“ผู้อาวุโส ข้าคนแซ่อันขอบังอาจถามสักประโยคได้หรือไม่ ท่าน… บรรลุจักรพรรดิแล้วใช่หรือไม่”
อันเจิงเดินเข้าไปในโถงใหญ่ ลังเลอยู่นาน สุดท้ายก็ยังอดเอ่ยถามปัญหาที่ซ่อนลึกอยู่ในใจมาหลายวันออกมาไม่ได้
หลินสวินพยักหน้า
อันเจิงเสมือนปลดพันธนาการก็ไม่ปาน เผยสีหน้าผ่อนคลายออกมา กล่าวว่า “เช่นน้าข้าค่อยอธิบายกับชาวเผ่าได้ง่ายหน่อย”
“อธิบายอะไร” หลินสวินอึ้งไป
อันเจิงกล่าวอย่างนบนอบ “ในแดนเจินหลงมีกฎที่ไม่ได้ระบุเป็นลายลักษณ์อักษรข้อหนึ่ง ระดับจักรพรรดิไม่อาจหมิ่นเกียรติ หมิ่นเกียรติต้องตาย หากชาวเผ่ารู้ว่าครั้งนี้ข้าพ่ายแพ้ภายใต้น้ำมือของท่าน ก็คงไม่ตีโพยตีพายเพราะเรื่องนี้อีก”
ส่วนผู้แข็งแกร่งเผ่าค้างคาวเขียวกระหายเลือดที่ตายไปพวกนั้น อันเจิงคร้านจะเอ่ยถึง ล่วงเกินระดับจักรพรรดิคนหนึ่งหรือ
ตายไปก็สมควร!
จะว่าไปอันเจิงถึงขั้นหัวเสียกับผู้แข็งแกร่งเผ่าค้างคาวเขียวกระหายเลือดพวกนั้นอยู่บ้าง หากไม่ใช่เพราะพวกเขายั่วโทสะระดับจักรพรรดิเช่นนี้เข้า เผ่าจักรพรรดิปี้อั้นของพวกเขามีหรือจะถูกลากมาเกี่ยวข้องด้วย
แน่นอน นี่ไม่ได้บอกว่าเผ่าจักรพรรดิปี้อั้นเกรงกลัวระดับจักรพรรดิ หากแต่อันเจิงรู้ชัดยิ่งว่าระดับจักรพรรดิเป็นพวกที่แข็งแกร่งขนาดไหน
ต่อให้ครั้งนี้ตนกลับขอความช่วยเหลือ ด้วยฐานะในเผ่าของตน เกรงว่าไม่เพียงเชิญคนมาช่วยไม่ได้ ตรงข้ามกลับยังเป็นเพราะตนล่วงเกินมหาจักรพรรดิคนหนึ่ง จนทำให้ตนถูกตำหนิและลงโทษอีกต่างหาก!
“ได้ยินมานานแล้วว่าเผ่าจักรพรรดิปี้อั้นแบ่งถูกผิดชัดเจน ว่ากันตามกฎ ท่าทีของเจ้าก็ไม่ได้ทำให้ข้าคนแซ่หลินผิดหวังจริงๆ” หลินสวินกล่าว
อันเจิงกล่าวว่า “กฎระเบียบอย่างไรก็สัมพันธ์กัน หากเปลี่ยนเป็นระดับจักรพรรดิเหมือนอย่างท่าน ก็สามารถอยู่เหนือกฎระเบียบได้แล้ว”
นิ่งไปพักหนึ่งเขาค่อยกล่าวว่า “แต่เป็นเพราะเผ่าปี้อั้นของข้ากระทำตามกฎระเบียบ ถึงสามารถทำให้เกาะเทพรุ้งมรกตกลายเป็นสถานที่แห่งการค้าหมื่นเผ่าได้ อย่างไรเสียก็เป็นการแลกเปลี่ยนซื้อขาย ต้องว่ากันตามความยุติธรรมและเหตุมากที่สุด หาไม่ทุกอย่างก็รวนกันหมด”
หลินสวินกล่าว “รอได้พบอันเสวี่ยแล้ว ระหว่างเจ้ากับข้าก็ถือว่าค้าขายเป็นที่พอใจทั้งสองฝ่ายแล้ว”
อันเจิงประสานมือคารวะ “ขอบคุณผู้อาวุโสยิ่ง”
มหาจักรพรรดิคนหนึ่งอยู่เบื้องหน้า ต่อให้อันเจิงจะเย่อหยิ่งและลำพองตนแค่ไหนก็โงหัวไม่ขึ้นเลยสักนิด
ขณะเดียวกันเขาก็ลอบดีใจกับตัวเองที่หลายวันนี้ไม่ได้หาเรื่องอีกฝ่าย หาไม่… เช่นนั้นผลที่ตามมาย่อมรุนแรงยิ่ง
เจ็ดวันต่อมา
เรือสมบัติมาถึงเกาะเทพรุ้งมรกตอย่างราบรื่น
บอกว่าเป็นเกาะแห่งหนึ่ง แต่ความเป็นจริงก็เหมือนแผ่นดินที่ทอดยาวหลายหมื่นลี้ บนนั้นปกคลุมด้วยต้นไม้เก่าแก่สีเขียวมรกตนานาชนิด มีแสงมงคลสายแล้วสายเล่ากลายเป็นรุ้งเทพโอบล้อมห้วงอากาศเหนือเกาะ ดูวิจิตรงดงาม
เบื้องหน้าเกาะมีเรือสมบัติมากมายเข้าๆ ออกๆ เงาร่างของสิ่งมีชีวิตแต่ละเผ่าสวนกันบนเกาะ เห็นได้ชัดว่าครึกครื้นหาใดเปรียบ
หลังจากเรือสมบัติของเผ่าจักรพรรดิปี้อั้นมาถึง อันเจิงก็เป็นฝ่ายหยัดกายลุกขึ้นก่อน พาหลินสวินเดินไปบนเกาะด้วยกัน
เดินไปพลางแนะนำสถานการณ์คร่าวๆ ของเกาะเทพรุ้งมรกตให้หลินสวินฟังไปพลาง
บนเกาะเทพรุ้งมรกต ทุกวันจะมีสิ่งมีชีวิตแต่ละเผ่าที่มาจากเหนือใต้ออกตกมุ่งหน้ามา บ้างก็มาเพื่อซื้อสมบัติ บ้างก็เพื่อขายสมบัติ
และเกาะเทพรุ้งมรกตก็ดุจดั่งตลาดรวมที่ใหญ่มหึมาหาใดเปรียบแห่งหนึ่ง รวมของเฉพาะถิ่นจากหมื่นเผ่าใต้หล้า ไม่ว่าจะเป็นของจำพวกเจตวัตถุ ลูกกลอนโอสถ วัตถุดิบวิญญาณ ของล้ำค่า สมบัติประหลาด หรือตำรายุทธ์ฝึกปราณ ตำราลับมรดกมากมายหลายอย่าง เรียกได้ว่าที่ควรมีล้วนมีหมด
กล่าวได้ว่าไม่ว่าผู้ซื้อคนใดก็ตามมุ่งหน้ามาบนเกาะเทพรุ้งมรกต ส่วนใหญ่ล้วนหอบของกลับไปกันเต็มไม้เต็มมือ ไม่ว่าผู้ขายคนใดก็ตามที่มุ่งหน้ามา ก็จะได้รับผลกำไรเป็นกอบเป็นกำเช่นเดียวกัน
ที่นี่เป็นแหล่งรวมสินค้าวิเศษจากสิบทิศ ของล้ำค่าศักดิ์สิทธิ์ทั่วหล้า!
ขอเพียงมีเหรียญเจินหลงมากพอ ไม่มีอะไรที่ซื้อไม่ได้ ถ้าหากมี นั่นหมายความว่าเหรียญเจินหลงในมือยังไม่มากพอ…
ตลอดทางหลินสวินก็เห็นว่าท้องถนนบนเกาะนี้ดุจตาข่าย บ้านเรือนดั่งป่าไม้ ทุกแห่งหนล้วนมีแต่แผงขายของต่างๆ นานา บนแผงขายของเต็มไปด้วยสมบัติหลากชนิดที่แปลกประหลาดหายาก เสียงร้องเรียก เสียงเร่ขายดังขึ้นเจี๊ยวจ๊าว สิ่งมีชีวิตจากสี่ทิศแปดทางเดินสวนกันอยู่ในนั้น ภาพระดับนั้นล้วนสามารถใช้คำว่าเดินเบียดไหล่ หลั่งไหลปานสายฝนมาบรรยายได้แล้ว
“ใต้หล้าวุ่นวาย ล้วนเพื่อผลประโยชน์ ใต้หล้าอลหม่าน ล้วนเพื่อผลกำไร สถานที่นี้ครึกครื้นจอแจเช่นนี้ สิ่งที่หายากคือยังคงเป็นระเบียบสงบสุข ไม่เลวเลยจริงๆ”
หลินสวินอดทอดถอนใจไม่ได้
อันเจิงพลันหัวเราะขึ้นมา กล่าวอย่างภูมิใจ “ผู้อาวุโส นี่ก็คือหนทางการวางตนของเผ่าจักรพรรดิปี้อั้นของข้า บรรพชนต้นเผ่าข้าทิ้งประโยคหนึ่งเอาไว้ เผ่าปี้อั้นต้องปฏิบัติตามกฎเกณฑ์ กล่าวได้ว่า กฎเกณฑ์สองคำนี้ ก็คือมาตรฐานที่เผ่าของข้ายึดถือ”
หลินสวินร้องอ้อคราหนึ่ง กล่าวว่า “แต่เหตุใดกฎเกณฑ์เช่นนี้กลับไม่เหมาะเอามาใช้กับเผ่ามนุษย์”
อันเจิงอึ้งงัน ค่อนข้างจับท่าทีของหลินสวินไม่ได้อยู่บ้าง ไตร่ตรองครู่หนึ่งถึงกล่าวว่า “เหตุที่เผ่ามนุษย์ต้อยต่ำ ก็เพราะอ่อนแอเกินไป ผู้อ่อนแอ… ย่อมได้แต่ทำตามกฎ”
หลินสวินไม่ได้ถือสาเขา กล่าวเพียงว่า “จากที่ข้าดู ช้าเร็วต้องมีสักวันที่ทั้งหมดนี้จะเกิดการพลิกผัน”
อันเจิงร้องอืมคราหนึ่ง เห็นชัดว่าในใจเขาไม่เห็นด้วยสักนิด
หลินสวินเองก็คร้านจะเอ่ยต่ออีก
นึกอยากเปลี่ยนแปลงทั้งหมดนี้ ไม่ใช่ว่าพูดสองสามประโยคแล้วจะแก้ไขได้อย่างแน่นอน
สุดฝั่งตะวันตกของเกาะเป็นเขาเขียวมรกตที่ทอดยาวสูงต่ำ ไอแรกกำเนิดคละคลุ้ง แสงมงคลพวยพุ่ง เป็นแดนมงคลที่หาได้ยากแห่งหนึ่ง
ภูเขานี้มีชื่อว่าประกายรุ้ง
บนเขาประกายรุ้งสร้างเรือนมรรคและถ้ำสถิตมากมาย ที่นี่เป็นอาณาเขตซึ่งอยู่ในการครอบครองของเผ่าจักรพรรดิปี้อั้น
“ที่พักของเผ่าจักรพรรดิปี้อั้นของข้า ตั้งอยู่ใน ‘แดนลับเปลือกวิญญาณ’ ที่ห่างจากเกาะเทพรุ้งมรกตออกไปเก้าล้านลี้ และบนเกาะเทพรุ้งมรกตแห่งนี้ก็มีผู้อาวุโสระดับจักรพรรดิสี่คนของเผ่าข้า รวมถึงเจ้าเกาะเวียนตำแหน่งคนหนึ่งเป็นผู้ดูแลมานานปี”
มาถึงตรงหน้าเขาประกายรุ้งแห่งนั้น อันเจิงก็กล่าวว่า “เจ้าเกาะเวียนตำแหน่งแต่ละสมัยล้วนต้องเฝ้าอยู่ที่นี่หนึ่งร้อยปี หนึ่งคือเคี่ยวกรำฝึกปราณบนโลก สองคือรับหน้าที่เจ้าเกาะ จะได้รับทรัพยากรฝึกปราณล้นหลาม เจ้าเกาะสมัยนี้ก็คืออันเสวี่ย”
ระหว่างที่กล่าวเขามาถึงหน้าประตูภูเขา ล้วงป้ายประจำตัวออกมาและพาหลินสวินเข้าไปในเขาประกายรุ้งอย่างราบรื่น สุดท้ายก็มาถึงเรือนพักเก่าแก่แห่งหนึ่ง
อันเจิงกล่าวว่า “ผู้อาวุโส ที่นี่คือที่พำนักของผู้น้อย ท่านรออยู่ที่นี่สักครู่ ข้าจะไปหาท่านพี่อันเสวี่ย”
หลินสวินพยักหน้า นั่งลงบนตั่งหินในเรือนพักง่ายๆ ก่อนเริ่มทำสมาธิ
อันเจิงอดแปลกใจน้อยๆ ไม่ได้
นี่เท่ากับว่าอยู่ในอาณาเขตของเผ่าจักรพรรดิปี้อั้นของพวกเขาแล้ว และบนเขาประกายรุ้งลูกนี้มีเฒ่าดึกดำบรรพ์ระดับจักรพรรดิสี่คนควบคุมดูแลอยู่
ผู้อาวุโสคนนี้ไม่กลัวว่าจะถูกตนหลอกบ้างเลยหรือ
คิดๆ แล้วอันเจิงก็ประสานมือคารวะ จากนั้นหมุนตัวเดินออกไป
ระดับจักรพรรดิจะหมิ่นเกียรติไม่ได้ นี่… เป็นกฎข้อหนึ่งด้วยเหมือนกัน!
อย่างน้อยเผ่าจักรพรรดิปี้อั้นก็เป็นเผ่าที่เคารพเทิดทูนกฎเกณฑ์มาโดยตลอด
จนกระทั่งอันเจิงออกไป เปลือกตาของหลินสวินก็ไม่ได้ลืมขึ้นเลยสักครั้ง
ก่อนเข้าเขาประกายรุ้ง พลังเจตจำนงยิ่งใหญ่ของเขาก็สัมผัสได้แล้วว่าที่แห่งนี้มีระดับจักรพรรดิสี่คน ระดับจักรพรรดิขั้นหกหนึ่งคน ขั้นห้าสองคน ขั้นสามหนึ่งคน… นอกจากนี้ ที่นี่ยังปกคลุมด้วยกระบวนสังหารขั้นจักรพรรดิอีกด้วย…
พลังระดับนี้เรียกได้ว่าน่าสะพรึงจริงๆ เพียงพอจะเขย่าขวัญพวกตัวเล็กๆ คนใดก็ตาม
แต่สำหรับหลินสวินแล้วไม่ถือว่าเป็นภัยคุกคามสักนิด
ไม่นานอันเจิงก็ย้อนกลับมา สีหน้าจนปัญญา กล่าวอึกอักว่า “ผู้อาวุโส อันเสวี่ยกำลังปิดด่าน เร็วสุดก็ต้องใช้เวลาสิบวันกว่าจะออกด่าน”
หลินสวินขมวดคิ้ว กล่าวว่า “อย่างน้อยที่สุดสิบวัน? ช่างเถอะ ข้ารอหน่อยก็ได้”
เขาถอนหายใจในใจ อยากพบเผ่าเจินหลงสักหน่อย… ยากเย็นขนาดนี้เชียวหรือ
อันเจิงกล่าวเสียงเบา “ผู้อาวุโส ท่านน่าจะมาเกาะเทพรุ้งมรกตเป็นครั้งแรก ไม่อย่างนั้น… ข้าไปเดินเล่นเป็นเพื่อนท่านดีหรือไม่”
หลินสวินคิดๆ แล้วก็พยักหน้าตอบตกลง
อันเจิงคึกคักทันที กล่าวว่า “ผู้อาวุโส เกาะเทพรุ้งมรกตรวบรวมสินค้าประหลาดทั่วทิศ ไม่ว่าสมบัติชนิดใดที่มีบนโลกใบนี้แทบจะพบเห็นอยู่ที่นี่เกือบหมด ไม่แน่ว่าอาจมีของที่ผู้อาวุโสต้องการก็เป็นได้”
กล่าวพลางพาหลินสวินออกจากเรือนพัก เดินออกนอกเขาประกายรุ้ง
“มีทรายวิญญาณดาราขุ่นใสหรือไม่” หลินสวินเอ่ยถามไปเรื่อย
อันเจิงอึ้งงัน “ของวิเศษระดับนี้นับว่าเป็นสมบัติวิญญาณแห่งฟ้าดินที่ได้แต่พานพบไม่อาจร้องขอ ก่อนหน้านี้ก็เคยปรากฏอยู่สองสามครั้ง แต่ก็ถูกคนซื้อไปในราคาสูงทันทีแล้ว”
หลินสวินร้องอ้อคราหนึ่ง ก่อนถามอีกว่า “วารีแรกปฐมล่ะ”
อันเจิงร้องเอ่ออยู่นาน ก่อนกล่าวด้วยรอยยิ้มขื่นว่า “นี่ยิ่งเป็นสมบัติที่หายากกว่าทรายวิญญาณดาราขุ่นใสเสียอีก จะพบเห็นหรือไม่ก็ต้องดูที่โชคแล้ว”
หลินสวินระบายยิ้ม ไม่ได้ถามต่ออีก
ทั้งคู่มาถึงกลางตลาดบนถนนที่อึกทึกครึกครื้น เดินชมไปตลอดทาง หลินสวินเลือกหยิบสมบัติส่วนหนึ่งมา ล้วนเป็นของเล่นแปลกประหลาดที่ยากจะพบเห็นอย่างมากบนทางเดินโบราณฟ้าดารา ราคาไม่ถือว่าแพงมากนัก แต่ก็ไม่ถูกเช่นกัน
เดินกันแบบนี้อยู่เป็นนาน หลินสวินจ่ายเหรียญเจินหลงออกไปหลายล้านเหรียญแล้ว ของที่ซื้อส่วนใหญ่เป็นของกิน มีเนื้อ มีผักผลไม้ มีเครื่องปรุงรส… หลากหลายมากมาย
หากไม่ได้เห็นกับตาตัวเอง อันเจิงยังเกือบสงสัยว่าหลินสวินเป็นมหาจักรพรรดิพ่อครัวคนหนึ่ง…
และวิธีใช้เงินปานสายน้ำไหลของหลินสวินก็ทำให้อันเจิงลอบตกใจ หลายร้อยล้านเหรียญเจินหลง สามารถซื้อศาสตราจักรพรรดิระดับสูงชั้นเลิศได้หนึ่งชิ้นเลยทีเดียว!
แต่หลินสวินกลับใจป้ำ ใช้จ่ายไม่อั้น ท่าทางโยนเงินทองเหมือนดินนั่นทำเอาอันเจิงยังอ้าปากค้างมองทึ่งๆ
เขาไม่รู้เลยว่าทรัพย์สมบัติที่หลินสวินจับจ่ายในตอนนี้ ล้วนเป็นทรัพย์หลังศึกที่ได้มาจากเผ่าจักรพรรดิเจินโห่ว ตอนนั้นที่ต้าหวงเก็บกวาดทรัพย์หลังศึก เกือบจะกวาดทรัพย์ที่เผ่าจักรพรรดิเจินโห่วสะสมมานานปีไปจนหมด!
เดินชมตลอดทาง หลินสวินอดผิดหวังเล็กน้อยไม่ได้ เขาโคจร ‘เปิดตาทิพย์’ อยู่ตลอด เดิมตั้งใจจะลองดูว่ามีร่องรอยอะไรหรือไม่
ไหนเลยจะคาดคิด ไม่มีร่องรอยใดๆ สักนิด
ควรรู้ว่าเปิดตาทิพย์เป็นวิชาชั้นยอดของปู่ซ่วนจื่อผู้สืบทอดลำดับแปดของคีรีดวงกมล ‘เทพเศรษฐี’ ที่มั่งคั่งที่สุดในคีรีดวงกมลคนนี้ ตอนนั้นก็อาศัยเปิดตาทิพย์กวาดของล้ำค่าและสมบัติประหลาดจากทั่วหล้าฟ้าดารา ด้วยเหตุนี้จึงมั่งคั่งร่ำรวย…
ไม่นานเสียงถกอื้ออึงระลอกหนึ่งก็เรียกความสนใจของหลินสวิน
“เป็นวารีแรกปฐมจริงๆ หรือ!?”
“นั่นยังจะมีปลอมด้วยหรือ หอคันฉ่องสวรรค์ปล่อยข่าวออกมาแล้ว ได้รับการไหว้วานจากบุคคลลึกลับคนหนึ่ง ต้องการนำสมบัติชิ้นนี้เข้าประมูล หนำซ้ำเวลายังแค่ช่วงเย็นวันนี้!”
“ไป ไปดูกัน!”
ได้ยินเช่นนี้หลินสวินยังอดอึ้งไปไม่ได้ สมบัติล้ำค่าที่ได้แต่พบเจอไม่อาจร้องขออย่างวารีแรกปฐมถึงกับถูกตนบังเอิญพบเข้าให้แล้ว?
และเวลานี้อันเจิงก็สังเกตเห็นการเคลื่อนไหวเหล่านี้เช่นกัน อดปากอ้าตาค้างไม่ได้ “แม่งโคตรจะ… บังเอิญจริงๆ!”
บนท้องถนนใหญ่ที่อยู่ไกลๆ เงาร่างมากมายต่างมุ่งหน้าไปยังทิศทางที่หอคันฉ่องสวรรค์ตั้งอยู่ สถานการณ์อึกทึกครึกโครมหาใดเปรียบ
เห็นชัดว่าถูกการประมูลครั้งนี้ดึงดูดไปทั้งสิ้น
“ผู้อาวุโส อยากไปดูสักหน่อยหรือไม่” อันเจิงถาม
หลินสวินครุ่นคิด สายตามองไปทางอันเจิง กล่าวว่า “ไม่อย่างนั้นเจ้าช่วยข้าไปดูที หากสมบัตินี้เป็นของจริงก็ประมูลสมบัตินี้มา”
อันเจิงอึ้งงัน ชี้นิ้วใส่ตัวเอง “ข้า?”
หลินสวินพยักหน้า
อันเจิง “…”
………………………..