เดิมที วันนี้เฉียนหงเย่นมาหางานทำ และเธอก็ได้งานลูกจ้างชั่วคราวรายได้วันละหนึ่งร้อยหยวน
แต่ว่า หลังจากที่ได้คุยกันไม่กี่คำ เขาได้ยินมาว่าเฉียนหงเย่นเคยเรียนมหาวิทยาลัยมาก่อน จึงให้เธอได้ทดลองงานแคชเชียร์
แคชเชียร์เป็นงานที่ไม่ถือว่าเหนื่อยมาก อีกทั้งรายได้วันละหนึ่งร้อยห้าสิบหยวน มากกว่าจับกังห้าตั้งสิบหยวน ดังนั้นแน่นอนอยู่แล้วว่าเฉียนหงเย่นต้องตอบรับอย่างยินดี
ถ้าไม่มีปัญหาอะไร ผู้จัดการต้องยอมให้เฉียนหงเย่นทำงานต่อไปอย่างแน่นอน แต่ถ้าเธอกล้าก่นด่าลูกค้าที่เคาน์เตอร์แคชเชียร์ ถ้าอย่างนั้นคนแบบนี้จะเก็บไว้ไม่ได้
ดีที่เธอแค่ล้อเล่นกับญาติของตนเอง เพราะฉะนั้นจึงไม่มีให้ต้องตำหนิ
ดังนั้น ผู้จัดการจึงเอ่ยปากเตือนว่า“คุณต้องใส่ใจกับภาพลักษณ์ในที่ทำงาน ญาติของตัวเองก็อย่าล้อเล่นกันในที่ทำงานแบบนี้ เข้าใจไหม?”
เฉียนหงเย่นรีบพยักหน้าหงึกหงัก แล้วพูดอย่างประจบ“คุณวางใจเถอะ จะไม่มีครั้งหน้าค่ะ!”
ผู้จัดการตอบรับอืม จากนั้นก็หันหลังเดินจากไป
เวลานี้เอง เซียวฉางควนเอ่ยปากพูดขึ้นมาว่า“นี่ คุณเป็นผู้จัดการของที่นี่ใช่ไหม?”
ผู้จัดการหันหลังกลับมา“ใช่ครับ ผมเอง”
เซียวฉางควนพูดอย่างเย้ยหยัน“ผมจะร้องเรียนคุณ!”
ผู้จัดการถามอย่างแปลกใจ“คุณจะร้องเรียนผม?ทำไมครับ?”
เซียวฉางควนชี้ไปที่เฉียนหงเย่น แล้วพูดอย่างโกรธเคือง“ลูกน้องที่อยู่ในการดูแลของคุณใช้คำพูดจู่โจมผม ก่นด่าด้วยวาจาเสียๆหายๆ แต่คุณกลับไม่สนใจและไม่ถาม!นี่เห็นได้ชัดว่าเป็นการบกพร่องต่อหน้าที่!หรือปกติคุณรู้เห็นเป็นใจกับลูกน้องของคุณแบบนี้หรอ?”
ผู้จัดการพูดด้วยใบหน้าสงสัย“พวกคุณสองคนไม่ใช่ญาติกันหรอครับ?”
เซียวฉางควนสบถ“ถุ้ย!ใครเป็นญาติกับหล่อนไม่ทราบ?”
ผู้จัดการไม่เข้าใจ แล้วชี้ไปที่เฉียนหงเย่น“หล่อนเป็นคนพูดเองหนิครับ!”
เซียวฉางควนพูดอย่างดูถูก“หล่อนพูดอะไรคุณก็เชื่องั้นหรอ!ดูท่าคุณจะบกพร่องต่อหน้าที่จริงๆ!พวกคุณสองคนน่ะสิเป็นญาติกัน!ไม่อย่างนั้นทำไมสมยอมกับหล่อนขนาดนี้ แล้วยังปกป้องหล่อนอีก?!”
ผู้จัดการหัวใจหล่นวูบ จึงรีบเอ่ยถามอย่างร้อนใจ“คุณครับ คุณกับเฉียนหงเย่นไม่ได้เป็นญาติกันหรอครับ?”
เซียวฉางควนเชิดปลายคางขึ้นสูงมาก แล้วพูดอย่างเย้ยหยัน“แน่นอนว่าไม่ใช่!ผมไม่รู้จักเธอด้วยซ้ำ!ผมมาซื้อของกับลูกเขย ต่อแถวมาครึ่งชั่วโมงกว่าจะถึงคิวพวกเรา สุดท้ายเธอบอกว่าจะไปพักผ่อน ให้เราไปต่อแถวที่อื่น นี่มันจงใจหาเรื่องไม่ใช่หรอ?อีกทั้งเมื่อครู่ยังพูดหยาบคายกับเราอีก คุณน่าจะได้ยินใช่ไหม?!”
ผู้จัดการถึงกับกระวนกระวาย แล้วรีบมองไปทางเฉียนหงเย่น พลางถามว่า“นี่มันเกิดอะไรขึ้นห้ะ?!ถ้าเธอไม่พูดกับฉันให้รู้เรื่อง เธอก็ไม่ต้องทำงานแล้ว!”
เฉียนหงเย่นถึงกับตกใจ!
เธอเห็นเซียวฉางควนกับเย่เฉิน ในใจของเธอจึงรู้สึกโกรธโมโหเป็นฟืนเป็นไฟอย่างไม่รู้ตัว ดังนั้นจึงไม่สนใจอะไร ด่าเซียวฉางควนไปหนึ่งฉาด
แต่คิดไม่ถึงว่า เซียวฉางควนจะร้องเรียนตนเองกับผู้จัดการ!
นี่มันคือการทุบหม้อข้าวของตนเองไม่ใช่หรอ?!
เมื่อคิดมาถึงตรงนี้ เธอจึงรีบขอร้องอ้อนวอนว่า“ฉางควน นายรีบพูดกับผู้จัดการหน่อยสิ เราเป็นครอบครัวเดียวกัน ฉันเป็นพี่สะใภ้ของนาย ถ้ามีตรงไหนฉันทำไม่ถูก ฉันขอโทษนะ แต่นายอย่าเอางานของฉันมาล้อเล่นเลยนะ ถือว่าพี่สะใภ้ขอร้องนายล่ะ ได้ไหม?”
เซียวฉางควนถลึงตาใส่เธอ แล้วพูดกับผู้จัดการว่า“คุณดูสิ ยังจะพูดไม่คิดตรงนี้อยู่อีก ผมแม่งไม่รู้จักหล่อนด้วยซ้ำ หล่อนอ้าปากก็บอกว่าเป็นพี่สะใภ้ของผม หุบปากก็บอกว่าเป็นพี่สะใภ้ของผม ถ้าเป็นคุณ คุณรับได้ไหม?”
เฉียนหงเย่นรีบแก้ตัว“ผู้จัดการคะ!คุณอย่าฟังเขาพล่ามนะคะ!ฉันเป็นพี่สะใภ้ของเขาจริงๆนะคะ!”
เซียวฉางควนมองไปที่ผู้จัดการคนนั้น แล้วตบไหล่เขาเบาๆ พลางถามเขาอย่างไร้ความรู้สึก“ถ้าผมบอกตอนนี้ว่า ผมเป็นพ่อของหล่อนจริงๆ คุณจะเชื่อไหม?”