เธอแทบอยากที่จะให้หม่าหลันมีชีวิตน่าอนาถอย่างที่ตนแต่งเรื่องขึ้นมา!กระทั่งหวังว่าหล่อนจะมีชีวิตที่น่าอนาถเท่าไหร่ก็ยิ่งดี!
แต่ว่า พนักงานไม่รู้เลยว่าเธอนั้นแค่พูดเรื่อยเปื่อยออกไป
พนักงานคิดว่า ในครอบครัวปกติคงไม่มีใครแช่งครอบครัวของตนเองจากที่ไม่มีเรื่องอะไร ให้เกิดเรื่องเลวร้ายขึ้นมาหรอก?ดังนั้นสิ่งที่นายหญิงใหญ่พูดจะต้องเป็นความจริงแน่ๆ
ดังนั้นหล่อนจึงเอ่ยขึ้นด้วยความสงสารอย่างจับใจว่า:“ถึงว่าคุณอายุมากขนาดนี้แล้วยังต้องมารับจ้างทำงานอีก ที่บ้านเกิดเรื่องเลวร้ายซ้ำแล้วซ้ำอีก คุณก็คงจะไม่ง่ายเลย!”
ขณะที่พูด หล่อนก็เอ่ยปากขึ้นว่า:“นายหญิงใหญ่ พวกเรายังเหลือหมั่นโถวเจ็ดแปดลูก เหลือข้าวประมาณสี่ที่ แล้วก็ยังเหลือกับข้าวก้นหม้ออีก คุณมีกล่องข้าวไหม?เดี๋ยวฉันจะตักให้คุณห่อกลับไป!”
นายหญิงใหญ่เซียวดีใจเป็นอย่างมาก แต่ก็ยังคงกดทับความรู้สึกความดีใจอย่างท่วมท้นไว้ในใจ ใบหน้าที่หดหู่ของเธอพูดขึ้นว่า:“ฉันจะมีกล่องข้าวได้ยังไง…สะใภ้ทั้งสองคนของฉันใกล้จะตายอยู่แล้ว ฉันไม่มีปัญญาซื้อของพวกนั้นหรอก…”
ขณะที่พูด นายหญิงใหญ่หยิบถุงพลาสติกที่แขวนอยู่ข้างๆเคาน์เตอร์ พลางพูดขึ้นว่า:“เอาอย่างนี้ดีกว่าน้องสาว คุณเอาพวกข้าวและกับข้าวที่เหลือใส่ในถุงพลาสติกนี้ก็แล้วกัน!”
พนักงานรับพยักหน้าอย่างรวดเร็วแล้วพูดขึ้นว่า:“ฉันไม่มีปัญหาค่ะ แค่คุณไม่รังเกียจก็พอ!”
นายหญิงใหญ่เซียวพูดขึ้นอย่างลุกลี้ลุกลนว่า:“ไม่รังเกียจ ไม่รังเกียจ!”
ไม่นาน พนักงานก็นำข้าวและอาหารที่เหลือใส่จนเต็มทั้งสี่ถุงใบให้กับนายหญิงใหญ่เซียว
เมื่อนายหญิงใหญ่เซียวรับมาก็รู้สึกเสียใจในภายหลัง ในใจคิดว่า:“กับข้าวและข้าวที่เหลือมากมายขนาดนี้ ก็หนักมากจริง!แล้วเธอจะถือกลับไปยังไง?”
แต่ว่าเมื่อคิดไปคิดว่า:“ไม่ได้ ยังไงก็ต้องถือกลับไปให้ได้ เมื่อมีของกินเหล่านี้แล้ว ก็คงจะประทังชีวิตของคนในครอบครัวได้อย่างน้อยสองวัน เพราะถ้าจะอาศัยแต่เงินที่เธอหามาได้วันนี้แค่ร้อยหยวน มันจะไปพออะไร?”
เมื่อคิดถึงจุดนี้ เธอทำได้เพียงพูดขอบคุณขณะเดียวกันก็กัดฟันถือถุงขนาดใหญ่ทั้งสี่ถุงกลับบ้าน
ระหว่างทางที่เดินกลับไป นายหญิงใหญ่เซียวทำใจไม่ได้ที่จะเรียกรถแท็กซี่
นั่งรถแท็กซี่จากที่นี่กลับบ้านต้องใช้เงินจำนวนไม่น้อย ทำงานทั้งวันอย่างยากลำบากกว่าจะได้เงินมาหนึ่งร้อยหยวน ไม่แน่ว่าหากเรียกรถก็อาจจะสูญเสียเงินไปกว่าครึ่งหนึ่งได้
เมื่อคิดไปคิดมา ก็ตัดใจนั่งรถเมล์
ดังนั้นเธอจึงแวะร้านค้าข้างทางเพื่อซื้อไส้กรอกสองอัน อยากที่จะให้เซียวฉางเฉียนและเซียวไห่หลงได้รับประทานเพื่อบำรุงร่างกายและยังสามารถแลกเงินปลีกเพื่อใช้จ่ายค่ารถเมล์พอดี
บนรถเมล์ คนแก่คนอื่นๆล้วนใช้บัตรผู้สูงอายุในการรูดเพื่อจ่ายค่ารถเมล์ฟรี แต่นายหญิงใหญ่เซียวไม่มี จึงทำได้เพียงหยอดเหรียญหนึ่งหยวนใส่ลงไปในตู้หยอดเหรียญ
ที่จริงเธอรู้ตั้งแต่แรกแล้วว่าคนแก่ที่มีทะเบียนบ้านอยู่ในพื้นที่ เมื่ออายุ 65ปี ขึ้นไปสามารถไปทำบัตรเพื่อโดยสารรถเมล์ฟรีได้ที่สำนักงานกิจการพลเรือน
แต่ว่า ก่อนหน้านี้เวลาที่นายหญิงใหญ่เซียวออกจากบ้าน แต่ไหนแต่ไรก็ไม่เคยนั่งรถเมล์ เพราะจะมีคนขับรถรับส่งส่วนตัว ในตอนนั้นเธอจะใส่ใจกับบัตรโดยสารรถเมล์ฟรีของคนแก่ได้ยังไง?
เธอในเวลานั้น อย่าพูดถึงการใช้บัตรนี้เลย แค่ไปทำบัตรเธอก็รู้สึกขายหน้าแล้ว
แต่ว่าตอนนี้เธอรู้สึกเสียดายเป็นอย่างมาก ในขณะเดียวกันในใจก็กระซิบกับตัวเองว่า:“ดูเหมือนว่าฉันจะต้องรอให้การเฉลิมฉลองตรุษจีนผ่านพ้นไปก่อน หลังจากที่ผู้คนกลับไปทำงานแล้วก็รีบไปทำบัตรผู้สูงอายุ หากเป็นเช่นนั้นอย่างน้อยก็ไม่ต้องจ่ายค่ารถเมล์หากวันหนึ่งสามารถประหยัดเงินได้สองสามหยวน เดือนหนึ่งก็คงจะประหยัดได้ไม่น้อยเลย !”
การที่ต้องถืออาหารหลายถุงใหญ่ ไม่ง่ายเลยที่นายหญิงใหญ่เซียวจะมาถึงยังคฤหาสน์Tomson Riviera
เมื่อเดินเข้าไปบริเวณทางเข้าTomson Riviera ขณะที่เธอกำลังจะรูดเครื่องกั้นประตูหญิงวัยกลางคนที่แต่งตัวฉูดฉาดคลึงจมูกและตะโกนใส่เธอว่า:“ยายแก่นี่มาจากไหนกัน?หิ้วเศษอาหารเดินเข้ามาทางนี้?คุณรู้ไหมว่าที่นี่คือที่ไหน?ที่นี่คือTomson Riviera!คฤหาสน์ของที่นี่ไม่ว่าจะหลังไหน ทั้งชาติคุณก็ไม่มีปัญญาซื้อ!”
นายหญิงใหญ่เซียวเหนื่อยแทบจะกระอักเลือด และก็ไม่รู้เหมือนกันว่าผู้หญิงคนนี้โผล่มาจากไหน มาส่งเสียงเอะอะใส่ตน ทันใดนั้นก็ด่าด้วยความโมโหว่า:“พูดเหี้ยไร!คุณรู้ไหมว่าฉันพักอยู่ที่ไหน?ฉันอาศัยอยู่ที่คฤหาสน์หมายเลขA04!คุณดูตัวคุณสิอย่างกับนกใส่เสื้อผ้าสีฉูดฉาดลายพร้อยอย่างกับนกป่า อยากมากก็คงพักอยู่ได้คฤหาสน์ชั้นเดียวแค่รอบนอก!”
เมื่อหญิงคนนั้นได้ยินประโยคนี้ ทันใดนั้นก็โมโหจนพุ่งเข้ามาแล้วตบนายหญิงใหญ่ไปหนึ่งที พลางด่าขึ้นมา:“ยายแก่นี่ คฤหาสน์ชั้นเดียวของฉันราคากว่า20ล้านหยวน คุณยังจะกล้าหัวเราะเยาะฉันอีกเหรอ?ดูสภาพจนๆของคุณสิ ยังกล้าพูดว่าตัวเองอาศัยอยู่คฤหาสน์ สภาพอย่างคุณก็คู่ควรงั้นเหรอ?!”