เกาะเทพรุ้งมรกต
บนริมฝั่งทะเลแถบหนึ่ง
หลินสวินตื่นจากการนั่งสมาธิ ในห้วงนิมิตของเขา คัมภีร์กระบี่ไท่เสวียน คัมภีร์กระบี่จูคง คัมภีร์กระบี่มหาลมกรด ไปไร้หวน กระบี่พิฆาตมรรคชั่วพริบตา ห้ามรดกมรรคกระบี่นี้ มีการผสานและขานรับกันอยู่รางๆ ระหว่างกัน
เพียงแต่ยังคงยากเกินกว่าจะผสานอย่างแท้จริง
คัมภีร์กระบี่ชั้นเลิศห้าอย่าง ก็เหมือนจักรพรรดิกระบี่ชั้นเลิศห้าคน นึกอยากผสานเชื่อมต่อหนทางแห่งมหามรรคของพวกเขาให้กลายเป็นมรรคกระบี่ของตน… ยากเกินไป!
หลินสวินกลับไม่ได้รีบร้อน หนทางแห่งมรรคจักรพรรดิเดิมก็ไม่สามารถสำเร็จในก้าวเดียวอยู่แล้ว
สิ่งเดียวที่ทำให้หลินสวินคาดไม่ถึงคือ จากความเร็วในการเคี่ยวกรำของเขาในตอนนี้ ใช้เวลานาไม่นานนักปราณก็จะทะยานถึงระดับจักรพรรดิขั้นสองขั้นสมบูรณ์แล้ว!
และตอนที่ไปทะลวงระดับจักรพรรดิขั้นสาม ก็จะพบเจอกับ ‘ปราการใจจักรพรรดิ’ นี่คือเคราะห์แรกบนเส้นทางแห่งระดับจักรพรรดิ
พักนี้หลินสวินเองก็ไตร่ตรองอยู่ตลอด เคราะห์นี้ย่อมเกี่ยวข้องกับสภาวะจิต เพียงแต่จะพบเจอเคราะห์ใหญ่ขนาดไหน หลินสวินกลับไม่รู้อะไรเลย
เขาขอคำแนะนำจากซี ต้าหวง คำตอบของทั้งคู่เหมือนกัน ปราการใจจักรพรรดิที่ระดับจักรพรรดิแต่ละคนพบเจอ ไม่มีอะไรใช้อ้างอิงได้เลย
ขณะกำลังใคร่ครวญ ในใจหลินสวินวูบไหวคราหนึ่ง สายตามองไปยังบริเวณไกลโพ้น
ไม่นานนักก็เห็นเงาร่างของอันเจิง อันเสวี่ยปรากฏขึ้น พุ่งเข้ามาทางนี้
มุมปากหลินสวินเจือรอยยิ้มบางที่คล้ายมีแต่ไม่มี ตอนที่เขาถ่ายทอดนัยเร้นลับของประทับปี้อั้นให้อันเจิงก็มั่นใจแล้วว่า อันเสวี่ยที่หลายปีมานี้เอาแต่เตรียมพร้อมจะบรรลุจักรพรรดิ หลังจากได้รู้เรื่องนี้จะต้องนั่งไม่ติดเป็นแน่!
และนี่ก็หมายความว่า แทนที่จะให้ตนเป็นฝ่ายไปร้องขอความช่วยเหลือจากอันเสวี่ย ไม่สู้ให้อีกฝ่ายมาหาถึงที่อย่างว่าง่ายๆ ดีกว่า
“พวกเจ้ามาแล้ว” หลินสวินหยัดตัว ไม่ได้วางมาดในฐานะบุคคลระดับจักรพรรดิ กล่าวให้ถูกคือ หากว่ากันแค่อายุ เขาถึงขั้นเด็กกว่าอันเจิงและอันเสวี่ยเสียอีก!
“ผู้อาวุโส ผู้นี้คือท่านพี่ในเผ่าของข้า…” อันเจิงเดินเข้ามาและแนะนำอย่างเคารพคราหนึ่ง
“คารวะผู้อาวุโส” อันเสวี่ยประสานมือ จากนั้นนัยน์ตาก็ทอดมองหลินสวิน กล่าวว่า “ดูท่าผู้อาวุโสน่าจะเดาสาเหตุการมาของข้าได้แล้ว ผู้น้อยก็ไม่กล้าปิดบัง ถึงจะไม่สามารถช่วยผู้อาวุโสเข้าวังมังกรได้ แต่กลับสามารถหาโอกาสให้ผู้อาวุโสติดต่อกับคนใหญ่คนโตเผ่าเจินหลงได้”
“เช่นนั้นก็พอ”
หลินสวินพยักหน้า อันเสวี่ยเป็นผู้หญิงที่ฉลาดหลักแหลมยิ่งคนหนึ่งอย่างไม่ต้องสงสัย คล่องแคล่วพูดจาฉะฉาน แต่กลับมีจุดยืนของตัวเอง
เขาดีดนิ้วคราหนึ่ง ประทับนัยเร้นลับของประทับปี้อั้นสายหนึ่งก็พุ่งเข้าไปกลางคิ้วของอันเสวี่ย ฝ่ายหลังร่างกายแข็งทื่อ จากนั้นก็นั่งขัดสมาธิอย่างไม่ลังเลสักนิด สงบจิตหยั่งรู้
เนิ่นนานอันเสวี่ยลืมตาขึ้นจากการนั่งสมาธิ เมื่อมองดูหลินสวินอีกครั้ง นัยน์ตาสุกใสก็เจือแววเคารพเกรงขามและไม่อยากจะเชื่ออย่างหนึ่ง
ในที่สุดนางก็เข้าใจแล้ว ที่อันเจิงพูดมาทั้งหมดถึงกับเป็นเรื่องจริง มรดกประทับปี้อั้นที่พวกเขาเผ่าจักรพรรดิปี้อั้นฝึกฝนในหลายปีมานี้ ไม่ได้สมบูรณ์สักนิด!
“ขอบคุณผู้อาวุโสที่ช่วยชี้แนะอย่างยิ่ง!”
อันเสวี่ยโค้งกายคารวะ น้ำเสียงก็เปลี่ยนเป็นจริงใจขึ้นมา “ราวๆ ครึ่งเดือนให้หลัง ผู้อาวุโสใหญ่คนหนึ่งของเผ่าเจินหลงจะมาเยือนเกาะเทพรุ้งมรกต ถึงตอนนั้นผู้น้อยจะหาโอกาสเข้าพบให้ผู้อาวุโส”
ในใจหลินสวินถอนหายใจโล่งอก กล่าวว่า “เช่นนั้นก็ลำบากแล้ว”
ครึ่งเดือน?
เขารอไหว
“ผู้อาวุโส ผู้น้อยมีคำขอที่อาจจะเกินเลยไปอย่างหนึ่ง อยากถามว่า ท่าน… ครอบครองมรดกประทับปี้อั้นซึ่งเป็นของเผ่าข้าได้อย่างไร” อันเสวี่ยลังเลครู่หนึ่ง สุดท้ายก็ยังทำหน้าหนาเอ่ยถามออกไป
อันเจิงอึ้งไป ก่อนจะมองไปเช่นกัน นี่ก็เป็นข้อกังขาที่ใหญ่ที่สุดในใจเขาเหมือนกัน เพียงแต่ก่อนหน้านี้ไม่กล้าถาม
หลินสวินกล่าวง่ายๆ “เรื่องนี้พูดไปก็ยาว เอาเป็นว่าไม่มีทางเป็นการขโมยไปจากเผ่าปี้อั้นของพวกเจ้าแน่นอน”
อันเสวี่ยและอันเจิงสบตากันปราดหนึ่ง นี่ย่อมไม่ใช่การแอบขโมยอย่างแน่นอน ถึงอย่างไรมรดกที่พวกเขาเผ่าปี้อั้นเคี่ยวกรำกันนั้นก็มีจุดบกพร่อง ส่วนมรดกประทับปี้อั้นที่หลินเต้ายวนคนนี้ครอบครองกลับสมบูรณ์!
อันเสวี่ยสูดหายใจลึกเฮือกหนึ่ง กล่าวเสียงเบา “ผู้อาวุโส ท่าน… มอบมรดกสมบูรณ์นี้เอาไว้ได้หรือไม่ ข้าเชื่อว่าเผ่าปี้อั้นของข้าจะต้องซาบซึ้งผู้อาวุโส มองผู้อาวุโสเป็นผู้มีพระคุณสูงสุดของเผ่าแน่ หนำซ้ำ ไม่ว่าผู้อาวุโสมีข้อเรียกร้องอะไร ขอเพียงเผ่าข้าสามารถทำให้ได้ จะต้องตอบตกลงอย่างแน่นอน!”
หลินสวินคล้ายยิ้มแต่ไม่ได้ยิ้ม “เรื่องนี้ไม่ใช่สิ่งที่คนรุ่นหลังอย่างเจ้าจะตัดสินใจได้ ต่อไปหากมีโอกาส ข้าก็ไม่ถือที่จะทำเช่นนี้ แต่ไม่ใช่ตอนนี้”
อันเสวี่ยรู้สึกผิดหวังน้อยๆ อย่างเลี่ยงไม่ได้ แต่นางก็รู้ดี เรื่องนี้ไม่ใช่สิ่งที่คนรุ่นหลังอย่างนางจะยื่นมือจัดการได้จริงๆ
หลินสวินครุ่นคิดครู่หนึ่งแล้วกล่าว “เรื่องนี้อย่าเพิ่งบอกคนอื่น หากข้าสามารถกลับจากเผ่าเจินหลงอย่างราบรื่น บางทีอาจจะพูดคุยเรื่องนี้กับคนใหญ่คนโตในเผ่าปี้อั้นของพวกเจ้า”
เขาไม่อยากหาเรื่องวุ่นวาย ยิ่งไม่อยากถูกปัญหามาหาถึงที่
หากเรื่องนี้ถูกสัตว์ประหลาดเฒ่าเผ่าจักรพรรดิปี้อั้นพวกนั้นรู้เข้า จะต้องใช้ทุกวิธีทาง ‘รั้ง’ เขาเอาไว้อย่างแน่นอน!
ถึงแม้อันเสวี่ยและอันเจิงจะรู้สึกประหลาด แต่ก็ยังตกปากรับคำ
ไม่นานนักทั้งคู่ก็รีบร้อนจากไป
หลินสวินอยู่ที่เดิมเพียงลำพัง ในที่สุดตอนนี้เขาก็ระบุเรื่องหนึ่งได้อย่างชัดเจนแล้ว
มรดกมังกรเคราะห์เก้ากระบวนแปรของท่านลู่ ห่างไกลจากคำว่าเรียบง่ายอย่างที่ตนเคบคิดเอาไว้!
‘สถานการณ์เช่นนี้ เกรงว่าจะไม่ใช่แค่เผ่าจักรพรรดิปี้อั้นเท่านั้น ในเผ่าจักรพรรดิสายเลือดเจินหลงอื่นๆ อย่างชือน้ำแข็ง ฟู่ซี่ ผูเหลา… บางทีก็อาจมีสถานการณ์นี้อยู่ก็ได้…’
หลินสวินใคร่ครวญ ‘มรดกที่ไม่สมบูรณ์ ไม่สามารถทำให้คนรุ่นหลังของเผ่าจักรพรรดิเหล่านี้มีโอกาสบรรลุจักรพรรดิ ทว่าตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบัน ในเก้าเผ่าจักรพรรดิใหญ่นี้กลับไม่ขาดบุคคลระดับจักรพรรดิ’
‘นี่หมายความว่ามรดกอย่างมังกรเคราะห์เก้ากระบวนแปรนี้ ถูกเผ่าเจินหลงมองเป็นวิธีที่เอาไว้ควบคุมบงการเก้าเผ่าจักรพรรดิใหญ่มาโดยตลอดหรือไม่ มีเพียงได้รับความช่วยเหลือจากเผ่าเจินหลง ทายาทเก้าเผ่าจักรพรรดิใหญ่ที่มีศักยภาพบรรลุจักรพรรดิเหล่านั้น จึงจะสามารถมีโอกาสฝ่าระดับบรรลุจักรพรรดิได้อย่างแท้จริงหรือ’
‘หากเป็นเช่นนี้จริงๆ ก็น่าสนใจแล้ว…’
หลินสวินคิดถึงตรงนี้ก็ยิ้มแล้ว ไม่ว่าอย่างไร เรื่องพวกนี้อย่างน้อยๆ สำหรับเขาในตอนนี้ก็ไม่ได้มีผลกระทบอะไร
ไม่นานนักหลินสวินก็เอามือไพล่หลัง มุ่งหน้าไปยังตลาดอันพลุกพล่านแห่งนั้น
‘ก็ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่จะพบรากปฐมจิตวิญญาณของต้นไม้เทพชางอู๋กับทรายวิญญาณดาราขุ่นใส…’
ก่อนหน้านี้นานมาแล้ว หลินสวินก็กำลังรวบรวมต้นไม้เทพทุกชนิดและเจตวัตถุที่สามารถควบรวม ‘ต้นอ่อนต้นบ่อเกิดแรกกำเนิด’ ออกมาได้
แต่หลายปีผ่านมานี้เขาเดินทางผ่านสถานที่ต่างๆ ไม่รู้เท่าไหร่ ตอนนี้เพิ่งเก็บฝูซาง เจี้ยนมู่ คุนอู๋ ที่เป็นสี่ไม้เทพมาได้ รวมถึงดินอัศจรรย์ห้าสีกำหนึ่ง และดินปราณแรกกำเนิดนิดหน่อยเท่านั้น
และไม่กี่วันก่อนหน้านี้ เพิ่งจะได้รับวารีแรกปฐมบนเกาะเทพรุ้งมรกตแห่งนี้
และตอนนี้เขาเหลือแค่รากปฐมจิตวิญญาณของต้นไม้เทพชางอู๋ รวมถึงทรายวิญญาณดาราขุ่นใส ก็จะสามารถควบรวมต้นอ่อนต้นบ่อเกิดแรกกำเนิดได้แล้ว
บนมรรคาระดับจักรพรรดิ ผู้ที่สามารถครอบครองต้นบ่อเกิดแรกกำเนิด ก็เท่ากับหยั่งถึงและครอบครองรากฐานแห่งกฎเกณฑ์บ่อเกิดแรกกำเนิด!
เพียงแต่ต้นบ่อเกิดแรกกำเนิดยากจะเลี้ยงดูออกมาอย่างยิ่ง อย่างน้อยเท่าที่หลินสวินรู้มา ในหมื่นกาลนับแต่อดีต บนทางเดินโบราณฟ้าดารา ผู้ที่สามารถควบรวมต้นไม้นี้ออกมาได้อย่างแท้จริงมีอยู่แค่สองสามคน!
สาเหตุก็เพราะ ต้นไม้เทพและเจตวัตถุเหล่านั้นหายากเกินไป แต่ละอย่างล้วนเรียกได้ว่าเป็นสมบัติล้ำค่าที่ดุจดั่งตำนาน ได้แต่พบพานไม่อาจร้องขอ
เหมือนอย่างหลินสวิน ตั้งแต่ตอนอยู่ดินแดนรกร้างโบราณก็ได้รับรากปฐมจิตวิญญาณของต้นไม้เทพฝูซาง ทว่าจนกระทั่งตอนนี้เขาเป็นมกุฎมหาจักรพรรดิแล้ว ก็ยังไม่สามารถควบรวมออกมาได้
น่าเสียดาย ความโชคดีของหลินสวินเหมือนกับถูกใช้ไปหมดแล้ว วันเวลาต่อมาเขาท่องไปในเกาะเทพรุ้งมรกตมาตลอด แต่ก็ไม่พบวัตถุดิบเทพที่จำเป็นอีกเลย
ตูม!
ในวันนี้กลางห้วงอากาศที่อยู่ไกลๆ ของเกาะเทพรุ้งมรกต พลันปรากฏเส้นทางรุ้งศักดิ์สิทธิ์สายหนึ่ง เต่าดำหนวดมังกรที่ลำตัวกว้างถึงหมื่นจั้งเต็มๆ ตัวหนึ่งบรรทุกตำหนักวังทองมรกตเรืองรองหลังหนึ่ง พุ่งออกมาจากส่วนลึกของเส้นทางแห่งนั้น
เกือบจะในเวลาเดียวกัน ระดับจักรพรรดิเผ่าจักรพรรดิปี้อั้นสี่คนที่ควบคุมดูแลบนเกาะเคลื่อนไหวพร้อมกัน มุ่งหน้ามาต้อนรับขับสู้ด้วยตัวเอง
ภาพเหตุการณ์นี้เรียกความแตกตื่นบนเกาะเทพรุ้งมรกตในทันที!
เพราะนั่นคือคนใหญ่คนโตผู้หนึ่งในเผ่าเจินหลงเดินทางมาเยือน และเผ่าเจินหลงก็เป็นนายเหนือหัวในใต้หล้าแห่งนี้ มีอานุภาพที่ยิ่งใหญ่ที่สุด
อย่าว่าแต่คนใหญ่คนโตคนหนึ่งของเผ่าเจินหลงเลย ต่อให้เป็นบ่าวจัดการเรื่องสัพเพเหระคนหนึ่งของเผ่าเจินหลง ในโลกที่หมื่นเผ่าตั้งอยู่นี้ก็ยังไม่มีใครกล้าหาเรื่องด้วยซ้ำ
“ในที่สุดก็มาแล้ว” บนหน้าผาริมฝั่งทะเล หลินสวินลืมตาจากการนั่งสมาธิ จิตรับรู้พาดขวางกลางอากาศ และสัมผัสถึงกลิ่นอายของ ‘คนใหญ่คนโต’ ผู้นั้นของเผ่าเจินหลงได้ทันที
เป็นชายที่สวมชุดม่วง สองตาเจือสีน้ำตาล รูปร่างสูงล่ำแข็งแกร่ง เป็นผู้มีปราณระดับจักรพรรดิขั้นหก!
ผู้ที่มุ่งหน้ามาในครั้งนี้ย่อมไม่ได้มีแค่คนผู้นี้เท่านั้น ลำพังแค่ผู้ติดตามที่ปรากฏตัวพร้อมกับเขาก็มีกันนับพันคน กลิ่นอายแต่ละคนล้วนแข็งแกร่งอย่างยิ่ง
เพียงแต่สำหรับหลินสวินแล้ว นอกจากชายชุดม่วงคนนี้ก็ไม่มีใครที่เข้าตาอีกเลย!
ในวันนั้นมีข่าวกระจายออกมา ชายชุดม่วงผู้นั้นเป็นผู้อาวุโสคนหนึ่งของเผ่าเจินหลง นามว่าอ๋าวซิงหลิน ฉายา ‘จักรพรรดิมังกรพลิกสมุทร’!
และในเวลานั้นอันเจิงก็รีบร้อนมาหา เชิญหลินสวินไปเป็นแขกที่เขาประกายรุ้ง
ช่วงโพล้เพล้
เขาประกายรุ้ง ในคฤหาสน์อันวิจิตรงดงามแห่งหนึ่ง สัตว์ประหลาดเฒ่าเผ่าจักรพรรดิปี้อั้นสี่คนอย่างพวกอันเทียนสุ่ย อันเทียนหลินมาด้วยตนเอง รอต้อนรับจักรพรรดิมังกรพลิกสมุทรที่มาเยือนที่นี่อย่างเอิกเกริก
ในงานเลี้ยงอาหารเครื่องดื่มพร้อมพรัก บรรยากาศครื้นเครง
จักรพรรดิมังกรพลิกสมุทรนั่งสันโดษอยู่ตรงตำแหน่งประธาน ท่าทางองอาจเคร่งขรึม ดุงดั่งจอมราชันที่สูงส่งคนหนึ่งกำลังรับการต้อนรับขับสู้จากเหล่าขุนนาง
พวกอันเทียนสุ่ยไม่มีใครไม่ยินดีกันสักคน แต่ละคนต่างกระตือรือร้นยิ่ง ฉายแววต่ำต้อยที่คล้ายมีแต่ไม่มี ท่าทีก้มหมอบอย่างยิ่ง
อย่าว่าแต่คนใหญ่คนโตอย่างจักรพรรดิมังกรพลิกสมุทรเลย ต่อให้เป็นชาวเผ่าคนหนึ่งที่มาจากเผ่าเจินหลง พวกอันเทียนสุ่ยก็ยังไม่กล้าละเลย
หลังดื่มสุราไปสามรอบ ในที่สุดสายตาของจักรพรรดิมังกรพลิกสมุทรก็มองไปทางอันเสวี่ยที่นั่งอยู่ไม่ไกลมาโดยตลอด เอ่ยปากเสียงเรียบ
“นี่ก็คือผู้กล้าที่สะดุดตาที่สุดในหมู่คนรุ่นหลังของเผ่าเจ้าหรือ”
อันเทียนสุ่ยรีบกล่าวเป็นพัลวัน “ใช่แล้ว อันเสวี่ย รีบคารวะใต้เท้าจักรพรรดิมังกรพลิกสมุทรเร็วเข้า!”
อันเสวี่ยหยัดตัวลุกขึ้นแล้วก้มหัวคารวะอย่างเคารพ “คารวะใต้เท้า”
จักรพรรดิมังกรพลิกสมุทรร้องอืมคราหนึ่ง สายตากวาดสำรวจอันเสวี่ย ก่อนจะข้างของลวกๆ ออกไป เป็นยันต์สีทองที่แสงมรรคคลุมเครือสอดประสานชิ้นหนึ่ง ตกอยู่ตรงโต๊ะเบื้องหน้าอันเสวี่ย
“ใช้เลือดบริสุทธ์ของเจ้าลงชื่อประทับลายมือลงไปบนยันต์แผ่นนี้ซะ” น้ำเสียงราบเรียบ เจือกลิ่นอายทำทาน
ตอนนี้อันเสวี่ยรู้แล้ว ขอเพียงทำเช่นนี้ ชะตาชีวิตของตนก็จะถูกเผ่าเจินหลงบงการอย่างแน่นหนา หากฝ่าฝืน ยันต์ผืนนี้ก็จะมอบอาการบาดเจ็บสาหัสถึงชีวิตที่สุดให้แก่ตน
แต่หากไม่ทำ ก็ไม่สามารถได้รับคำชี้แนะจากจักรพรรดิมังกรพลิกสมุทร ชั่วชีวิตไร้วาสนาบรรลุจักรพรรดิ!
……………………