ตอนที่ 2219 ข้านับว่างดงามหรือไม่

Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์

สหายเจอกัน แน่นอนว่าต้องดื่มเหล้า

เหล้าคือ ‘ล่องลอยดั่งฝัน’ เหล้าเก่าแก่หมื่นปีของตระกูลเสวียน

หลินสวินลงมือด้วยตัวเอง ย่างนกยูงห้าสีระดับจักรพรรดิขั้นห้าที่สมบูรณ์แบบตัวหนึ่ง เสวียนจิ่วอิ้นเห็นแล้วชื่นชมอย่างที่สุด หลิงเคอจื่อเห็นแล้วอกสั่นขวัญแขวน ส่วนจินเทียนเสวียนเยวี่ยเห็นแล้วอึ้งจนพูดไม่ออก…

หลังจากเห็นซย่าจื้อ นางยิ่งเงียบกว่าเดิม หัวใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว สติแตกกระจาย ทำให้เสวียนจิ่วอิ้นเห็นแล้วถอนหายใจระลอกหนึ่ง

หลังจากนั้นก็กินเนื้อดื่มเหล้าลงท้อง ทุกคนต่างล่องลอยอยู่บ้าง ‘ล่องลอยดั่งฝัน’ นี้รุนแรงเกินไปจริงๆ

และหลังจากได้กลิ่นเนื้อนกยูงห้าสีที่มันเยิ้ม เสวียนจิ่วอิ้นอึ้งไปครู่หนึ่ง จู่ๆ ก็กอดแขนหลินสวินอย่างตื่นเต้น “เพื่อให้ในอนาคตได้กินของดี พี่ใหญ่ รับข้าเป็นน้องเล็กเถอะ!”

หลินสวินพูดอย่างไม่สบอารมณ์ “หากเป็นเช่นนี้ เจ้ากับข้าก็กลายเป็นเพื่อนกินไม่ใช่หรือ”

เสวียนจิ่วอิ้นอึ้ง “เหมือนจะไม่ค่อยน่าฟังจริงๆ แต่ไม่เป็นไร ขอเพียงแค่ติดตามพี่ใหญ่แล้วได้กินของอร่อยดื่มของดี ตำแหน่งผู้นำตระกูลเสวียนข้าก็ยังทิ้งได้!”

“แน่จริงเจ้าก็ลองดู!” ไม่ไกลนักเสวียนซั่งเฉินมองมาด้วยสายตาอึมครึม ทำเอาเสวียนจิ่วอิ้นอึดอัดขึ้นมาทันที

เขาเหลือบไปเห็นหลิงเคอจื่อที่ถือเนื้อย่างชิ้นใหญ่กัดอย่างบ้าคลั่งก็ตีไปหนึ่งฝ่ามือทันใด “เจ้าไม่ใช่ผู้ออกบวชที่แม้แต่น้ำแกงเนื้อก็กินไม่ได้หรือ เหตุใดตอนนี้ทั้งกินเนื้อทั้งดื่มเหล้าล่ะ”

ท้ายทอยของหลิงเคอจื่อถูกตีคราหนึ่ง แต่เขายังคงถือเนื้อย่างไว้แล้วกินคำใหญ่ พูดงึมงำ “มีเนื้อ ใครยังจะดื่มน้ำแกง”

ว่าแล้วก็ฉีกปีกนกยูงมาอีกชิ้น เพิ่งจะถือไว้ในมือก็ถูกต้าหวงคว้าไป “ภิกษุน้อย ปีกนี้เป็นของข้า!”

หลิงเคอจื่อจนปัญญา จึงฉีกเนื้อน่องอีกชิ้น ใครจะคิดว่ากลับถูกซย่าจื้อยื่นมือมาหยิบไป…

หลิงเคอจื่อโมโหทันที นี่เอาแต่ใจกันเกินไปหรือเปล่า

ทว่านี่ยังไม่จบ ก็เห็นนอกโถงสัตว์ประหลาดเฒ่าตระกูลเสวียนกลุ่มหนึ่งพุ่งพรวดเข้ามา ในปากตะโกน

“ได้ยินว่ามีเนื้อนกยูงห้าสีกินหรือ”

มีคนแกล้งทำเป็นเคร่งขรึม

“กลิ่นนี้นี้… สุดยอด!”

มีคนสูดจมูก เผยสีหน้าเคลิบเคลิ้ม

“เฮ้อ อยู่มาหลายหมื่นปียังไม่เคยลิ้มลองเนื้อนกยูงห้าสีเลย สหายน้อย พวกเราขอชิมสักคำคงไม่ถือใช่ไหม”

มีคนยิ้มตาหยีพูดอย่างหน้าด้าน

ระหว่างที่เอ่ยโหวกเหวก เฒ่าชราตระกูลเสวียนพวกนี้ไม่เกรงใจสักนิด นั่งลงหน้าเนื้อย่างนั่นโดยตรง กางสองมือออกแล้วเริ่มใช้มือฉีกเนื้อทันที

คราวนี้แม้แต่เสวียนซั่งเฉินก็เหลืออดแล้ว พูดอย่างโมโห “ท่านลุงท่านอาทุกท่าน รักษาอาการหน่อย พวกท่านเป็นถึงหน้าตาของตระกูลเสวียน ฐานะและอำนาจสูงส่ง ทำเช่นนี้ได้อย่างไร… นี่ อย่าแย่งสิ คอนกยูงชิ้นนี้เหลือไว้ให้ข้า!”

ว่าแล้วเขาเองก็ไม่ห่วงท่าที เข้าร่วมการแย่งชิงเนื้อย่างด้วย

จนกระทั่งหลินสวินเอ่ยปากว่าจะย่างนกยูงห้าสีอีกตัว ทุกคนถึงเผยรอยยิ้มออกมาทันที การกระทำก็สงวนท่าทีขึ้นมาไม่น้อย

“เสี่ยวจิ่ว กระดูกชิ้นนี้ให้เจ้า อะไร เจ้ายังจะรังเกียจอีกหรือ นี่เป็นถึงกระดูกสมบัตินกยูงห้าสีของระดับจักรพรรดิขั้นห้าเชียวนะ ดูดไขกระดูกคำหนึ่งไม่ต่างอะไรกับกลืนโอสถสมบัติชั้นเลิศหนึ่งเม็ด”

“เจ้าเด็กนี่ยังไม่บรรลุจักรพรรดิ ย่อมไม่เข้าใจมูลค่าของสิ่งนี้”

“เฮ้อ เสี่ยวจิ่วหนอ เจ้ารู้ความหน่อยเถอะ ดูจักรพรรดิเต้ายวนแล้วดูเจ้าสิ ช่างทำให้ตระกูลเสวียนของพวกเราอับอายขายหน้า”

พวกเฒ่าชราตระกูลเสวียนกินดื่มอย่างสบายอกสบายใจพลางอบรมเสวียนจิ่วอิ้นอย่างไม่เกรงใจสักนิด ส่วนหลินสวินได้กลายเป็น ‘ลูกบ้านอื่นที่ดีไปเสียทุกอย่าง’ แล้ว

นี่ทำให้เสวียนจิ่วอิ้นเกือบน้ำตานองหน้า แต่กลับไม่สามารถต่อต้านได้ ใครใช้ให้เขามีศักดิ์เป็นหลานยามอยู่ต่อหน้าเฒ่าชราเหล่านี้เล่า…

“เสวียนเยวี่ย ทำไมเจ้าไม่กิน”

ระหว่างหลินสวินย่างเนื้อ จู่ๆ ก็สังเกตเห็นว่าจินเทียนเสวียนเยวี่ยเหมือนไม่ได้สนใจนัก

จินเทียนเสวียนเยวี่ยเก็บความคิดที่ล่องลอยไม่สามารถสงบได้ทันที พูดเสียงเบาว่า “คุณชาย ข้าอยากคารวะสุรากับท่าน”

ว่าแล้วนางก็ยกกาเหล้าขึ้นมา รินให้หลินสวินและตนเต็มจอก

“ได้สิ”

หลินสวินชูจอกขึ้นพร้อมรอยยิ้ม

ดวงตาคู่งามของจินเทียนเสวียนเยวี่ยจ้องมองหลินสวิน เหมือนจะพูดอะไรแต่ก็หยุดไป

สุดท้ายนางถอนหายใจเบาๆ ในใจ แล้วพูดว่า “เสวียนเยวี่ยอวยพรให้การเดินทางไปยังแดนเจินหลงครั้งนี้ของคุณชายสมดั่งใจปรารถนา หวนกลับมาอย่างปลอดภัย”

พูดจบก็ชูจอกเหล้าขึ้นดื่มจนหมดจอก บนใบหน้างดงามที่ขาวนวลราวกับหยกเผยสีแดงระเรื่อ เหมือนสู้ฤทธิ์เหล้าไม่ได้

แต่นางรินเต็มจอกอีกครั้ง สายตามองไปยังเสวียนจิ่วอิ้น ยิ้มพูดว่า “คุณชายเสวียน ข้าก็ขอคารวะเจ้าสักจอก ขอบคุณที่เจ้าต้อนรับอย่างดีในหลายวันมานี้”

เสวียนจิ่วอิ้นอดเป็นห่วงไม่ได้อยู่บ้าง เอ่ยว่า “แม่นางเสวียนเยวี่ย ฤทธิ์ของล่องลอยดั่งฝันนี้รุนแรงเกินไป ดื่มช้าหน่อย”

จินเทียนเสวียนเยวี่ยยิ้ม ดื่มหมดในคราเดียว บนใบหน้าที่งดงามดั่งภาพวาดแดงราวกับเปลวเพลิง ยั่วยวนไร้ที่เปรียบ

“หลิงเคอจื่อ มา ดื่ม” นางรินเหล้าอีกครั้ง

หลินสวินมองจินเทียนเสวียนเยวี่ยอึ้งๆ เห็นนางดื่มเหล้าอย่างเอาแต่ใจแล้วถอนหายใจในใจคราหนึ่ง

เรื่องบางเรื่อง

เขาจะไม่รู้ได้อย่างไร

ไม่นานจินเทียนเสวียนเยวี่ยก็เมาแล้ว ฟุบลงกับโต๊ะ ตาปรือ ริมฝีปากแดงอ้าเล็กน้อย พึมพำเสียงเบา

“ล่องลอยดั่งฝัน… ช่างเป็นชื่อที่ดี… หากเป็นแค่ความฝัน… จะดีแค่ไหน อย่างน้อยก็ยังมียามที่ตื่นขึ้นมา…”

น้ำตาสองสายไหลลงจากดวงตาคู่งามของนางอย่างไร้สุ้มเสียง เพียงแต่นางก้มหน้ากับแขนจึงไม่มีคนสังเกตเห็นก็เท่านั้น

“เห็นท่านสบายดี ข้าก็ไม่มีอะไรต้องห่วงแล้ว”

“เห็นท่านสบายดี ข้าก็ไม่ต้องการอะไรแล้ว”

“เห็นท่านสบายดี ข้าก็ไม่จำเป็นต้องอยู่ต่อแล้ว”

ท่ามกลางเสียงพึมพำ จินเทียนเสวียนเยวี่ยได้หลับไปแล้ว ดูเหมือนง่วงเกินไป และเหมือนเมาพับจากล่องลอยดั่งฝันแล้วจริงๆ

……

เช้าวันถัดมาหลินสวินตื่นจากอาการเมา นึกถึงแต่ละภาพที่ดื่มกินอย่างบ้าคลั่งเมื่อคืนแล้วอดยิ้มไม่ได้ ไม่ได้ผ่อนคลายแบบนี้มานานมากแล้ว

ยามลุกขึ้นเดินออกจากห้อง ซย่าจื้อรออยู่ตรงนั้นนานแล้ว นั่งกินเมล็ดทานตะวันวิญญาณหิมะที่อวบอิ่มเป็นประกาย ไอวิญญาณสาดกระเซ็นไปทั่ว เมล็ดดุจดั่งเพชร เคี้ยวกรุบ รสสัมผัสใสกรอบ

ต้าหวงนอนคว่ำอยู่ตรงนั้น ในปากยังคงคาบกระดูกชิ้นหนึ่ง

หลิงเคอจื่อนั่งขัดสมาธิ ท่าทางเคร่งขรึม ในมือหมุนลูกประคำ ในใจท่องบทสวด “สังขตธรรมทั้งปวง ดุจฝันมายาฟองสบู่เงา ดุจนิศาชลและอสนี… คราวหน้าอย่ากินอิ่มเกินไป…”

หลินสวินกวาดสายตา ไม่เห็นเสวียนจิ่วอิ้นและจินเทียนเสวียนเยวี่ย อดอึ้งไม่ได้

ในขณะที่กำลังคิดอยู่ เสวียนจิ่วอิ้นเดินเข้ามาจากนอกโถง ยิ้มพูด “พี่ใหญ่ อรุณสวัสดิ์”

หลินสวินพูด “แม่นางเสวียนเยวี่ยล่ะ”

เสวียนจิ่วอิ้นขานรับว่าอ่อ ถอนหายใจยาวพูด “ไปแล้ว”

“ไปแล้ว? ไปไหนหรือ” หลินสวินตะลึง

“กลับบ้านแล้ว เห็นบอกว่าออกมาฝึกประสบการณ์นานแล้ว กลัวว่าญาติมิตรในบ้านจะเป็นห่วง จึงออกเดินทางแต่เช้า”

เสวียนจิ่วอิ้นมองซย่าจื้อที่อยู่ไม่ไกลแวบหนึ่ง สื่อจิตเสียงต่ำ ‘พี่ใหญ่ หรือเจ้าดูไม่ออกเลยว่า แม่นางเสวียนเยวี่ยนาง…’

หลินสวินโบกมือพูด “ไม่จำเป็นต้องพูดแล้ว ข้าเข้าใจแล้ว”

เสวียนจิ่วอิ้นพูดอย่างไม่สบอารมณ์ “ในเมื่อเจ้าเข้าใจ เหตุใดจึงต้องทำให้แม่นางเสวียนเยวี่ยเสียใจแบบนั้น”

ในใจหลินสวินกระเพื่อมไหวระลอกหนึ่ง

จินเทียนเสวียนเยวี่ย ไข่มุกเรืองแสงที่สะดุดตาที่สุดของเผ่าจักรพรรดิตระกูลจินเทียน บุคคลที่งดงามที่สุดแห่งแดนดาราจักรพรรดิขาว กระดูกเทพร่างเซียน สง่างามไร้ที่เปรียบ…

หากอยู่ในบรรดาคนรุ่นหลังฟ้าดารา ด้วยพรสวรรค์ สายสนกลใน พลังปราณ ฐานะของจินเทียนเสวียนเยวี่ย…ไม่ว่าสิ่งใดล้วนเรียกได้ว่าเลิศล้ำที่สุดแห่งยุค ไม่ว่าจะปรากฎตัวที่ไหน ก็ต้องถูกหมู่ดาวล้อมพิทักษ์ประหนึ่งดวงจันทรา

ทว่าผู้หญิงที่เรียกได้ว่าโดดเด่นชั้นเลิศคนนี้ ติดตามอยู่ข้างกายตนมาตั้งแต่บนยานลมกรดแล้ว ดูแลกิจวัตรประจําวันของตน เหนื่อยยากลำบากเพื่อตน…

หลินสวินเพิ่งจะค้นพบว่า หลายปีมานี้ความจริงเขาชินกับการมีอยู่จินเทียนเสวียนเยวี่ยอยู่ข้างกายนานแล้ว นางเข้าใจนิสัยของตน รู้ความชอบของตนเป็นอย่างดี เหมือนลมใบไม้ผลิสลายสายฝน เดินทางไปกับตนเงียบๆ โดยไม่กลัวความยากลำบาก ผ่านร้อนผ่านหนาวด้วยกัน ลิ้มรสทั้งความผิดหวังและความสำเร็จ

ทว่าตลอดเวลาที่ผ่านมา นางดูเหมือนไม่เคยร้องขออะไรจากตนเลย…

คิดถึงตรงนี้ หลินสวินก็รู้สึกผิดขึ้นมา

ชีวิตนี้หลินสวินทำอะไร ยังไม่เคยทำให้ใครผิดหวัง แต่วันนี้ เพราะการจากไปของจินเทียนเสวียนเยวี่ย กลับทำให้เขารู้สึกถึงการติดค้าง ในใจว่างโหวง

กลัดกลุ้มกังวล

“พี่ใหญ่” เสวียนจิ่วอิ้นยังจะพูดอะไรอีก หลินสวินก็โบกมือพูด “เห็นข้าเป็นพี่น้องจริงๆ ก็อย่าพูดถึงเรื่องนี้อีก”

พูดจบเขาก็หมุนตัวเดินเข้าห้อง เขาอยากอยู่เงียบๆ

เสวียนจิ่วอิ้นเกาหัว จนปัญญาขึ้นมา เขาไม่เข้าใจเลยจริงๆ เป็นถึงมกุฎมหาจักรพรรดิ ในเรื่องของความรู้สึก กลับโง่เขลาเช่นนี้

ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน ผู้โดดเด่นบนทางเดินโบราณฟ้าดาราคนใดไม่มีสหายหญิงรู้ใจหลายคน

อย่าว่าแต่สหายหญิงรู้ใจ แม้คนที่เมียมากเมียน้อยก็เป็นกอบเป็นกำ!

อย่างเช่นเสวียนซั่งเฉินพ่อของเขา ตอนหนุ่มก็เรียกได้ว่าโดดเด่นชั้นเลิศแล้ว หว่านความเมตตาไปทั่ว ทำให้เสวียนจิ่วอิ้นมีอี๋เหนียงเพิ่มมาสิบเจ็ดสิบแปดคน…แต่ละคนงดงามปานเซียนจากสวรรค์!

ภายใต้ผลกระทบจากสิ่งที่พบเจอ ทำให้เสวียนจิ่วอิ้นไม่เข้าใจเลยว่า เหตุใดหลินสวินจึงสามารถใจแข็งเช่นนี้ได้

เขาอดมองไปยังซย่าจื้อที่อยู่ไกลออกไปไม่ได้ แม้ใบหน้าถูกปีกหมวกบดบัง แม้นั่งอยู่อย่างสบายๆ ทว่าทุกอิริยาบถ ยังคงให้ความงดงามอันลึกลับที่พูดไม่ออก

แต่เสวียนจิ่วอิ้นไม่คิดว่า จินเทียนเสวียนเยวี่ยจะพ่ายแพ้ต่อไป!

คนสวยบนโลกนี้ เหมือนดอกไม้ต่างชนิดที่ล้วนมีความงดงามโดดเด่นในแบบของตน จะมีที่งดงามที่สุดได้อย่างไร

เพราะฉะนั้น เสวียนจิ่วอิ้นสงสัยมากว่า หลินสวินถูกคุมเข้มเกินไปหรือเปล่า…

“แม่นางซย่าจื้อ เจ้าคิดว่าแม่นางเสวียนเยวี่ยเป็นคนดีหรือไม่” เขาเดินเข้าไปนั่งลงตรงหน้าซย่าจื้อที่กินเมล็ดแตงโมอยู่

ซย่าจื้อพยักหน้า

เสวียนจิ่วอิ้นพูดอีกว่า “แม่นางเสวียนเยวี่ยงามหรือไม่ แน่นอนว่า ให้เจ้าชมว่าผู้หญิงคนอื่นงาน ไม่เหมาะสม ข้าอยากบอกเพียงว่า จะให้พี่ใหญ่ของข้าใจร้ายเกินไปไม่ได้ ผู้หญิงที่งดงามปานนี้ เปลี่ยนเป็นผู้ชายคนใด ก็คงทำร้ายไม่ลง…”

ซย่าจื้อเงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะพูดว่า “ขอเพียงแค่หน้าตาสวย ก็จะไม่มีใครทำร้ายลงเช่นนั้นหรือ”

เสวียนจิ่วอิ้นพูดโดยไม่คิดด้วยซ้ำ “แน่นอน! ผู้ชายก็เช่นกัน เจ้าดูพี่ใหญ่ข้า ตำนานบรรลุมกุฎจักรพรรพิคนแรกในแสนปี รูปลักษณ์ก็หล่อเหลาสะอาดสะอ้าน เรียกได้ว่าเพียบพร้อมทุกด้าน ทำให้ผู้หญิงเหล่านั้นชื่นชอบแทบไม่ทัน…”

ในขณะที่พูด จู่ๆ นางก็หุบปากไป

ตรงหน้าเขา ซย่าจื้อเลิกปีกหมวกที่บดบังใบหน้าออก นัยน์ตาที่ดุจดั่งดวงดาวจ้องเสวียนจิ่วอิ้นถามว่า

“ข้านับว่างดงามหรือไม่”

เสวียนจิ่วอิ้นพูดไม่ออกแล้ว เขาแข็งทื่อไปทั้งตัว สองตาล่องลอย กายใจล้วนสั่นสะท้าน ในหัวว่างเปล่า เหมือนวิญญาณหลุดออกจากร่าง