หลินสวินจ้องมองอ๋าวเจิ้นเทียนครู่หนึ่ง อดทอดถอนใจไม่ได้ “ตอนแรกเจ้าเตือนข้าให้รีบจากไป ด้วยเชื่อว่าต่อให้ข้าหลินสวินมา เผ่าเจินหลงของพวกเจ้าก็ไม่มีทางยอมให้ข้าพาจิ่งเซวียนและลูกของข้าจากไปใช่หรือไม่”
อ๋าวเจิ้นเทียนส่ายหัว “ข้าแค่ห่วงว่าเจ้าจะเกิดเรื่องไม่คาดฝัน ไม่ว่าเจ้าจะเชื่อหรือไม่ ข้า… แค่ไม่อยากเสียเพื่อนอย่างเจ้าไป”
หลินสวินสูดหายใจลึก กล่าวว่า “ข้าเข้าใจแล้ว”
เสียงราบเรียบจนไม่มีคลื่นความรู้สึกแม้แต่น้อย
แต่กลับทำให้อ๋าวเจิ้นเทียนใจสะท้าน “พี่หลิน เจ้าอย่าทำอะไรบุ่มบ่าม! แดนวังมังกรนี้น่ากลัวกว่าที่เจ้าคาดคิดไว้”
หลินสวินกล่าว “ข้าเข้าใจเจ้าและเคารพจุดยืนของเจ้า ด้วยพวกเราเป็นเพื่อนกัน แต่เรื่องนี้เจ้าก็ต้องพิจารณาถึงความรู้สึกของข้าด้วย!”
สีหน้าอ๋าวเจิ้นเทียนเปลี่ยนเป็นซีดเผือด อกสั่นขวัญหาย
“อิ๋นฮวน เจ้าจะอยู่กับเขาหรือไปกับข้า”
สายตาหลินสวินมองไปยังอิ๋นฮวน “เจ้าน่าจะรู้ว่าหากเผ่าเจินหลงพบเจ้าอีก ผลที่ตามมาเกรงว่าคงร้ายแรงกว่าครั้งก่อน”
อิ๋นฮวนนิ่งงันทันที
อ๋าวเจิ้นเทียนกลับโกรธจนตาแดงก่ำ “ครั้งนี้ต่อให้สละชีวิตของข้า ข้าก็ไม่ยอมให้อิ๋นฮวนลำบากอีกแม้แต่น้อย!”
“ดูสถานการณ์ตอนนี้ของเจ้า ยังเอาอะไรมารับรองทุกอย่างนี้ได้อีก”
หลินสวินกล่าว “หากไม่ได้ข้า หญิงที่เจ้ารักคนนี้คงตกเป็นของเล่นให้พวกสวะนั่นนานแล้ว!”
อิ๋นฮวนเอ่ยเสียงเบาด้วยความวิงวอน “พี่หลิน อย่าพูดอีกเลย ครั้งนี้ข้าจะอยู่กับเจิ้นเทียน ต่อให้ต้องตายก็จะอยู่ด้วยกัน”
เสียงเศร้านุ่มนวลเปี่ยมความจริงใจนั้นทำให้อ๋าวเจิ้นเทียนอึ้งงัน องค์ชายเจ็ดเผ่าเจินหลงที่น่าเกรงขาม เวลานี้กลับน้ำตาคลอเบ้า ควบคุมความรู้สึกไม่ได้
“ข้าจะพาพวกเจ้าไปจากเขาผนึกฟ้า จะจากเผ่าเจินหลงไปหรือเลือกอยู่ต่อ พวกเจ้าเลือกเองเถอะ”
หลินสวินพูดจบก็ถอนพลังต้องห้าม ในมือปรากฏธงกระบวนเล่มหนึ่ง สาดคลื่นผนึกต้องห้ามดั่งภาพฝันลวงตา ปกคลุมเงาร่างเขา อ๋าวเจิ้นเทียน รวมถึงอิ๋นฮวนไว้ภายใน จากนั้นจึงจากไปพร้อมกัน
นอกเขาผนึกฟ้า
“นำสิ่งนี้ไปด้วย มันสามารถบดบังกลิ่นอายบนตัวของพวกเจ้าได้ ย่อมไม่ถูกสังเกตเห็น” หลินสวินนำธงกระบวนที่ประทับพลังผนึกแน่นหนาออกมาอีกครั้ง มอบให้แก่อ๋าวเจิ้นเทียน
“พี่หลิน…”
อ๋าวเจิ้นเทียนเพิ่งหมายจะพูดอะไรก็ถูกหลินสวินตัดบท “หากเจ้าจะเตือนข้าก็อย่าพูดอีก หรือเจ้าจะขวางข้าดูก็ได้”
ยามเอ่ยวาจาดวงตาหลินสวินทอดมองไปไกล กวาดมองไปรอบทิศ กำลังจะจากไปแล้ว
อ๋าวเจิ้นเทียนกัดฟัน โยนม้วนหยกหนึ่งให้หลินสวิน “นี่คือแผนที่แดนวังมังกรของข้า อาณาเขตเล็กใหญ่บนนั้นข้าทำเครื่องหมายไว้หมดแล้ว หากเกิดเรื่องไม่คาดฝันขึ้นจริง…”
เขาพูดพลางหยิบป้ายหยกหนึ่งออกมาจากตัวแล้วโยนให้หลินสวิน “นี่คือป้ายคำสั่งของข้า สามารถเปิดผนึกเพื่อออกจากแดนวังมังกรนี้ได้”
“สิ่งที่ข้าทำได้ก็มีแค่เรื่องพวกนี้ หวังว่า… เจ้าจะพาน้องจิ่งเซวียนและหลานคนนั้นของข้าออกไปได้พร้อมกัน”
“อิ๋นฮวน พวกเราไปกันเถอะ”
พูดจบเขาก็พาอิ๋นฮวนมุ่งตรงไปที่ห่างไกล
หลินสวินมองม้วนหยกและป้ายคำสั่งในมือ ทั้งมองอ๋าวเจิ้นเทียนและอิ๋นฮวนที่เดินห่างไปอีกครั้ง ในใจรู้สึกผิดคาดอยู่บ้างเช่นกัน เขาสื่อจิตกล่าวทันที ‘ขอบคุณมาก’
อ๋าวเจิ้นเทียนไม่ได้หันกลับมา แต่อิ๋นฮวนหันกลับมายิ้มพลางโบกมือให้หลินสวิน
ฮู่ว…
หลินสวินถอนหายใจยาวแล้วเปิดม้วนหยกออก บนนั้นเขียนภาพภูมิประเทศของแดนวังมังกรไว้อย่างถี่ถ้วน สถานที่ต่างๆ มีเนื้อหาระบุไว้อย่างละเอียด
ยกตัวอย่างเช่น ใจกลางแดนวังมังกรมีชื่อว่า ‘วังมหามรรคหมื่นมังกร’ เป็นแกนกลางสำคัญของเผ่าเจินหลง ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน มีเพียงเครือญาติสายตรงของหัวหน้าเผ่าเจินหลงที่อาศัยอยู่ในนั้นได้
ใกล้วังมหามรรคหมื่นมังกรยังมีเทือกเขาทรงพลังที่คดเคี้ยวทอดยาวแถบหนึ่งรายรอบ เหมือนพญามังกรที่ขดตัว
นี่คือ ‘เขาบรรพชนมังกร’ เป็นแดนต้นกำเนิดของเผ่าเจินหลง มีเฒ่าดึกดำบรรพ์ควบคุมดูแลมานานปี โดยทั่วไปคนในเผ่าเจินหลงก็ไม่อาจเข้าใกล้
งานชุมนุมเซียนหมื่นมังกรเมื่อหลายสิบปีก่อนก็จัดขึ้นในพื้นที่ของ ‘บ่อมังกร’ แห่งเขาบรรพชนมังกร
ไม่นานหลินสวินก็สังเกตเห็นเส้นทางสี่สิบเก้าสายที่มุ่งสู่โลกภายนอก แต่ละเส้นทางล้วนถูกอ๋าวเจิ้นเทียนระบุไว้ชัดเจน
จ้องมองแผนที่ฉบับนี้อย่างถี่ถ้วนอยู่ครู่ใหญ่ หลินสวินเก็บม้วนหยกและป้ายหยกลงไปพร้อมกัน เริ่มออกเดินทางไปยังที่ห่างไกล
“ฮ่าๆๆ เผ่าเจินหลงจะอับโชคแล้ว!”
หลินสวินเพิ่งจากไป ในคุกที่มืดมิดแห่งหนึ่งในส่วนลึกเขาผนึกฟ้านั้น มีเสียงหัวเราะที่เต็มไปด้วยความบ้าคลั่งดังขึ้น
“ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นผลกรรมของจักรพรรดิมังกรหมิงหลัวคนทรยศคนนี้ สวรรค์มีตา ในที่สุดก็จะเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่แล้ว!”
เสียงนี้ดังกระหึ่ม เมื่อนักโทษที่ถูกขังในเขาผนึกฟ้านับไม่ถ้วนได้ยินเข้าก็แตกตื่นอย่างอดไม่ได้ทันที
“บังอาจ!”
“เด็กๆ ไปจัดการเฒ่าสวะเผ่าจักรพรรดิฉิวหนิวนั่นซะ!”
“รีบลงมือ!”
ไม่ทันไรก็มีผู้คุ้มกันที่เฝ้าเขาผนึกฟ้าแห่กันมาราวกับกระแสน้ำ มือถือแส้ยาวที่วาบแสงอสนี พุ่งเข้าไปในเขาผนึกฟ้า
แต่ไม่นานก็มีคนร้องอย่างตื่นตระหนก “แย่แล้ว องค์ชายเจ็ดหายไปแล้ว!”
“อะไรนะ”
ผู้คุ้มกันที่เฝ้าเขาผนึกฟ้าพวกนั้นหน้าเปลี่ยนสีทันที ลนลานไปหมด
องค์ชายเจ็ดถูกกักบริเวณอยู่ที่นี่ เป็นคำสั่งที่หัวหน้าเผ่าบัญชาลงมาด้วยตัวเอง ตอนนี้กลับหายตัวไป ผลที่ตามมานี้… ผู้คุ้มกันอย่างพวกเขาแบกรับไม่ไหวแน่
“เร็วเข้า รีบส่งข่าวไป บอกว่าเขาผนึกฟ้าเกิดเรื่องใหญ่แล้ว!”
มีคนตวาดเสียงดัง
ไม่นานตรงขอบฟ้าที่ห่างไกลมีเงาร่างกลุ่มหนึ่งเคลื่อนผ่านอากาศมา ผู้นำคือชายชราที่สวมชุดดำ ผมเผ้าหนวดเคราแผ่อานุภาพดุดันสีทองคนหนึ่ง ทั่วร่างแผ่กลิ่นอายร้ายกาจของระดับจักรพรรดิ
อ๋าวเทียนคุน สมญา ‘จักรพรรดิมังกรผลาญพิภพ’ บุคคลสำคัญที่มีปราณระดับจักรพรรดิขั้นห้าคนหนึ่ง
หลังจากรู้เรื่องในเขาผนึกฟ้า อ๋าวเทียนคุนสีหน้าขรึมลงทันที ขมวดคิ้วกล่าว “ใต้เท้าจักรพรรดิสงครามหุนเซวี่ยล่ะ เกิดเรื่องใหญ่เช่นนี้ทำไมเขาถึงไม่อยู่ที่นี่”
ผู้คุ้มกันพวกนั้นมองหน้ากันเลิ่กลั่ก มีคนกล่าวว่า “ก่อนหน้านี้องค์ชายสี่พาคนมาที่นี่ ให้ใต้เท้าจักรพรรดิสงครามหุนเซวี่ยรับรองด้วยตนเอง ข้าน้อยเห็นพวกเขาเดินเข้าไปในเขาผนึกฟ้าขอรับ”
“ไปหาสิ!” อ๋าวเทียนคุนออกคำสั่ง
ไม่นานจักรพรรดิสงครามหุนเซวี่ยที่บาดเจ็บสาหัสและหมดสติถูกคนเจอตัว แต่สีหน้าทุกคนกลับเต็มไปด้วยความตื่นตระหนก
ใครก็คิดไม่ถึงว่าในแดนวังมังกรนี้ ถึงกับมีคนกล้ากระทำการชั่วร้ายในเขาผนึกฟ้าด้วย!
ใบหน้าชราของอ๋าวเทียนคุนคล้ำเขียวขึ้นมา สะบัดมือตบจนจักรพรรดิสงครามหุนเซวี่ยที่หมดสติไปตื่นขึ้น
“ว่ามา เกิดเรื่องอะไรขึ้น!? องค์ชายสี่และองค์ชายเจ็ดไปไหน” อ๋าวเทียนคุนตวาดลั่น แววตาเยียบเย็นจนน่ากลัว
ต่อให้เป็นระดับจักรพรรดิเหมือนกัน แต่ในสายตาของเขา จักรพรรดิสงครามหุนเซวี่ยก็เป็นแค่ผู้ติดตามอาวุโสคนหนึ่งเท่านั้น ไม่คู่ควรให้เขาเลื่อมใส
ในใจจักรพรรดิสงครามหุนเซวี่ยแม้จะรู้สึกอับอาย แต่ยังก้มหน้าข่มเพลิงโทสะในใจ เล่าเรื่องทุกอย่างที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ออกมาจนหมด
“ถ้าเช่นนั้นเจ้าก็ถูกคนต่างถิ่นนั่นจู่โจมจนบาดเจ็บหรือ ข้าอยากรู้นักว่าคนต่างถิ่นนี่เป็นใครกันแน่!
อ๋าวเทียนคุนแววตาลุกโชน นำคันฉ่องสมบัติสีเขียวที่ส่องประกายแวววาวออกมาจากแขนเสื้อทันที
วู้ม!
เมื่อคันฉ่องสมบัติสีเขียวส่องประกาย บนคันฉ่องนั้นพลันปรากฏภาพมากมายทันที
ไม่นานอ๋าวเทียนคุนก็เห็นภาพต่างๆ ที่พวกอ๋าวเสวียนเฟิงพาหลินสวินมา จากทางเข้าถึงแดนวังมังกร ตลอดทางจนมาถึงเขาผนึกฟ้า
จักรพรรดิสงครามหุนเซวี่ยก้มหน้าตลอด แต่เขารู้ดีว่าคันฉ่องสมบัติสีเขียวนั้นมีนามว่า ‘คันฉ่องสมบัติท่องสวรรค์’ ในมือผู้ยิ่งใหญ่ของเผ่ามังกรแต่ละคนล้วนมีอยู่ชิ้นหนึ่ง สามารถเห็นภาพต่างๆ ที่เกิดขึ้นในแดนวังมังกรผ่านสมบัตินี้ได้
ยามสนทนากับหลินสวิน เขายังพูดถึงการมีอยู่ของสมบัตินี้กับหลินสวินโดยเฉพาะ
ขณะเดียวกันอ๋าวเทียนคุนก็เห็นภาพที่หลินสวินกับจักรพรรดิสงครามหุนเซวี่ยเดินเข้าไปในถ้ำนั้นด้วยกัน
ไม่นานพวกอ๋าวเสวียนเฟิงก็เข้าไปในนั้น
แต่สุดท้ายกลับมีแค่หลินสวินคนเดียวที่เดินออกมาจากถ้ำ
เมื่อดูถึงตรงนี้ ใบหน้าชราของอ๋าวเทียนคุนเต็มไปด้วยความเยียบเย็น ในใจสัมผัสได้ถึงความไม่เข้าทีอย่างเด่นชัด พวกองค์ชายสี่… เกรงว่าคงถูกคนต่างถิ่นนั่นจับตัวไปแล้ว!
“ใครก็ได้ ไปดูโคมวิญญาณขององค์ชายสี่ว่ายังสว่างอยู่หรือไม่” เขาสั่งความพลางดูคันฉ่องต่อ
กระทั่งเห็นหลินสวินเดินไปยังที่ราบซึ่งองค์ชายเจ็ดอ๋าวเจิ้นเทียนอยู่ ภาพทุกอย่างล้วนหายไปทันที
“หืม?”
นัยน์ตาอ๋าวเทียนคุนพลันหดรัด คาดเดาความเป็นไปได้อย่างหนึ่ง คนต่างถิ่นนั่นวางกระบวนผนึก บดบังพลังของคันฉ่องสมบัติท่องสวรรค์ไว้!
กระทั่งผ่านไปครู่ใหญ่ อ๋าวเทียนคุนจึงเห็นที่ราบซึ่งเดิมใช้กักขังองค์ชายเจ็ดไว้อย่างชัดเจน แต่ที่นั่นกลับว่างเปล่าไม่มีอะไรเลย อย่าว่าแต่องค์ชายเจ็ด แม้แต่เงาร่างของคนต่างถิ่นนั่นก็ไม่อยู่แล้ว
“บัดซบ!”
นัยน์ตาของอ๋าวเทียนคุนปรากฏแสงน่าสะพรึง “เห็นได้ชัดว่าคนผู้นี้เตรียมการมาก่อน ไม่อย่างนั้นคงไม่มีทางหนีการตรวจสอบของคันฉ่องสมบัติท่องสวรรค์ได้แน่!”
“จักรพรรดิสงครามหุนเซวี่ย เจ้ารู้ฐานะของคนผู้นี้ไหม” เขามองไปยังจักรพรรดิสงครามหุนเซวี่ย
จักรพรรดิสงครามหุนเซวี่ยกล่าว “องค์ชายสี่พูดเพียงว่า โจรถ่อยนี่นำป้ายคำสั่งของจักรพรรดิมังกรพลิกสมุทรมาที่นี่ ฐานะน่าสงสัย เรื่องอื่นข้าน้อยก็ไม่รู้”
“หึ! พวกไร้ประโยชน์ชัดๆ!” อ๋าวเทียนคุนแค่นเสียงเย็นชา โกรธจนจะระเบิด
จักรพรรดิสงครามหุนเซวี่ยส่งเสียงคำรามในใจเช่นกัน ‘ภายหน้ารอเมื่อชะตาชีวิตของพวกข้าเก้าเผ่าจักรพรรดิใหญ่เกิดการเปลี่ยนแปลง ถึงตอนนั้นข้าอยากดูนักว่าเผ่าเจินหลงของเจ้าจะเป็นใหญ่ในใต้หล้าอยู่หรือไม่!’
“องค์ชายสี่กับองค์ชายเจ็ดล้วนหายตัวไป… ดูท่าว่าคนต่างถิ่นนี่ต้องคิดการใหญ่แน่…”
อ๋าวเทียนคุนสูดหายใจลึกแล้วออกคำสั่ง “ถ่ายทอดคำสั่งข้าลงไป แจ้งเรื่องโจรถ่อยนี่ให้สิ่งมีชีวิตทั้งหมดในแดนวังมังกรรู้ ไม่ว่าจะพบร่องรอยของโจรถ่อยนี่ที่ไหน ต้องมารายงานทันที!”
“ขอรับ!”
พวกผู้ติดตามและผู้คุ้มกันมากมายที่อยู่ใกล้ต่างเริ่มเคลื่อนไหวทันที
ขณะเดียวกันอ๋าวเทียนคุนก็นำสมบัติทรงเปลือกหอยออกมาแล้วกล่าวว่า “ผู้อาวุโสทุกท่าน มีโจรต่างถิ่นแฝงตัวเข้ามาในแดนวังมังกร…”
เมื่อเขาเล่าเรื่องทั้งหมดที่ตนพบจนจบ สุดท้ายก็ออกแรงที่นิ้วมือ สมบัติเปลือกหอยระเบิดกระจายดังสนั่น กลายเป็นแสงเจิดจ้าทั่วฟ้า ทะยานไปทั่วทิศ
นี่คือ ‘เปลือกหอยสื่อจิต’ มหัศจรรย์เป็นอย่างยิ่ง สามารถทำให้คนที่ถือเปลือกหอยสื่อจิตเหมือนกันได้ยินเสียงในพริบตา
เมื่อทำทุกอย่างนี้เสร็จสิ้น อ๋าวเทียนคุนสูดหายใจลึก เผยสีหน้าอำมหิต
“ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน นอกจากลู่ป๋อหยาแล้วก็ไม่มีใครบุกเข้ามาในแดนวังมังกรแล้วไม่ตาย ครั้งนี้ข้าอยากดูนักว่าเจ้าโจรถ่อยนี่จะมีฝีมือมากแค่ไหน อย่าทำให้ข้า… ผิดหวังแล้วกัน!”
………………………