจึงมีคำพูดหนึ่ง ‘ผู้ไร้ผูกมัด อายุขัยเทียมฟ้าดิน’!
จักรพรรดิสงครามเฟิงหลิงก็ก้าวมาจากระดับจักรพรรดิขั้นหนึ่งทีละก้าวจนถึงปัจจุบัน ทำไมจะไม่รู้ถึงนัยเร้นลับของขั้นนี้ หลายปีมานี้เขาเคยเจอระดับจักรพรรดิขั้นหนึ่งมามาก มีทั้งชายและหญิง มากมายหลายหลาก ศักยภาพก็มีทั้งสูงและต่ำ
บ้างรากฐานเป็นเลิศ มีอานุภาพกำราบคนระดับเดียวกัน เจิดจรัสหาใดเปรียบ ถูกมองเป็นอัจฉริยะคนใหม่บนมรรคจักรพรรดิ ชื่อเสียงสะเทือนทั่วหล้า หนทางข้างหน้าไม่อาจประมาณได้
บ้างมีรากฐานพลังดาษดื่นธรรมดา ไม่ถึงขั้นเจิดจรัส แต่ถึงอย่างไรก็เป็นระดับจักรพรรดิ ใช่ว่าผู้ฝึกปราณที่อยู่ต่ำกว่าระดับจักรพรรดิจะเทียบได้
สาเหตุอยู่ที่มรรควิถีทั้งสามอย่าง ‘รูปจำลองเจตจำนง’ ‘โลกจักรพรรดิแห่งตน’ ‘กายพรตมรรคจักรพรรดิ’ คนที่อยู่ในระดับเดียวกันก็ยังแตกต่างกันออกไป
มรรควิถีทั้งสามนี้ต่างเป็นตัวแทนของสามมรรคา อย่างการหลอมจิต หลอมปราณ และหลอมกาย
นี่ก็คือสาเหตุที่ว่าทำไมจึงมีแค่คนที่ฝึกมรรคาสามอย่างนี้พร้อมกัน ถึงมีหวังไปแจ้งมรรคบรรลุจักรพรรดิได้
แต่คนที่ฝึกสามมรรคาพร้อมกัน ก็ใช่ว่าจะเคี่ยวกรำมรรคาทั้งสามให้บรรลุถึงขั้นสมบูรณ์สูงสุดได้ ดังนั้นศักยภาพในระดับเดียวกันจึงมีการแบ่งสูงต่ำ
แม้ว่าหลายปีมานี้จักรพรรดิสงครามเฟิงหลิงเคยเจอระดับจักรพรรดิขั้นหนึ่งมากมาย แต่ยังไม่เคยเจอใครเหมือนหลินสวิน ที่สามารถข้ามขั้นระดับจักรพรรดิ ไปห้ำหั่นกับเฒ่าดึกดำบรรพ์ระดับจักรพรรดิขั้นห้าและขั้นหกได้!
สิ่งนี้ล้มล้างความเข้าใจของจักรพรรดิสงครามเฟิงหลิงอย่างสิ้นเชิง ล้วนไม่กล้าเชื่อว่านี่เป็นอานุภาพที่ระดับจักรพรรดิขั้นหนึ่งครอบครองได้
เขารู้ดีว่าหลินสวินเป็นผู้บรรลุมกุฎจักรพรรดิคนเดียวในรอบแสนปีนี้ เขายังรู้ว่าความหมายของคำว่า ‘มกุฎ’ บนมรรคจักรพรรดิคือพลังระดับใด แม้ว่าตนจะไม่รู้ชัด
แต่เขากลับแน่ใจยิ่งยวด ว่าในสมัยดึกดำบรรพ์ซึ่งเคยมีมกุฎมหาจักรพรรดิท่องไปทั่วหล้า เคยส่องประกายสะเทือนใต้หล้า ทำให้ทั่วหล้าตื่นตระหนก
เพียงแต่…
มกุฎมหาจักรพรรดิในสมัยดึกดำบรรพ์นั้น คล้ายว่าไม่มีพลังต่อสู้เย้ยฟ้าและน่าเหลือเชื่อเหมือนอย่างที่หลินสวินเผยออกมา!
ในตำราของเรือนมรรคโลกาสวรรค์เคยบันทึกว่า สมัยดึกดำบรรพ์ในเรือนมรรคโลกาสวรรค์มีมกุฎมหาจักรพรรดิคนหนึ่งปรากฏตัวบนโลก ใช้พลังของตนกำราบคนรุ่นเดียวกันในระดับจักรพรรดิขั้นสามแปดคน ด้วยเหตุนี้จึงชื่อเสียงสะเทือนโลกหล้า
แต่นี่ก็เป็นแค่ผลงานที่เจิดจรัสที่สุดของมกุฎมหาจักรพรรดิคนนั้น ไม่เหมือนหลินสวินที่ฆ่าระดับจักรพรรดิขั้นสี่ได้ง่ายราวกับพลิกฝ่ามือ การสังหารระดับจักรพรรดิขั้นห้าก็ไม่ต้องพูดถึง
สามารถใช้พลังของตัวเอง ไปสู้กับเฒ่าดึกดำบรรพ์ระดับจักรพรรดิขั้นห้าและขั้นหกมากมายได้!
วิปริตเกินไปแล้ว!
เรียกได้ว่าเป็นคนแรกที่ไม่เคยมีมาก่อนตั้งแต่ในอดีตเรื่อยมาจนปัจจุบัน!
แต่หลินสวินในตอนนี้กลับตกอยู่ในวงล้อม สถานการณ์อันตราย ทำให้ใจของจักรพรรดิสงครามเฟิงหลิงตึงเครียดขึ้นมาอย่างอดไม่ได้ แทบจะกลั้นหายใจ
กร้วม! กร้วม!
เสียงกินแตงอย่างกรุบกรอบของซย่าจื้อดังขึ้นข้างหูอีกครั้ง เห็นได้ว่าเสียดหูอย่างยิ่ง
สถานการณ์ในตอนนี้ทำให้จักรพรรดิสงครามเฟิงหลิงอยากจะถามอย่างอดไม่อยู่ สถานการณ์ของหลินสวินอันตรายเช่นนี้ แม่นางยังมีใจกินแตงอีกหรือ
แต่สุดท้ายเขาก็อดกลั้นไว้ ตระหนักบางอย่างขึ้นได้ทันที…
แม่นางกินแตงข้างกายคนนี้ก็เป็นบุคคลร้ายกาจแห่งยุคที่แข็งกร้าวดุดันจนน่ากลัวคนหนึ่ง ขนาดนางยังไม่ลงมือ ข้าจะกลุ้มใจไปเปล่าๆ ทำไม
ยิ่งไปกว่านั้นหากหลินสวินถูกคุกคามถึงชีวิตจริง แม่นางกินแตงมีหรือจะไม่แยแส
คิดได้เช่นนี้ใจที่ตึงเครียดของจักรพรรดิสงครามเฟิงหลิงพลันเปลี่ยนเป็นนิ่งสงบลงมาบ้าง กวาดตามองไปยังแตงวิญญาณเขียวชอุ่มที่อยู่ในมือซย่าจื้อเล็กน้อย ลำคอไหวเคลื่อนอย่างอดไม่ได้ แตงนี้… อร่อยขนาดนั้นจริงหรือ
“อยากกินไหม” ซย่าจื้อถาม
จักรพรรดิสงครามเฟิงหลิงอึ้งไป ลังเลเล็กน้อยพลางกล่าว “ลองดูก็ได้”
เขารู้สึกเสียหน้าอยู่บ้าง นี่มันเวลาไหนแล้ว ข้ากลับคิดจะกินแตง! นี่… ออกจะไม่เคารพน้องหลินที่กำลังสู้สุดชีวิตเกินไป…
ซย่าจื้อยัดแตงวิญญาณใส่มือจักรพรรดิสงครามเฟิงหลิง จากนั้นก็บิดเอวอรชรเล็กบางพลางกล่าว
“อีกเดี๋ยวน่าจะถึงคราวข้าออกโรงแล้ว”
เสียงใสสะอาดดุจเสียงจากธรรมชาติเจือความกระตือรือร้นอยากลองเสี้ยวหนึ่ง
จักรพรรดิสงครามเฟิงหลิงกินแตงวิญญาณคำหนึ่ง ลิ้มรสเนื้อแตงที่หวานฉ่ำสดชื่นนั้น ในใจผ่อนคลายยิ่งกว่าเดิม ในที่สุดแม่นางกินแตงก็จะออกศึกแล้ว แตงนี้คงมีข้ากินคนเดียว
แต่เวลานี้เขาพลันอึ้งไป
ซย่าจื้อก็ตกตะลึง
ขณะเดียวกันหลินสวินในสนามรบพลันสูดหายใจลึก เบื้องหน้ามีแสงงามตระการดุจภาพฝันระเบิดออกมา
เพียงชั่วขณะสัตว์ประหลาดเฒ่าที่ล้อมโจมตีเขาพวกนั้นราวกับหยุดตรึง การเคลื่อนไหวและเงาร่างหยุดชะงักไปพร้อมกัน
ส่วนหลินสวินกับร่างแยกทั้งห้าก็เปิดฉากเข่นฆ่าพร้อมกันในชั่วขณะนี้
ฟุ่บ! ฟุ่บ! ฟุ่บ! ฟุ่บ!
ปราณกระบี่เจิดจรัสหาใดเปรียบ ประทับฝ่ามือทรงพลังดั่งขุนเขา พลังดรรชนีเฉียบคมไร้เทียมทาน แสงเพลิงเทพพร่างพรายละลานตาโฉบพุ่งออกมาพร้อมกัน พลันเห็นว่าคนที่ล้อมโจมตีนั้น บ้างถูกฟาดฟันสังหาร บ้างถูกสยบพิฆาต บ้างถูกลอบสังหาร บ้างถูกแผดเผา…
แค่พริบตาเดียวเท่านั้น
เฒ่าดึกดำบรรพ์เจ็ดคนที่ล้อมเข้ามาใกล้หลินสวินที่สุดล้วนถูกฆ่าตายคาที่ ฝนโลหิตแดงก่ำนั้นราวกับประทัดเบ่งบานต่อเนื่องเป็นระลอก
เลือดอาบท้องนภา!
…………………………