“ท่านลุงทั้งสอง นี่พวกท่านมาทำอะไรกันหรือ”
อันเจิงสีหน้าตะลึงงัน เขาเพิ่งออกมาก็ถูกผู้อาวุโสในเผ่าสองคนขวางไว้ บังคับพาเขาย้อนกลับไปเขาประกายรุ้ง
“เจ้าไม่รู้จริงๆ หรือ” ชายวันกลางคนชุดเทาขมวดคิ้ว สีหน้าขึงขัง นามว่าอันเทียนสุ่ย หนึ่งในสี่ผู้แข็งแกร่งระดับจักรพรรดิที่ควบคุมดูแลเขาประกายรุ้ง
“ข้าทำไมหรือ”
อันเจิงยิ่งรู้สึกประหลาดมากขึ้นเรื่อยๆ
“สมบัติที่เจ้าใช้ประมูลวารีแรกปฐมเอามาจากไหน” ชายชราที่สวมชุดแดง ใบหน้าแข็งกระด้างเย็นชาอีกคนหนึ่งเอ่ยถาม เขานามอันเทียนหลิน เป็นระดับจักรพรรดิคนหนึ่งเช่นกัน
อันเจิงกล่าวอย่างลังเล “สมบัติพวกนี้มีปัญหาหรือ”
“ปัญหาใหญ่เลย!”
อันเทียนสุ่ยกล่าว “วันนี้ตอนรุ่งเช้าเพิ่งมีข่าวส่งมา เผ่าจักรพรรดิเจินโห่วประสบหายนะครั้งใหญ่ ระดับจักรพรรดิในเผ่าเกือบถูกสังหารเกลี้ยง…”
อันเจิงอึ้งไปครู่หนึ่ง กล่าวว่า “อย่าบอกนะ…”
เขาเดาความเป็นไปได้อย่างหนึ่งออก อดหน้าเปลี่ยนสีน้อยๆ ไม่ได้
“เจ้ายังไม่ถือว่าโง่นัก สมบัติที่เจ้าใช้สุรุ่ยสุร่ายในหอคันฉ่องสวรรค์วันนี้ หากไม่เหนือความคาดหมายก็น่าจะมาจากเผ่าจักรพรรดิเจินโห่วทั้งหมด!”
อันเทียนสุ่ยกล่าว “แน่นอน เผ่าจักรพรรดิเจินโห่วเจียนจะล่มสลายแล้ว ไม่มีทางเอาความเรื่องนี้แน่ เพียงแต่ข้าสงสัยว่าคนรุ่นหลังอย่างเจ้าเหตุใดถึงเข้ามาพัวพันเรื่องนี้ได้”
สายตาของอันเทียนหลินก็มองไปทางอันเจิงเช่นกัน
อันเจิงสีหน้าวูบไหวไม่นิ่งครู่หนึ่ง เพิ่งตั้งท่าจะพูดอะไรก็เห็นเงาร่างสายหนึ่งปรากฏขึ้นกลางอากาศ เอ่ยปากเสียงเรียบ “ข้าเป็นคนให้เขาช่วยเอง”
ผู้ที่มาก็คือหลินสวิน!
พริบตานั้นอันเทียนสุ่ยและอันเทียนหลินต่างนัยน์ตาหดรัด จับจ้องหลินสวิน ในใจทั้งคู่ตกใจปนสงสัย
จากปราณของพวกเขา ถึงกับไม่สามารถมองฐานะของคนตรงหน้าออก!
“ขอบังอาจถามว่าสหายยุทธ์คือ?” อันเทียนสุ่ยประสานมือ สายตาเจือแววระแวดระวัง ในใจสงสัยหาใดเปรียบ ฆาตรกรที่เกือบเหยียบเผ่าจักรพรรดิเจินโห่วราบเป็นหน้ากลองนั่น เกรงว่าจะเป็นคนผู้นี้แล้ว
“หลินเต้ายวน” หลินสวินกล่าวง่ายๆ
บนทางเดินโบราณฟ้าดารา นี่คือชื่อที่สามารถทำให้สำนักใดก็ตามหวาดผวา แต่ในแดนเจินหลงกลับแปลกหูหาใดเปรียบ
อย่างน้อยพวกอันเทียนสุ่ยก็ได้ยินเป็นครั้งแรก
“ดูเหมือนว่าสหายยุทธ์จะไม่ได้มาจากเผ่าวิญญาณเมฆา”
อันเทียนสุ่ยกล่าวเสียงขรึม “แน่นอน เรื่องนี้ล้วนไม่สำคัญ ข้าเพียงแต่ใคร่รู้ เหตุใดสหายยุทธ์ต้องหลอกใช้คนรุ่นหลังในเผ่าข้าด้วย”
ขณะพูดเขาชี้ไปทางอันเจิง
“เจ้าคิดมากไปแล้ว”
หลินสวินกล่าวเสียงเรียบ “หากไม่ใช่เพราะจะชักนำความวุ่นวายที่ไม่จำเป็นบางส่วนมา ข้าคนแซ่หลินย่อมไม่ให้สหายน้อยอันเจิงต้องลำบาก”
เขาหยุดไปครู่ก่อนเอ่ยต่อไปว่า “ท่านทั้งสอง ให้ข้ากับสหายน้อยอันเจิงพูดคุยกันตามลำพังได้หรือไม่”
อันเทียนสุ่ยและอันเทียนหลินสบตากันปราดหนึ่ง ต่างจับทางความคิดของหลินสวินไม่ได้ แต่สุดท้ายก็ยังพยักหน้า
หลินสวินพาอันเจิงที่มืดแปดด้าน มึนงงไปหมดออกไปไกลๆ ก่อนยื่นมือทำประทับผนึกปิดครอบพื้นที่แถบนี้เอาไว้ ถึงค่อยกล่าวว่า “ตอนนี้เจ้ารู้ฐานะของข้าแล้ว ในใจคิดเห็นอย่างไร”
อันเจิงยิ้มขื่น “ข้าเป็นแค่ผู้น้อยคนหนึ่ง เข้าไปพัวพันเรื่องใหญ่โตของพวกท่านไม่ได้หรอก”
กล่าวพลางเขายื่นขวดหยกสีทองที่ประทับผนึกใบหนึ่งให้หลินสวิน “ผู้อาวุโส ในประทับผนึกนี้ก็คือวารีแรกปฐม”
หลินสวินถือไว้ในมือ จิตรับรู้สำรวจเข้าไปในประทับผนึกแล้วพยักหน้า “ถูกต้อง เป็นสมบัติชิ้นนี้”
อันเจิงสูดหายใจลึกเฮือกหนึ่ง ประสานมือกล่าวว่า “ผู้อาวุโส เรื่องนี้เสร็จสิ้นแล้ว ขอให้ท่านโปรดเมตตา ปล่อยผู้น้อยไปด้วย”
พวกน่าสะพรึงที่สามารถฆ่าเผ่าจักรพรรดิเจินโห่วเกือบหมดได้คนหนึ่ง จะให้อันเจิงกล้าไปสุงสิงด้วยอีกได้อย่างไร
หลินสวินขบคิดเล็กน้อยแล้วกล่าวว่า “ข้าเคยรับปากไปแล้ว จะให้เจ้าได้เห็นอานุภาพแท้จริงของประทับปี้อั้น ย่อมไม่อาจคืนคำ”
เขายื่นมือออกมาชี้ ประทับมหามรรคสายหนึ่งพุ่งเข้าไปในหัวคิ้วของอันเจิง
ตูม!
อันเจิงรู้สึกเพียงว่าสมองสั่นสะเทือน ประทับปี้อั้นสายหนึ่งปรากฏ แผ่อานุภาพน่าสะพรึงที่สยบสังหารจักรวาล ท่ามกลางความเลือนราง เขาเสมือนมองเห็นประทับมรรคสายนั้นถึงกับกลายเป็นเงาร่างบรรพชนแรกเริ่ม เหยียบย่ำทำลายฟ้าดารา เคลื่อนขวางสยบทั้งหล้า!
นั่นคืออานุภาพที่อันเจิงไม่เคยเห็นมาก่อน เขาไม่เคยคิดมาก่อนว่ามรดกประทับปี้อั้นที่ตนเริ่มฝึกฝนมาตั้งแต่เด็กจะถึงกับยิ่งใหญ่เพียงนี้ ถึงขั้นใช้คำว่าน่าเหลือเชื่อมาบรรยายได้!
ครู่ต่อมาอันเจิงเหงื่อชุ่มโชก สายตางุนงง จู่ๆ เขาก็นึกถึงคำที่หลินสวินเคยพูด…
‘นี่ไม่ใช่ปัญหาของปราณ แต่เป็นปัญหาของมรดก’
นี่เป็นเรื่องจริงอย่างนั้นหรือ
หากเป็นเช่นนี้ ไม่ใช่หมายความว่ามรรคาของตนมีจุดบกพร่องมาตลอดหรือ
อารมณ์ของอันเจิงไหวหวั่น สภาพจิตใจล้วนมีร่องรอยของการสั่นคลอนอยู่รางๆ
หลินสวินตบไหล่เขาเบาๆ “วัวหายล้อมคอก แต่ยังไม่สายเกินไป ภายหน้าเจ้าตั้งใจหยั่งรู้ดีๆ ก็จะซ่อมแซมกลับมาได้”
สภาพจิตใจของอันเจิงมั่นคงขึ้นมาทันที สายตาของเขาซับซ้อน โค้งตัวกล่าวว่า “ขอบคุณผู้อาวุโสยิ่งที่ชี้แนะ”
กล่าวเสร็จเขาก็เดินออกไปยังไกลๆ จิตใจเหม่อลอย วิญญาณไม่อยู่กับร่าง
“เจ้าทำอะไรกับอันเจิง” อันเทียนสุ่ยสีหน้ามืดทะมึน สังเกตว่าสภาพของอันเจิงไม่ปกติเท่าไรนัก
หลินสวินระบายยิ้ม ไม่ได้พูดมากความ เงาร่างอันตรธานหายลับไปในอากาศ
อันเทียนหลินสำรวจบนล่างทั่วตัวอันเจิงหนหนึ่ง ถึงค่อยกล่าวด้วยสีหน้าอ่อนลงว่า “ไม่ได้เล่นลูกไม้ใด เพียงแต่สภาพจิตใจไหวสะเทือนอยู่บ้าง”
อันเทียนสุ่ยพยักหน้ากล่าวว่า “ไป กลับเขาประกายรุ้งก่อน”
…
“หากอันเสวี่ยนั่นก็เป็นเหมือนเจ้า ที่เคี่ยวกรำฝึกฝนคือประทับปี้อั้นที่มีจุดบกพร่อง ย่อมไม่สามารถแจ้งมรรคกลายเป็นจักรพรรดิได้…”
ไกลออกไปหลินสวินมองดูเงาร่างพวกอันเจิงหายลับไปแล้วก็หมุนตัวจากไปเช่นกัน หายลับไปท่ามกลางราตรีอันครึกครื้นพลุกพล่าน
เจ็ดวันต่อมา
บนเขาประกายรุ้ง อันเสวี่ยที่ถูกมองเป็นความภาคภูมิของคนรุ่นเยาว์ในเผ่าจักรพรรดิปี้อั้น มีปราณระดับมกุฎกึ่งจักรพรรดิขั้นบริบูรณ์ก็ออกด่าน
ทันทีที่รู้ข่าว อันเจิงก็มาหาทันที
“เจ้าบอกว่าคนที่เกือบจะทำลายล้างเผ่าจักรพรรดิเจินโห่วทั้งเผ่า กลับหวังอยากยืมพลังของข้า มุ่งหน้าไปเผ่าเจินหลงหรือ”
ฟังสาเหตุการมาของอันเจิงจบ อันเสวี่ยก็อดตะลึงงันไม่ได้ นางสวมชุดเกราะ ผมดำนุ่มลื่นทัดใบหู ดวงหน้าหมดจดงดงาม โครงหน้าเด่นชัด เงาร่างผอมเพรียวอ้อนแอ้นตั้งตรงดุจหอกทวน ทั่วร่างแผ่อานุภาพแข็งแกร่ง ดุดัน และโชกโชนออกมา
“ถูกต้อง” อันเจิงพยักหน้า
อันเสวี่ยหัวเราะเยาะออกมา “คนใหญ่คนโตที่ร้ายกาจเช่นนี้ กลับต้องการความช่วยเหลือจากมกุฎกึ่งจักรพรรดิอย่างข้า เจ้าคิดว่าหากพูดออกไปใครจะเชื่อ”
“นี่เป็นเรื่องจริง” อันเจิงพูดจนเหนื่อย ถึงพอจะทำให้อันเสวี่ยฝืนใจเชื่อเรื่องนี้
“ข้ามักรู้สึกว่าเรื่องนี้ค่อนข้างแปลกพิกล” อันเสวี่ยมุ่นคิ้วกล่าว “เรื่องนี้… ไม่ช่วยจะเหมาะกว่า ถ้าเกิดหลินเต้ายวนคนนั้นที่เจ้าพูดถึงไปเผ่าเจินหลงครั้งนี้เพราะมีเจตนาร้ายแอบแฝง จะไม่เท่ากับข้าเป็นผู้สมรู้ร่วมคิดหรอกหรือ”
อันเจิงอึ้งไป กล่าวว่า “ไม่หรอกกระมัง เผ่าเจินหลงเป็นพวกแบบใด ใต้หล้านี้ใครจะกล้าล่วงเกินพวกเขา”
“อย่าลืมสิ หลินเต้ายวนคนนี้ที่เจ้าเอ่ยถึงเกือบเหยียบเผ่าจักรพรรดิเจินโห่วราบนะ ใช่ระดับจักรพรรดิทั่วไปจะเทียบได้ที่ไหน”
นัยน์ตาอันเสวี่ยวาววับ “เรื่องนี้ไม่เพียงแต่ข้า เจ้าเองก็อย่ายื่นมือเข้ามาอีก รีบเลิกติดต่อกับหลินเต้ายวนคนนั้นโดยเร็วที่สุด”
“ท่านพี่ ข้าคิดว่าผู้อาวุโสคนนี้ไม่ใช่พวกชั่วร้ายเลวทราม”
อันเจิงลังเลครู่หนึ่ง เล่าเรื่องที่ตนได้รับ ‘การชี้แนะ’ จากหลินสวินให้ฟังตั้งแต่ต้นจนจบ ไม่ปกปิดสักนิด
อันเสวี่ยฟังจบก็ยังเผยแววไม่อยากจะเชื่อออกมาเช่นกัน “นี่คือเรื่องจริงหรือ”
อันเจิงสีหน้าเคร่งขรึม “ข้าไม่กล้าเอาเรื่องมรดกของเผ่าไปพูดเลอะเทอะเด็ดขาด!”
“ให้ข้าดูหน่อยได้หรือไม่”
อันเสวี่ยถาม เรื่องนี้กระทบใจนางมากเกินไป ทั้งตกใจทั้งรู้สึกว่าเหลวไหล สภาพอารมณ์กระเพื่อมไหวในชั่วขณะ
อันเจิงยิ้มขื่น ชี้ไปที่หัวของตน “ในห้วงนิมิตของข้า ไหนเลยจะมองเห็นได้ นี่ได้แต่ถูกข้าหยั่งรู้เองเท่านั้น”
เขาสูดหายใจลึกเฮือกหนึ่ง กล่าวอย่างจริงจัง “ท่านพี่ หลายวันมานี้ข้าหยั่งรู้มาตลอด ในที่สุดก็หยั่งถึงรู้นัยเร้นลับบางอย่างได้ ท่านลองดูสิ”
กล่าวพลางร่างกายของเขาเปล่งแสง เบื้องหน้าพลันปรากฏประทับปี้อั้นสายหนึ่ง แผ่ระลอกคลื่นมหามรรคอันน่าตกใจออกมา เงามายาปี้อั้นบนประทับใหญ่ดุจดั่งสามารถฟื้นคืนชีวิตขึ้นมาได้ทุกเมื่อ พาให้ผู้คนใจสั่นรัว
เพียงมองปราดเดียวอันเสวี่ยก็สัมผัสถึงจุดมหัศจรรย์ของประทับปี้อั้นสายนี้แล้ว อดหน้าเปลี่ยนสีไม่ได้ กล่าวว่า “เจ้าหยั่งถึงไปเท่าไหร่แล้ว”
“ไม่ถึงหนึ่งในหมื่นส่วน” อันเจิงเอ่ยตอบ
อันเสวี่ยรีบกล่าวทันที “พาข้าไปพบเขาที”
อันเจิงเกาหัว กล่าวว่า “แต่… ข้าเองก็ไม่รู้ว่าตอนนี้ผู้อาวุโสคนนั้นอยู่ที่ไหน…”
“ไปหาสิ”
อันเสวี่ยถลึงตามองเขาปราดหนึ่ง กล่าวอย่างไม่สบอารมณ์ “ช่างเถอะ ข้าจะไปหาพร้อมกับเจ้า”
ในใจนางไม่อาจสงบได้จริงๆ นางเป็นถึงมกุฎกึ่งจักรพรรดิ ระยะห่างจากระดับจักรพรรดิก็ขาดแค่จุดเปลี่ยนในการทะลวงระดับเท่านั้น
แต่หลายปีมานี้กลับไม่มีมา หยั่งรู้ไม่ถึง ชักนำจุดเปลี่ยนในการบรรลุจักรพรรดิไม่ได้สักที ถึงขั้นปราณก็หยุดชะงักไม่รุดหน้าอยู่เช่นนั้น
แต่ตอนนี้ได้ยินคำพูดของอันเจิง ทำให้ในใจอันเสวี่ยเกิดความคิดหนึ่งขึ้นมารางๆ เกรงว่า… สาเหตุที่ตนไม่สามารถทะลวงระดับได้สักที ก็อยู่ที่มรดกที่เคี่ยวกรำ!
“อันเสวี่ย ผ่านไปอีกสักระยะคนใหญ่คนโตของเผ่าเจินหลงจะมาเยือนด้วยตัวเอง ชี้แนะวิธีที่ทะลวงระดับให้เจ้า เวลานี้เจ้าจะออกไปทำอะไร”
ขณะที่อันเสวี่ยและอันเจิงกำลังจะออกไป กลับเห็นอันเทียนสุ่ยปรากฏตัวในบริเวณไม่ไกลนักไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไหร่ ขมวดคิ้วมองพวกเขาสองคน
“ข้า… จะไปเดินเล่นในเมืองกับอันเจิงหน่อย” อันเสวี่ยกล่าว “หมู่นี้ปิดด่าน ในใจค่อนข้างอุดอู้ ถือว่าเป็นการผ่อนคลายจิตใจ”
อันเทียนสุ่ยสีหน้าอ่อนลง กล่าวว่า “เจ้าไม่ต้องกดดันมากเกินไป หลายปีมานี้ไม่เพียงแต่พวกเราเผ่าจักรพรรดิปี้อั้น แม้แต่เผ่าอื่นๆ ในเก้าเผ่าจักรพรรดิใหญ่เหมือนพวกเรา ก็ไม่มีสักคนที่สามารถแจ้งมรรคบรรลุจักพรรดิได้”
“แต่ว่าเจ้าวางใจเถอะ รอคนใหญ่คนโตเผ่าเจินหลงมาแล้ว จะต้องช่วยเจ้าแก้ปัญหาเรื่องการทะลวงระดับนี้ได้อย่างแน่นอน”
อันเสวี่ยพยักหน้า ประสานมือกล่าวว่า “ขอบคุณท่านลุงที่อบรม เช่นนั้นพวกเราขอตัวไปก่อน”
“ไปเถอะ” อันเทียนสุ่ยโบกมือ มองดูอันเสวี่ยและอันเจิงออกไปด้วยกัน ในสายตาของเขาเจือแววซับซ้อนเสี้ยวหนึ่ง
คนหนุ่มสาวเหล่านี้ไม่รู้สักนิด ทายาทของเก้าเผ่าจักรพรรดิใหญ่ ไม่ว่าใครก็ตามที่มีโอกาสแจ้งมรรคกลายเป็นจักรพรรดิ หากไร้การชี้แนะจากเผ่าเจินหลง ไม่ว่าพรสวรรค์จะสูงปานใด รากฐานพลังแกร่งแค่ไหน ก็ไม่มีทางเหยียบธรณีประตูระดับจักรพรรดิได้อย่างแน่นอน!
นี่เป็นความลับหัวใจหลัก ในเก้าเผ่าจักรพรรดิใหญ่มีเพียงผู้บรรลุจักรพรรดิเท่านั้นจึงจะล่วงรู้
และเผ่าเจินหลง เป็นเพราะใช้วิธีชี้แนะอันพิเศษเฉพาะตัวเช่นนี้ ถึงสามารถควบคุมบงการพวกเขาเก้าเผ่าจักรพรรดิใหญ่ได้มาตลอด!
‘อันเสวี่ย เพื่อให้เจ้าบรรลุจักรพรรดิ ในเผ่าต้องจ่ายค่าตอบแทนใหญ่ยิ่งออกไปกว่าจะแลกมาซึ่งโอกาสเช่นนี้จากเผ่าเจินหลง หวังเพียงว่าตอนที่เจ้าข้ามเคราะห์บรรลุจักรพรรดิ อย่าได้เกิดเหตุไม่คาดฝันอะไรเป็นอันขาด…’
อันเทียนสุ่ยพึมพำในใจ