The king of War บทที่ 1974 ภัยพิบัติสวรรค์กำลังจะผ่านไป
การกระทำของเกาสงดึงดูดความสนใจของทุกคนในทันที
ผู้คนของ สำนักมาร ต่างก็จ้องมองที่เกาสงอย่างโกรธจัด
ใบหน้าของลี่เฉินมืดมนขีดสุด เขาพูดอย่างเย็นชา “เกาสง นายรู้ไหมว่านายกำลังทำอะไรอยู่?”
เกาสงเป็นหนึ่งในสี่ยอดขุนพลมารของสำนักมาร ขณะอยู่แดนเหนือมนุษย์ขั้นเก้าชั้นก็ติดอันดับหนึ่งในสิบผู้แข็งแกร่งในภูเขามารแล้ว ตอนนี้เมื่ออยู่กึ่งแดนนภาขั้นหนึ่งชั้นต้นความแข็งแกร่งก็ยิ่งมากขึ้น
กล่าวได้ว่าภายใต้สำนักมาร เงามาร นั้นแข็งแกร่งที่สุด รองลงมาคือเกาสง
แต่ตอนนี้ เกาสงคุกเข่าต่อหน้าผู้แข็งแกร่งแดนนภาที่ต้องการทำลายสำนักมารและบอกว่าเขาอยากเป็นสุนัขของอีกฝ่าย ซึ่งนี่ถือเป็นเรื่องอัปยศต่อสำนักมาร
เกาสงจ้องลี่เฉินอย่างโกรธจัดและพูดเสียงดังว่า “ลี่เฉิน ถ้าฉันไม่ทำแบบนี้ ฉันจะยังมีทางรอดอยู่หรือไง? อันที่จริงนายบรรลุแดนนภาไปตั้งนานแล้วใช่ไหม? เงามารรู้ดี ในสี่ยอดขุนพลมารบอกจากฉันแล้วอีกสามคนก็ล้วนรู้เรื่องนี้ นายอยากจะจัดการฉันตั้งนานแล้ว แล้วทำไมฉันต้องภักดีกับนายด้วย? ทำไมต้องภักดีต่อสำนักมาร?”
ลี่เฉินจ้องที่เกาสงอย่างเย็นชาและกล่าวว่า “นั่นเพราะ นายไม่คู่ควร!”
“ฮ่าฮ่า!”
เกาสงก็หัวเราะอย่างบ้าคลั่ง หลังจากที่เขาหัวเราะมากพอแล้วก็มองไปที่ลี่เฉินอย่างเคร่งขรึมและพูดว่า “ฉันไม่คู่ควรแค่นี้เอง! ในเมื่อเป็นแบบนี้ ฉันเกาสงขอประกาศว่าตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ฉันขอประกาศสงครามกับสำนักมาร! ไม่ใช่แค่สำนักมาร แต่ยังมีนายลี่เฉินคอยดูเถอะ หลังจากที่วิถีบู๊ของฉันบรรลุสู่แดนนภาแล้ว ฉันจะไปหานายด้วยตนเองแล้วเอาชีวิตสุนัขของนายซะ!”
“บังอาจ!”
เงามารคำรามและคิดจะโจมตีเกาสง แต่ถูกลี่เฉินหยุดไว้
“ฮึ่ม!”
ลี่เฉินมีสีหน้าดูถูกเหยียดหยามและพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า “เชื่อฉันเถอะ คนอย่างนาย ไม่รอดไปถึงบรรลุแดนนภาหรอก”
เกาสงเอ่ยอย่างโกรธจัดว่า “นายอาศัยอะไรมาพูดแบบนั้น? ฉันที่อยู่แดนเหนือมนุษย์ขั้นเก้าชั้นยอดก็สามารถแข่งขันกับกลุ่มผู้แข็งแกร่งกึ่งแดนนภาขั้นหนึ่งชั้นต้นและติดอันดับหนึ่งในสิบผู้แข็งแกร่งในภูเขามารได้ วันนี้แดนบูโดของฉันไปถึงกึ่งแดนนภาขั้นหนึ่งแล้ว ภายใต้แดนนภา ยังมีใครเอาชนะฉันได้อีก”
“พรสวรรค์ด้านบูโดแบบนี้ นายอาศัยอะไรมาบอกว่าฉันจะบรรลุแดนนภาได้หรือไม่ได้?”
ลี่เฉินเหล่มองที่เกาสงและถามว่า “ความแข็งแกร่งที่นายมีตอนนี้เป็นผลมาจากพรสวรรค์ด้านบูโดแล้วฝึกฝนสำเร็จหรือไง?”
เมื่อได้ยินคำถามของลี่เฉิน เกาสงก็ลนลานเล็กน้อยและพูดด้วยความโกรธและร้อนตัวว่า “ไร้สาระ ถ้าไม่ใช่เพราะพรสวรรค์ด้านบูโดของฉันโดดเด่น แล้วเป็นเพราะความแข็งแกร่งที่นายมอบให้ฉันหรือไง?”
ลี่เฉินเยาะเย้ยและตะโกนทันทีว่า “โล่ล่องหน! ออกมา!”
ใบหน้าของเกาสงเปลี่ยนไปอย่างกะทันหัน สีหน้าเหลือเชื่อ
วินาทีถัดมา สีหน้าของเขาก็บิดเบี้ยวอย่างมาก
ดูเหมือนมีพลังอันแข็งแกร่งพุ่งออกมาจากร่างกายของเขา
แต่คำพูดของลี่เฉินทำให้ผู้แข็งแกร่งทั้งหมดในภูเขามารตกใจ
“โล่ล่องหน! ของอาถรรพ์ระดับสูงของคามิ โคโซ ซึ่งหายไปเป็นเวลาสิบปี ผู้ครอบครอง สามารถซ่อนมันในร่างกายได้ ภายใต้แดนนภา มันจะช่วยเสริมความแข็งแกร่งของแดนบูโดของตัวเอง”
อิงเทียนสิงมองที่เกาสงอย่างแปลกใจและกล่าวว่า
กองกำลังสูงสุดทั้งห้าแห่งภูเขามารต่างก็มีของอาถรรพ์ของตัวเอง เช่นโล่ล่องหนของสำนักบูโด ลูกปัดมารของสำนักมาร เฟิ่งกู่ฉินของสำนักเซิ่งกง และขนนกราตรีของสำนักพิษ ส่วนคามิ โคโซก็คือ โล่ล่องหน ในหมู่พวกเขา โล่ล่องหนเป็นสิ่งที่น่ากลัวที่สุด
นั่นเพราะคนที่ฝึกฝนโล่ล่องหนจะสามารถเสริมความแข็งแกร่งของแดนบูโดที่อยู่ใต้แดนนภาได้ กล่าวคือ ผู้ที่อยู่แดนเหนือมนุษย์ขั้นเก้าชั้นยอดจะสามารถมีกำลังในกึ่งแดนนภาขั้นหนึ่งชั้นต้น และถ้าอิงเทียนสิงมีโล่นี้ เขาที่อยู่ในกึ่งแดนนภาขั้นหนึ่งชั้นต้นจะมีความแข็งแกร่งเพิ่มมากแค่ไหน?
โล่ล่องหนหายไปเมื่อสิบปีก่อน แต่ตอนนี้มันปรากฏอยู่ในมือของเกาสง
อิงเทียนสิงมองไปที่เกาสง ะใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยความโกรธ “ของอาถรรพ์ของคามิโคโซเรากลับอยู่ในมือของนาย!”
วันนี้ อิงเทียนสิงเป็นผู้ที่อ่อนแอที่สุดในห้าผู้แข็งแกร่งที่สุดของภูเขามาร หากเขามีโล่ล่องหน เขาก็จะไร้คู่ต่อสู้ในแดนต่ำกว่าแดนนภา
คาดเดาได้เลยว่า ความแข็งแกร่งโดยรวมของคามิ โคโซจะเพิ่มขึ้นเช่นกัน
“อ๊าก…ไม่!”
เกาสงคำรามด้วยความเจ็บปวด
ในเวลานี้ โล่ล่องหนถูกแขวนไว้เหนือศีรษะของเกาสง
โล่ล่องหนเป็นเหมือนแก้วใส มองดูแล้วธรรมดาแต่มีพลังที่น่ากลัวอย่างยิ่งแผ่ออกมาจากโล่ล่องหน
“สมบัติของคามิ โคโซ ได้เวลากลับคืนสู่เจ้าของเดิมแล้ว!”
อิงเทียนสิงตะโกน จากนั้นก็พุ่งไปยังโล่ล่องหน
“ตามข้อตกลงของสำนักใหญ่ทั้ง 5 แห่งของภูเขามาร หากสูญเสียสมบัติเป็นเวลาสิบปี มันก็จะไร้เจ้าของ ตอนนี้มันมีอายุสิบปีพอดี โล่ล่องหนควรจะไม่มีเจ้าของ และทุกคนก็สามารถคว้ามันมาได้! ”
ขณะที่เหรินจิงหลุนกำลังพูดอยู่ เขาก็รีบวิ่งไปที่โล่ล่องหน
เกาสงคำราม “โล่ล่องหน เป็นของฉัน ไม่มีใครเอามันไปจากฉันได้!”
ลี่เฉินยืนนิ่งไม่เคลื่อนไหว
ตู้ป๋อไม่ได้เคลื่อนไหวเช่นกัน มือถือปืนเทพบู๊และยังคงยืนอยู่หน้าห้องสมุด
ผู้แข็งแกร่งของตระกูลเจียงต่างก็สับสน อิงเทียนสิงและเหรินจิงหลุนซึ่งเพิ่งจะขอเป็นทหารรับใช้ของตระกูลเจียง และเกาสงที่คุกเข่าลงเพื่อขอเข้าร่วมตระกูลเจียง มาตอนนี้กลับแตกหักกันเพราะของอาถรรพ์ขิ้นหนึ่ง
พวกเขาต้องการทำลายภัยพิบัติสวรรค์ แต่กลับถูกตู้ป๋อขวางทาง ตู้ป๋อที่มีปืนเทพบู๊ในมือได้ก้าวข้ามกึ่งแดนนภาขั้นหนึ่งชั้นต้นไปแล้ว เป็นไปไม่ได้ที่พวกเขาจะเอาชนะได้
นอกจากนี้ยังมีผู้แข็งแกร่งที่สุดสองคนของสำนักมาร คือ เงามาร และ มารแดง ซึ่งผู้แข็งแกร่งสี่คนของตระกูลเจียงทำอะไรไม่ได้
ดวงตาของ เจียงหยวนหลงก็ตกกระทบที่โล่ล่องหนเช่นกัน แต่เขาเป็นผู้แข็งแกร่งแดนนภา จึงไม่สามารถลงมือได้
ลี่เฉิน มองไปที่ เจียงหยวนหลงอย่างมีความสุขและกล่าวว่า “ตระกูลเจียงกำลังถดถอยจริงๆ แม้แต่ของแบบนี้ ยังเป็นทหารรับใช้ของตระกูลเจียงได้ ถ้าคนที่ไม่รู้จัก คงคิดไปว่าตระกูลเจียงเป็นสถานีเก็บขยะ”
สีหน้าของ เจียงหยวนหลงเปลี่ยนเป็นน่าเกลียดมากขึ้น เขาเงียบไปและมองดูชายสามคนที่ต่อสู้เพื่อโล่ล่องหนอย่างเย็นชา
“บูม บูม บูม!”
ในขณะนั้นเอง ก็มีสายฟ้าร้องอีกอันหนึ่งก็ตกลงมา และเสียงก็ดังลั่นขึ้นทั่วทั้งภูเขามาร
“ภัยพิบัติสวรรค์กำลังจะหมดไป!”
ลี่เฉินมองขึ้นไปที่ห้องสมุดและยิ้ม
สายฟ้าก่อนที่ภัยพิบัติสวรรค์จะสิ้นสุดลงนั้นจะทรงพลังอย่างยิ่ง แต่ก็ไม่ได้ทรงพลังเท่ากับช่วงที่ภัยพิบัติสวรรค์แข็งแกร่งที่สุด สายฟ้าชองภัยพิบัติสวรรค์ไม่กี่สายนี้ เป็นสัญญาณถึงการรอดจากการฝ่าภัยพิบัติสวรรค์ได้สำเร็จ
เมื่อเห็นสิ่งนี้ เจียงหยวนหลงมองขึ้นไปที่เมฆมืดบนท้องฟ้าเหนือห้องสมุด เขาโกรธและตะโกนว่า “หยุดมือทั้งหมด! หากไม่ทำลายภัยพิบัติสวรรค์อีก เขาก็จะฝ่าภัยพิบัติสวรรค์ได้แล้ว!”
ด้วยเสียงคำรามของความโกรธ ทำให้อิงเทียนสิงและคนอื่น ๆ รู้สึกตัว ทั้งสามคนตัวสั่นและมองไปที่ท้องฟ้าเหนือห้องสมุด
แม้ว่าพวกเขาทั้งหมดล้วนต้องการโล่ล่องหน แต่เมื่อเทียบกับการเป็นทหารรับใช้ของตระกูลเจียง พวกเขายังอยากเข้าสู่ตระกูลเจียงได้สำเร็จมากกว่า