ในบรรดาระดับจักรพรรดิทั่วหล้าฟ้าดารา เสวียนซั่งเฉินอาจไม่ใช่คนที่แข็งแกร่งที่สุด แต่เป็นคนที่เหี้ยมหาญที่สุดอย่างแน่นอน!

ตัวเขายิ่งเป็นถึงผู้นำตระกูลเสวียน มีรัศมีสะดุดตาที่สามารถทำให้ทุกคนอิจฉาและชื่นชม

แต่ระดับจักรพรรดิที่เหี้ยมหาญที่สุดซึ่งแจ้งมรรคตั้งแต่ดึกดำบรรพ์คนนี้ กลับเกิดความรู้สึกอิจฉาในชั่วขณะนี้

แค่คิดก็รู้ว่าเรื่องที่หลินสวินฝึกปราณในชั้นฟ้าที่สามสิบสามของโลกเร้นเทพ นำพาความตะลึงและประหลาดใจให้เขาเพียงใด

ดังนั้นยามเห็นเหล่าเฒ่าชราตระกูลเสวียนแต่ละคนท่าทางปากอ้าตาค้าง เสวียนซั่งเฉินจึงยิ้มทันที ทุกคนล้วนเป็นเช่นเดียวกัน ก็ไม่ต้องหัวเราะเยาะกันแล้ว

“ถ้าอย่างนั้น พลังต่อสู้ของเจ้าหนุ่มนี่ ตอนนี้ไม่ใช่ว่าสามารถประชันกับระดับจักรพรรดิขั้นเจ็ดได้แล้วหรือ”

มีคนใจสะท้าน ข้อสรุปนี้ช่างสะท้านสะเทือน แพร่กระจายออกไปคงไม่มีใครกล้าเชื่อ

“ตั้งแต่ตอนที่อยู่ในระดับมกุฎจักรพรรดิขั้นหนึ่ง เขาก็สามารถสังหารระดับจักรพรรดิขั้นหกได้แล้ว ถึงขั้นทำให้จักรพรรดิกระบี่ชั้นเลิศอย่างไฉ่หนียอมรับได้ ตอนนี้เขาเป็นระดับมกุฎจักรพรรดิขั้นสองแล้ว พลังต่อสู้ย่อมแตกต่างจากก่อนหน้านี้โดยสมบูรณ์”

มีคนพูดคล้ายทอดถอนใจ “สิ่งเดียวที่ข้าประหลาดใจคือ ยุคดึกดำบรรพ์ก็เคยมีมกุฎมหาจักรพรรดิไม่น้อยในโลก มาดโดดเด่นองอาจ ส่องสว่างสายน้ำแห่งกาลเวลา แต่มกุฎมหาจักรพรรดิเหล่านั้นไม่ได้วิปริตอย่างเจ้าหมอนี่”

ขณะกล่าว คนไม่น้อยต่างมองไปยังเสวียนซั่งเฉิน

ทั้งตระกูลเสวียน เสวียนซั่งเฉินยังมีอีกหนึ่งฐานะ นั่นก็คือมกุฎมหาจักรพรรดิ! ไม่เช่นนั้นไม่มีทางโดดเด่น ครอบครองอำนาจหนึ่งเดียวของผู้นำตระกูลเสวียนได้

เสวียนซั่งเฉินมุมปากกระตุกคราหนึ่ง พูดอย่างไม่อภิรมย์ “พวกท่านจะให้ข้ายอมรับว่าด้อยกว่าเจ้าหนุ่มนั่นบนมกุฎมรรคาให้ได้ใช่หรือไม่”

เขาหยุดไปครู่หนึ่งแล้วถอนหายใจพูดอย่างจนปัญญา “เอาเถอะ ข้ายอมรับว่าเจ้าหนุ่มนี่ไม่ใช่วิปริตธรรมดาจริงๆ ข้าในตอนนั้น… ยังไม่ร้ายกาจขนาดนี้…”

เหล่าเฒ่าชราตระกูลเสวียนสายตาซับซ้อน คนที่ร้ายกาจที่สุดของตระกูลเสวียน กลับยอมรับว่ายามอยู่ในระดับมกุฎจักรพรรดิขั้นหนึ่งและขั้นสองยังสู้หลินเต้ายวนไม่ได้

ความจริงนี้กระทบกระเทือนจิตใจเกินไปจริงๆ

ทว่าก็เพราะเช่นนี้ กลับทำให้เฒ่าชราตระกูลเสวียนเหล่านี้ยิ่งตระหนักได้ ว่าการสานสัมพันธ์กับหลินสวินในครั้งนี้ เป็นการตัดสินใจอันชาญฉลาดที่ไม่เลวอย่างที่สุดจริงๆ!

“ไป วางแผนเรื่องที่จะไปแดนเจินหลงต่อ อย่างน้อยตอนที่เจ้าหมอนั่นออกจากโลกเร้นเทพ จะต้องจัดการเรื่องนี้ให้สำเร็จ!”

มีเฒ่าดึกดำบรรพ์โบกมือใหญ่ พาเฒ่าชราตระกูลเสวียนคนอื่นๆ ไปหารือเรื่องที่จะเปิดทางเชื่อมสู่แดนเจินหลงต่อ

เสวียนซั่งเฉินเบิกบานขึ้นมาทันที เห็นได้ชัดว่าท่าทีของเฒ่าชราพวกนี้เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างสิ้นเชิงแล้ว เริ่มเป็นฝ่ายยอมรับก่อน และรักษาความสัมพันธ์กับหลินสวินแล้ว

นี่แน่นอนว่าเป็นเรื่องดีเรื่องหนึ่ง!

……

เวลาล่วงเลยไป

ชั้นฟ้าที่สามสิบสามในโลกเร้นเทพ ทั้งกายใจของหลินสวินจมอยู่ในการฝึกปราณ

ส่วนร่างแยกมหามรรคทั้งห้าของเขาแบ่งกันหยั่งรู้ห้ามรดกคัมภีร์กระบี่ อย่างคัมภีร์กระบี่ไท่เสวียน ไปไร้หวน คัมภีร์กระบี่จูคง คัมภีร์กระบี่มหาลมกรด และกระบี่พิฆาตมรรคชั่วพริบตา

ในนั้นคัมภีร์กระบี่มหาลมกรดเป็นศิษย์พี่สิบห้าชิงถิงทิ้งเอาไว้ให้ ส่วนมรดกกระบี่พิฆาตมรรคชั่วพริบตาเป็นของศิษย์พี่จวินหวน

เพราะมีมรดกมากเกินไป อยากจะศึกษาอย่างทะลุปรุโปร่งย่อมไม่ใช่เรื่องง่าย หลินสวินวางแผนจะแบ่งประเภทก่อน หลอมรวมคัมภีร์จักรพรรดิมรรคกระบี่ที่ได้รับ

สำหรับมรดกอย่างพวกคัมภีร์กลืนกินไร้สิ้นสุด คัมภีร์มหามรรคหวงถิง วิชาบัวเขียวหยั่งโลก ก็สามารถหลอมรวมในประเภทเดียวกันได้

อริยะสร้างวิชา จักรพรรดิสร้างคัมภีร์!

เส้นทางเสาะแสวงในระดับจักรพรรดินี้ อันที่จริงก็เท่ากับขั้นตอนการจัดระเบียบ เรียบเรียงมรรควิถีทั้งชีวิตออกมาเป็นคัมภีร์มรรคที่สมบูรณ์เล่มหนึ่ง

ไม่นานก็เหลือเวลาอีกเพียงหนึ่งวันก่อนหลินสวินจะออกจากโลกเร้นเทพ

ฮู่ว…

วันนี้เขาตื่นจากการนั่งสมาธิ แววตาลึกล้ำ ในดวงตาเหมือนมีหุบเหวใหญ่พลุ่งพล่าน สะท้อนธารดาราสุริยันจันทรา หมื่นลักษณ์ทั่วหล้า

มาถึงตอนนี้หลินสวินได้ทำให้ระดับจักรพรรดิขั้นสองมั่นคงอย่างสมบูรณ์แล้ว และมีความช่ำชอง ห่างจากขั้นสัมบูรณ์อีกไม่ไกลแล้ว

‘หากใช้เวลาข้าอีกหนึ่งเดือน คงจะสามารถลองทะยานขึ้นระดับจักรพรรดิขั้นสามได้…’

หลินสวินเสียดายอยู่บ้าง แต่เขาก็รู้ว่าการฝึกปราณที่โลกเร้นเทพครั้งนี้กำลังจะสิ้นสุดลงแล้ว ตระกูลเสวียนให้ตนฝึกปราณที่นี่หนึ่งเดือนถือว่าหายากมากแล้ว

“หืม?”

ตอนที่หลินสวินสัมผัสการหยั่งรู้ของร่างแยกทั้งห้า ทันใดนั้นการหยั่งรู้ที่มหัศจรรย์นับไม่ถ้วนพุ่งเข้ามาในใจเหมือนน้ำหลาก

ชั่วขณะเดียวในสมองเขาเหมือนมีมรรคกระบี่ชั้นเลิศทั้งห้ากำลังสำแดงฤทธิ์อย่างเอาแต่ใจ

ปราณกระบี่ไท่เสวียนพัฒนาเป็นแปดร้อยสี่สิบล้าน ดุจดั่งเม็ดทราบนับไม่ถ้วน แผ่เต็มห้วงอากาศไร้ขอบเขต สำแดงความมหัศจรรย์แห่งการเปลี่ยนแปลงไร้สิ้นสุด

ไปไร้หวนเมื่อฟันออกไป ทะลวงผ่านเก้าฟ้าสิบแผ่นดิน กรีดทึ้งรัตติกาลหมื่นกาล!

มรรคชักกระบี่ มรรคคุมกระบี่ มรรคกระบี่ดั่งใจปรากฏ พริบไหวเหมือนลำแสง ผ่าแหวกนภาคราม เปิดเส้นทางเป็นตาย…

มีกระบี่แห่งลมกรดปรากฏ กดคลุมท้องฟ้า ถล่มห้าธาตุ ท่องทะยานห้วงอากาศว่างเปล่า ฟันดวงดาวไร้สิ้นสุด…

และมีปราณกระบี่สายหนึ่งในชั่วพริบตา พริบวาบผ่านไปราวกับดอกถาน ในชั่วขณะนั้นปรากฏกระแสลมไร้สิ้นสุด…

นัยเร้นลับคัมภีร์กระบี่มรรคจักรพรรดิชั้นเลิศที่สมบูรณ์ทั้งห้าชนิดอุบัติขึ้นในใจหลินสวินทั้งหมด

ในเวลาเดียวกันบนรูปจำลองเจตจำนงในห้วงนิมิตซึ่งแปลงเป็นเตาหลอม ปรากฏลายมรรคที่ลึกลับไม่อาจคาดเดาห้าลาย

ลายมรรคทั้งห้านั้น เป็นตัวแทนของคัมภีร์ชั้นเลิศสมบูรณ์แบบห้าชนิดที่ตอนนี้หลินสวินครอบครองอยู่ ซึ่งก็คือคัมภีร์กระบี่ไท่เสวียน ไปไร้หวน คัมภีร์กระบี่จูคง คัมภีร์กระบี่มหาลมกรด และกระบี่พิฆาตมรรคชั่วพริบตา!

หลินสวินตระหนักได้ว่าหลังจากตนหลอมรวมคัมภีร์กระบี่ทั้งห้านี้ อย่างน้อยบนมรรคกระบี่ ทั้งหมดนี้จะกลายเป็นของตน ประทับในคัมภีร์เตาหลอมมหามรรคของตน

แต่เขายิ่งรู้ดีว่าอยากจะศึกษาคัมภีร์กระบี่ที่แตกต่างอย่างสิ้นเชิงและล้วนเรียกได้ว่าชั้นเลิศทั้งห้านี้อย่างปรุโปร่ง แล้วเปลี่ยนเป็นคัมภีร์กระบี่ของตนอย่างแท้จริงไม่ใช่เรื่องง่ายแน่

ถึงอย่างไรสิ่งที่รวมอยู่ในคัมภีร์มรรคทุกเล่มก็คือเลือดเนื้อของจักรพรรดิกระบี่ชั้นเลิศในโลก เรียกได้ว่าเป็นยอดแห่งมรรคกระบี่ จะหลอมรวมง่ายๆ ได้อย่างไร

แต่หลินสวินไม่ได้รีบ

เขาเพิ่งบรรลุจักรพรรดิไม่ถึงครึ่งปี เส้นทางหลังจากนี้ยังอีกยาวไกล สักวันย่อมสามารถหลอมคัมภีร์ชั้นเลิศทั้งห้าให้เป็นหนึ่งเดียวกันได้อย่างสิ้นเชิง!

ต่อมาหลินสวินให้ร่างแยกมหามรรคไม้เขียวหยั่งรู้คัมภีร์กระบี่ทั้งห้านี้ต่อ ดำเนินการอนุมานเต็มกำลัง ทดลองผสานวิชา ส่วนร่างแยกมหามรรคอื่นๆ ก็เริ่มไปหยั่งรู้มรดกคัมภีร์มรรคอื่นๆ

‘ก้าวต่อไป ควรจะเลือกศาสตราจักรพรรดิบริสุทธิ์ที่เข้ามือแล้ว…’

หลินสวินสับสนมากมาโดยตลอด ควรเลือกศาสตราจักรพรรดิอย่างไรจึงจะเหมาะกับมรรควิถีของตน

ดาบทวนหอกกระบี่? ขวานตะของ่ามง้าว? หรือเจดีย์สมบัติ ประทับมรรค ระฆังมรรค?

เหมือนไม่มีสิ่งที่ทำให้เขาพอใจที่สุดเลย

หลินสวินส่ายหน้า ไม่คิดอะไรมากไปกว่านี้ ตอนนี้เขายังไม่ขาดสมบัติ รอต่อไปคิดได้แล้วค่อยตัดสินใจก็ยังไม่สาย

และตอนนี้เองป้ายหยกที่ถูกเขาพกติดตัวเกิดระลอกคลื่นขึ้น นี่หมายความว่าการฝึกปราณที่โลกเร้นเทพจะสิ้นสุดลงวันนี้!

‘การเปลี่ยนแปลงหนึ่งเดือน เทียบเท่าความพยายามร้อยปีในโลกภายนอกแล้ว…’

หลินสวินลุกขึ้นยืน มองฟ้าดินที่ถูกไอแรกกำเนิดปกคลุม ในใจกลับนึกได้โดยพลันว่า ‘เขาปู้โจว’ ที่ถูกพวกศิษย์พี่เอาไปก็เป็นมหาสมบัติแรกกำเนิดชิ้นหนึ่ง!

เมื่อคาดเดาเช่นนี้ เขาปู้โจวสามารถเปลี่ยนเป็นแดนสมบัติฝึกปราณที่มหัศจรรย์ไร้ที่เปรียบเหมือนคันฉ่องสมบัติเร้นเทพได้หรือไม่

ระหว่างครุ่นคิด ป้ายหยกตรงเอวของหลินสวินแตกสลาย เปลี่ยนเป็นพลังเคลื่อนย้าย ม้วนหอบร่างของเขาจากไป หายไปอย่างไร้ร่องรอย

……

“ภิกษุ ขอเพียงแค่เจ้ายอมรับข้าเป็นพี่ใหญ่ รับรองว่าจะให้เจ้ามีโอกาสเข้าไปฝึกปราณในโลกเร้นเทพของตระกูลเสวียนของข้า!”

ในโถงเรือนแห่งหนึ่ง เสวียนจิ่วอิ้นลูบหัวโล้นของหลิงเคอจื่ออย่างทะเล้น สัมผัสนี้… ลื่นจริงๆ!

หลิงเคอจื่อยิ้มแหย “พี่ใหญ่ นี่เจ้าพูดเองนะ”

เห็นได้ชัดว่าภิกษุคนนี้ไม่ได้โง่ ไหลไปตามน้ำ เรียกพี่ใหญ่เสียแล้ว

เสวียนจิ่วอิ้นหัวเราะเสียง กล่าวว่า “ดี ข้าเสวียนจิ่วอิ้นรับเจ้าเป็นน้องชายแล้ว ต่อไปตอนที่ข้าได้กินเนื้อ จะไม่ขาดน้ำแกงให้เจ้าดื่มแน่นอน!”

หลิงเคอจื่อพูดอย่างจริงจัง “ข้าเป็นผู้ออกบวช ไม่ดื่มน้ำแกงเนื้อ ขอเพียงให้ข้าไปฝึกปราณที่โลกเร้นเทพสักครั้งก็พอแล้ว นี่เป็นเรื่องที่พี่ใหญ่รับปากข้า จะคืนคำไม่ได้เด็ดขาด”

คำว่าพี่ใหญ่ถูกเขาจงใจเน้นเสียง

เสวียนจิ่วอิ้นพูดอย่างดูถูก “เรื่องแค่นี้ รอพ่อข้าสละตำแหน่งข้าก็จะเป็นผู้นำตระกูลเสวียน ถึงตอนนั้นพวกเราพี่น้องก็ย้ายเข้าไปอยู่ที่โลกเร้นเทพ ข้าจะดูว่าเฒ่าชราหน้าไหนจะกล้ามาจุ้นจ้าน!”

ว่าพลางสายตาเขามองไปยังจินเทียนเสวียนเยวี่ยอีกครั้ง ยิ้มตาหยีพูด “แม่นางเสวียนเยวี่ย ข้ารู้ว่าคนที่เจ้ามีใจให้คือใคร ขอเพียงแค่เจ้ารับข้าเป็นพี่ใหญ่ ข้ารับรองว่าจะทำทุกวิถีทางช่วยเจ้าเกี้ยวคนที่เจ้ามีใจมาให้ได้”

จินเทียนเสวียนเยวี่ยในชุดขาวยิ่งกว่าหิมะ ผมสีดำราวกับน้ำตก นั่งอยู่ตรงนั้นเหมือนเทพธิดาที่เดินออกจากภาพวาด งดงามไร้มลทิน

ได้ยินเช่นนี้ใบหน้าขาวผ่องของนางแดงระเรื่อขึ้นมา ตำหนิว่า “เจ้าจัดการเรื่องของตัวเองให้ดีเถอะ ยังบอกจะเป็นผู้นำตระกูลเสวียน เจ้ากำลังสาปแช่งให้ตำแหน่งของบิดาเจ้าอยู่ได้ไม่นานหรือ”

“ฮ่าๆ ลูกชายสืบทอดตำแหน่งพ่อเป็นเรื่องที่ถูกต้องอยู่แล้วไม่ใช่หรือ ยิ่งไปกว่านั้น เขาไม่มีทางหน้าด้านหน้าทนยึดตำแหน่งผู้นำตระกูลไม่ปล่อยมือกระมัง เช่นนั้นไร้ยางอายเกินไป คนตระกูลเสวียนมากขนาดนั้นจะเห็นด้วยได้อย่างไร”

เสวียนจิ่วอิ้นกำลังพูดอย่างได้ใจ ตรงท้ายทอยก็ถูกตบอย่างรุนแรง เซไปคราหนึ่งจนเกือบจะล้ม

“เจ้าเด็กเมื่อวานซืน ว่าใครไร้ยางอาย ข้าจะบอกเจ้าให้ ว่าเมื่อไหร่ที่สามารถล้มข้าได้ เมื่อนั้นตำแหน่งผู้นำตระกูลก็จะเป็นของเจ้า”

ก็เห็นเสวียนซั่งเฉินเดินมาจากนอกโถง คนที่เดินมากับเขายังมีหลินสวินและซย่าจื้อ

เสวียนจิ่วอิ้นแยกเขี้ยวยิงฟันลูบท้ายทอย กำลังจะเถียงกับบิดาตนสักรอบ แต่หลังจากเห็นหลินสวิน จู่ๆ ก็ร้องเสียงประหลาด “เหตุใดข้าจึงรู้สึกว่าเจ้าหมอนี่เหมือนหายไป”

หลิงเคอจื่อและจินเทียนเสวียนเยวี่ยต่างพยักหน้า ในสายตาพวกเขาหลินสวินอยู่ตรงนี้แท้ๆ แต่ในสัมผัสรับรู้กลับสัมผัสไม่ถึง!

เสวียนซั่งเฉินพูด “นี่ก็คือระดับจักรพรรดิขั้นสอง กายผสานฟ้าดิน มหามรรคไร้รูป”

เสวียนจิ่วอิ้น จินเทียนเสวียนเยวี่ย และหลิงเคอจื่อเงียบไปทันที ในใจล้วนรู้สึกสะท้านสะเทือน

พวกเขายังไม่ได้แจ้งมรรคบรรลุจักรพรรดิ แต่หลินสวิน… กลับไปถึงระดับจักรพรรดิขั้นสองแล้ว! และยังเป็นระดับมกุฎจักรพรรดิ!

เสวียนซั่งเฉินพูดด้วยสีหน้าซับซ้อน “ตอนนี้รู้ความร้ายกาจแล้วใช่หรือไม่ เมื่อก่อนพวกเจ้าเป็นคนรุ่นเดียวกัน ตอนนี้ห่างกันมากแล้ว ขืนไม่พยายาม ต่อไปช่องว่างจะยิ่งมาก สักวันจะต้องถูกทิ้งไกลออกไป ไม่สามารถเดินเคียงบ่าเคียงไหล่กันบนมหามรรคได้อีก”

ผู้พูดไม่เจตนา ผู้ฟังกลับคิด

ชั่วขณะนี้ร่างบอบบางของจินเทียนเสวียนเยวี่ยเกร็งไปหมด ในใจสะท้านคราหนึ่ง ไม่สามารถเดินเคียงบ่าเคียงไหล่บนมหามรรคได้ ก็หมายความว่า ต่อไปจะเจอกันอีกก็ยากขึ้นเรื่อยๆ…