ต่งรั่งหลินที่นั่งอยู่บริเวณเบาะด้านข้างคนขับ เมื่อวางสายจากเซียวชูหรันเรียบร้อยก็ เขาก็พูดขึ้นด้วยสีหน้าที่แทบอยากจะร้องไห้ว่า:“รั่งหลิน คุณไปที่บ้านของเย่เฉินคนเดียวเถอะ อย่าพาผมไปเลย แม้แต่นาทีเดียวผมก็ไม่อยากเห็นหน้าเขา”

เมื่อต่งรั่งหลินเห็นสีหน้าที่รู้สึกน้อยใจของขงเต๋อหลง ราวกับว่าตนเป็นสะใภ้เล็กที่ถูกกลั่นแกล้ง ก็อดไม่ได้ที่จะพูดหยอกขึ้นว่า:“พี่ขี้ขลาดไปหน่อยไหมคะ?ฉันจะพาพี่ไปบ้านเย่เฉินเพื่อสวัสดีปีใหม่ ไม่ได้พาไปทะเลาะกับเย่เฉิน คุณจะกลัวอะไร?”

ขงเต๋อหลงถอนหายใจครู่หนึ่ง:“เฮ้อ รั่งหลินคุณไม่รู้อะไร ผมเจอเย่เฉินมาสองครั้ง ทุกครั้งที่เจอเขาไม่มีครั้งไหนที่เป็นเรื่องดีเลย!ครั้งแรกก็ต้องกลืนสร้อยคอจนต้องทำการผ่าตัด ครั้งที่สองเขาก็ให้ผมขี่จักรยานจากเย่นจิงมาจินหลิงอีก หากครั้งนี้ต้องไปเจอเขาอีก แล้วเขาไม่พอใจ เขาคงจะไม่ส่งผมไปแอฟริกาขุดแร่หรอกเหรอ ถ้าเป็นแบบนั้นผมจะทำยังไงล่ะ!”

ต่งงรั่งหลินพูดขึ้นอย่างจริงจังว่า:“พี่คะ พี่คิดมากเกินไปแล้ว ที่จริงแล้วเย่เฉินไม่ใช่คนเลวร้ายอะไร อีกอย่างแต่ไหนแต่ไรมาเขาก็ไม่เคยกลั่นแกล้งคน ก็มีแต่คนอื่นรังแกเขาก่อน เขาถึงจะตอกกลับอย่างโหดเหี้ยม ดังนั้นตอนที่อยู่เบื้องหน้าของเย่เฉิน คุณก็ถ่อมตัวหน่อยก็แล้วกัน ทำตัวไม่ต้องเป็นจุดสนใจมาก เขาไม่หาเรื่องคุณอย่างแน่นอน”

ขงเต๋อหลงยังคงมีความรู้สึกกลัวจนใจเต้นรัวพลางพูดขึ้นว่า:“ก็สามารถพูดได้แบบนั้นแหละ แต่ว่าคนๆนั้นไม่แสดงความรู้สึกทางสีหน้า

ผมจะไปรู้ได้ยังไงล่ะว่าคำพูดคำไหนจะไปล่วงเกินเขาบ้าง…”

ต่งรั่งหลินพูดกำชับขึ้นอีกว่า:“ในเมื่อเป็นแบบนี้ ถ้างั้นคุณก็พูดให้น้อยลงหน่อยก็แล้วกัน เมื่อเจอกับเย่เฉินก็เรียกเขาว่า คุณเย่อย่างอ่อนน้อม ส่วนที่เหลือก็ไม่ต้องพูดอะไร”

ขงเต๋อหลงพูดขึ้นอย่างวินวอนว่า:“ไอหยา คุณไปคนเดี๋ยวก็ได้ไม่ใช่เหรอ?เมื่อถึงเวลานั้นผมจะจอดรถไว้บริเวณด้านหน้าประตู แล้วผมก็จะรอคุณอยู่บนรถ”

ต่งรั่งหลินแกล้งทำเป็นโกรธพลางพูดขึ้นว่า:“เมื่อสักครู่นี้ ฉันได้บอกกับเซียวชูหรันไปแล้วว่าคุณจะไปด้วยกัน เซียวชูหรันจะต้องบอกเย่เฉินไปแล้วแน่ๆ หากถึงเวลานั้นคุณไม่เข้าไป ให้ฉันเข้าไปคนเดียว ไม่แน่เย่เฉินอาจจะคิดว่าคุณมีทัศนคติที่ไม่ดีต่อเขา!คิดว่าคุณไม่ให้เกียรติเขาก็ได้!”

เมื่อครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ต่งรั่งหลินก็พูดขึ้นอีกว่า:“ถ้าหากว่าถึงเวลานั้นแล้วเขาไม่พอใจคุณขึ้นมา จงใจใช้อำนาจที่มีเบียดเบียนผู้อื่น งั้นคุณก็อย่ามาโทษว่าฉันไม่เตือนคุณก็แล้วกัน เพราะถึงยังไงจินหลิงก็เป็นเขตอิทธิพลของเขา ตอนคุณอยู่ที่เย่วจิงคุณยังต่อกรกับเขาไม่ไหวเลย แล้วนับประสาอะไรกับการที่คุณอยู่ในเขตอิทธิพลของเขา?”

เมื่อฟังมาถึงจุดนี้ ขงเต๋อหลงก็หดคอลงพลางพูดขึ้นด้วยการกดน้ำเสียงลงต่ำ:“ก็ได้ ก็ได้ ผมไปก็ได้…”

ต่งรั่งหลินพูดขึ้นอย่างตั้งใจว่า:“ฉันจะบอกคุณให้นะคะว่า เย่เฉินคนๆนี้ที่จริงแล้วคบหาสมาคมง่ายมาก แต่ต้องอยู่ภายใต้เงื่อนไขที่ว่าตอนที่คุณอยู่ต่อหน้าเขาคุณอย่าวางฟอร์ม คุณจะต้องพูดกับเขาดีๆ เขาจะต้องเกรงใจคุณอย่างแน่นอน แต่หากคุณเสแสร้งใส่เขาล่ะก็ แย่แน่ๆ”

ขณะที่พูดต่งรั่งหลินก็พูดขึ้นอีกว่า:“มีอยู่ครั้งหนึ่งฉันกับเย่เฉินและชูหรันไปแช่น้ำพุร้อน มีแมลงตัวหนึ่งทำให้รถของฉันเป็นรอยจากนั้นเขาก็หันมาด่าว่าฉันทีหนึ่ง ท่าทีเย่อหยิ่งไม่น้อยเลย คุณรู้ไหมว่าหลังจากนั้นเกิดอะไรขึ้น?”

ขงเต๋อหลงส่ายศีรษะ:“เป็นยังไงเหรอ?”

ต่งรั่งหลินพูดขึ้นว่า:“เย่เฉินเรียกลูกน้องของเขามา สลักตัวอักษรลงบนหน้าผากของผู้ชายคนนั้น”

ขงเต๋อหลงตกใจจนลิ้นพันกัน:“ใช้มีดสลักตัวอักษรลงบนหน้าผาก?นี่มันไม่โหดเหี้ยมไปหน่อยเหรอ?”

ต่งรั่งหลินพูดขึ้นว่า:“คุณไม่ได้เห็นพฤติกรรมของผู้ชายคนนั้น ถ้าคุณเห็นคุณก็จะเข้าใจเองว่าการที่สลักตัวอักษรลงบนหน้าผากของเขา มันไม่ได้โหดเหี้ยมอะไรเลย”

ขงเต๋อหลงรีบถามขึ้นว่า:“ถ้างั้นคุณพอจะบอกผมได้ไหมว่า เย่เฉินสลักตัวอักษรอะไรไว้บนหน้าผากของเขา?”

ต่งรั่งหลินพูดขึ้นว่า:“ชายคนนั้นชอบด่าว่าคนอื่นว่าจนไม่หยุดปาก ดังนั้นเย่เฉินก็เลยให้คนสลักสองคำนี้ไว้บนหน้าผากของเขา”

“ชิบหาย…”

ทันใดนั้นขงเต๋อหลงก็ตกใจจนเหงื่อไหลเต็มหน้าผาก เขากลับมีความรู้สึกอย่างหนึ่งราวกับว่าคำสองคำนั้นสลักอยู่บนหน้าผากของเขายังไงยังงั้น

เขาอดไม่ได้ที่จะทอดถอนหายใจ พลางพูดขึ้นว่า:“แบบนี้เย่เฉิน…จะต่างอะไรกับปีศาจ?ราวกับสัตว์เดรัจฉานก็ไม่ปาน!”

ต่งรั่งหลินรีบเงยหน้าขึ้น พลางพูดประณามว่า :“ห้ามพูดถึงเย่เฉินลับหลังในเรื่องไม่ดี!”

“อ่า?”ขงเต๋อหลงงุนงงพลางพูดขึ้นอย่างน้อยใจว่า:“รั่งหลิน ผมเป็นพี่ชายของคุณนะ!ทำไมคุณไม่ช่วยคนกันเองแต่กลับไปช่วยคนอื่นล่ะ!”

ต่งรั่งหลินเฮิงด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า:“เย่เฉินเป็นวีรบุรุษผู้ยิ่งใหญ่ในใจของฉัน ถ้าเปรียบเทียบกับคนรวยที่ไร้สาระไปวันๆ ไม่เรียนและก็ไม่มีวิชาอย่างคุณ ฉันก็ต้องไปช่วยเขาสิ!”

สีหน้าของขงเต๋อหลงราวกับจะร้องไห้:“รั่งหลิน คุณคงไม่ได้ชอบเย่เฉินใช่ไหม?”