จักรพรรดิวิญญาณหมื่นเพลิง!
หลังจากตัดสินฐานะของหญิงสาวงดงามที่เหมือนเปลวไฟคนนี้ได้ในพริบตา หลินสวินพลันยิ้มทันที ไม่เกินคาดหมายสักนิด
ในสองเดือนนี้เขาสัมผัสได้ถึงแววตาที่อีกฝ่ายจับจ้องมาจากที่ลับหลายครั้ง แต่ไม่สนใจมาตลอด
ด้วยเขารู้ดีว่าหลังจากเก้าศาสตราจักรพรรดิแห่งคุนหลุนกับก้อนทองแดงของเตามารดาหลอมสมบัติปรากฏ ไม่ช้าก็เร็วอีกฝ่ายต้องปรากฏตัวเองอย่างอดไม่ได้
“หมื่นกาลที่ผ่านมา เจ้าเป็นคนแรกที่รวบรวมเก้าศาสตราจักรพรรดิแห่งคุนหลุนได้ครบถ้วน และเป็นผู้โชคดีคนเดียวที่ได้รับวัตถุต่างหน้าต้นกำเนิดของเตามารดาหลอมสมบัติ”
จักรพรรดิวิญญาณหมื่นเพลิงประเมินหลินสวิน “แน่นอนว่าเจ้ายังเป็นมหาจักรพรรดิที่ก้าวสู่ขอบเขตมกุฎคนหนึ่ง มีมรรควิถีที่ไม่ธรรมดา”
หลินสวินประสานมือ “ผู้อาวุโสชมเกินไปแล้ว”
จักรพรรดิวิญญาณหมื่นเพลิงกล่าวคล้ายขบคิด “เจ้าแน่ใจว่าจะหลอมเก้าศาสตราจักรพรรดิแห่งคุนหลุนทั้งหมดหรือ”
หลินสวินกล่าว “สิ่งนี้ต้องให้ผู้อาวุโสช่วยจึงจะสำเร็จ”
ร่างเดิมของจักรพรรดิวิญญาณหมื่นเพลิงก็คือเพลิงมรรคฟ้าประทานของเตามารดาหลอมสมบัติ กล่าวได้ว่าตอนนั้นเป็นนางนั่นเองที่ช่วยเหลือ จึงทำให้เตามารดาหลอมสมบัติหลอมเก้าศาสตราจักรพรรดิแห่งคุนหลุนออกมาได้!
ส่วนหลินสวินก็รู้ดีว่าอาศัยเพียงอานุภาพของเพลิงมรรคอัศจรรย์ คิดจะหลอมวัตถุเทพอย่างเก้าศาสตราจักรพรรดิแห่งคุนหลุน เกรงว่าคงไม่ใช่เรื่องง่ายแน่นอน
“ฮึ เจ้าวางแผนอยู่ก่อนแล้วดังคาด” จักรพรรดิวิญญาณหมื่นเพลิงเหลือบมองหลินสวินเล็กน้อย “แต่เจ้าก็กล้ามั่นใจว่าข้าจะช่วยหรือ”
หลินสวินคารวะอย่างจริงจังพลางกล่าว “ขอผู้อาวุโสช่วยให้สมปรารถนา”
“เช่นนั้นเจ้าบอกข้าได้หรือไม่ว่าคิดหลอมศาสตราจักรพรรดิบริสุทธิ์แบบใด” จักรพรรดิวิญญาณหมื่นเพลิงถาม
หลินสวินคิดดูครู่หนึ่งแล้วกล่าว “รอเมื่อข้าคนแซ่หลินหลอมสำเร็จ ผู้อาวุโสย่อมได้รู้แน่ หากว่าหลอมไม่สำเร็จ พูดไปก็เปล่าประโยชน์”
จักรพรรดิวิญญาณหมื่นเพลิงเลิกคิ้ว แต่ไม่ซักไซ้ไล่เลียงอีก
นางเงียบไปครู่หนึ่งจึงกล่าว “ในเมื่อเจ้าได้รับวัตถุต่างหน้าต้นกำเนิดของเตามารดาหลอมสมบัติมา ข้าย่อมไม่ปฏิเสธที่จะช่วยเจ้า เพียงแต่เจ้าแน่ใจว่าจะหลอมเก้าศาสตราจักรพรรดิแห่งคุนหลุนจริงหรือ”
เก้าศาสตราจักรพรรดิแห่งคุนหลุน แต่ละชิ้นต่างมีความอัศจรรย์ของตน ล้วนเรียกได้ว่าเป็นยอดสมบัติมรรคจักรพรรดิ เช่นดาบไร้วิชาที่มองข้ามวิชามรรคทั้งหมด เกราะไร้บกพร่องที่การป้องกันเรียกได้ว่าแข็งแกร่ง โคมไร้มลทินที่พาวิญญาณผู้กล้าข้ามเคราะห์หาหนทางกลับ จานไร้ตัวตนที่อนุมานนัยเร้นลับของมหามรรค…
พูดอย่างไม่เกินจริง ถ้าได้ไปสักชิ้นย่อมทำให้ระดับจักรพรรดิคนหนึ่งได้ประโยชน์อเนกอนันต์
แต่ตอนนี้หลินสวินกลับคิดจะหลอมเก้าศาสตราจักรพรรดิแห่งคุนหลุนเข้าด้วยกัน หากเรื่องนี้แพร่งพรายออกไปต้องทำให้คนเป็นบ้าจนคลุ้มคลั่งแน่
หลินสวินพูดโดยไม่ต้องคิด “ความอัศจรรย์ของพวกมันจะหลอมรวมเข้าไปในศาสตราจักรพรรดิบริสุทธิ์นั้นของข้าทั้งหมด”
จักรพรรดิวิญญาณหมื่นเพลิงขมวดคิ้วพลางกล่าว “ความอยากอาหารไม่น้อยทีเดียว ข้าอยากดูนักว่าเจ้าจะหลอมสมบัติแบบไหนออกมา”
นางพูดพลางชี้เพลิงมรรคอัศจรรย์นั้น “เพลิงนี้เจ้าได้มาจากไหน”
หลินสวินเล่าเหตุการณ์ต่างๆ ที่เจอใน ‘โลกใต้สุสาน’ ของแดนมกุฎเมื่อปีนั้นออกมาโดยไม่ปิดบัง
“ที่แท้ก็เป็นสิ่งที่พวกเขาเหลือไว้เมื่อตอนนั้น” จักรพรรดิวิญญาณหมื่นเพลิงคล้ายนึกอะไรขึ้นมา ทอดถอนใจคราหนึ่ง “มิน่าเล่า…”
พวกเขาหมายถึงใคร
เพียงชั่วขณะหลินสวินก็นึกถึงบุคคลในตำนานสมัยต้นดึกดำบรรพ์อย่างจักรพรรดิกระบี่ไท่เสวียน จักรพรรดิสงครามอู๋ยาง จอมมุนีซิงเจียขึ้นมา
ด้วยเดิมทีแดนมกุฎก็เป็นสิ่งที่วิวัฒน์จาก ‘ต้นกำเนิดของโลก’ ซึ่งพวกเขาได้มาจากโลกมืดเมื่อปีนั้น!
เพียงแต่ใครทิ้งเพลิงมรรคอัศจรรย์ไว้กันแน่ หลินสวินกลับไม่รู้แน่ชัด
จักรพรรดิวิญญาณหมื่นเพลิงกล่าว “ความอัศจรรย์ของเพลิงนี้อยู่เหนือกว่าข้ามาก น่าเสียดายที่ขาดวิญญาณเพลิงอย่างข้า บางทีรอเจ้ามีโอกาสมุ่งหน้าไปเยือนแหล่งสถานอัศจรรย์นั้นก็อาจจะได้เจอร่างวิญญาณที่หายไปของเพลิงนี้”
หลินสวินใจสะท้าน “ผู้อาวุโสเคยไปแหล่งสถานอัศจรรย์หรือ”
จักรพรรดิวิญญาณหมื่นเพลิงส่ายหัว “ข้าเคยได้ยินพลังเจตจำนงของเตามารดาหลอมสมบัติพูดถึงเรื่องนี้ ส่วนแหล่งสถานอัศจรรย์อยู่ที่ไหน ข้าเองก็ไม่รู้”
พูดถึงตรงนี้จักรพรรดิวิญญาณหมื่นเพลิงฉุกคิดเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ “ตอนนี้เจ้าน่าจะรู้ชัดแล้วว่า บรรพชนหงส์เซียนเก็บตัวเงียบอยู่ใต้แดนลับแห่งนี้ จากที่ข้าสันนิษฐาน อีกไม่ถึงหนึ่งเดือนบรรพชนหงส์เซียนก็จะตื่นจากการนิพพานแล้ว”
หลินสวินอึ้งไปก่อนจะกล่าว “เชิญผู้อาวุโสโปรดพูดมาตามตรง”
จักรพรรดิวิญญาณหมื่นเพลิงกล่าว “ข้าหวังว่าเมื่อบรรพชนหงส์เซียนตื่น หากมีอันตรายอะไรเกิดขึ้น เจ้าจะลงมือช่วยเหลือ”
หลินสวินพยักหน้า “นี่เป็นเรื่องสมควรอยู่แล้ว”
จักรพรรดิวิญญาณหมื่นเพลิงมองหลินสวินอย่างลุ่มลึกวูบหนึ่งพลางกล่าว “เริ่มหลอมอาวุธเถอะ”
ฟุ่บ!
นางยื่นมือไปคว้า ก้อนทองแดงของเตามารดาหลอมสมบัติและเก้าศาสตราจักรพรรดิแห่งคุนหลุนนั้นก็ตกสู่มือนางทั้งหมดเหมือนลำแสงกลุ่มหนึ่ง
ตูม!
พลันเห็นว่ากลางฝ่ามือนางวาบเพลิงเทพเจิดจรัสหาใดเปรียบ กลายเป็นเปลวเพลิงที่เหมือนน้ำวน หลอมเก้าศาสตราจักรพรรดิแห่งคุนหลุนและก้อนทองแดงทั้งหมดไว้ภายใน
หลินสวินก็ไม่ล่าช้าอีก ถอนหายใจยาว แววตาผ่องแผ้ว ในใจสงบนิ่ง ไม่มีความคิดฟุ้งซ่านใดอีก
ที่มีอยู่คือความต้องการหลอมอาวุธที่มาจากใจ ทั้งเกิดจากสัญชาตญาณอย่างหนึ่ง
‘ไป!’
หลินสวินขับเคลื่อนความคิด ท่ามกลางเสียงดังเคร้งคร้าง ศาสตราจักรพรรดิหลายสิบชิ้นพุ่งทะยานเข้าไปในเตาหลอมที่วิวัฒน์จากเพลิงมรรคอัศจรรย์นั้นทั้งหมด
จากนั้นหลินสวินก็จดจ่อกับการควบคุมเพลิงมรรคอัศจรรย์ให้ลุกโชนอย่างต่อเนื่อง ทำการหลอมศาสตราจักรพรรดิพวกนี้
เขาช่ำชองเป็นอย่างยิ่ง เคลื่อนไหวลื่นไหลราวสายน้ำหลาก การฝึกมือในช่วงเกือบสองเดือนทำให้เขาสั่งสมประสบการณ์มากมายไว้นานแล้ว
เพียงแต่หลินสวินในตอนนี้ยังดูระวังหาใดเปรียบ
ด้วยศาสตราจักรพรรดิแต่ละอย่างล้วนประทับกระบวนลายมรรคที่แตกต่างกัน มีอานุภาพอัศจรรย์ที่ไม่เหมือนกัน
ยามคิดหลอมพวกมันทั้งหมด ยังต้องคงความอัศจรรย์ของพวกมันไว้อย่างสมบูรณ์ด้วย นี่คือการทดสอบฝีมือของนักหลอมอาวุธอย่างไร้ใดเปรียบ
กล่าวสรุปโดยง่ายคือหลอมศาสตราจักรพรรดิใหม่นั้นง่ายดาย แต่จะหลอมศาสตราจักรพรรดิเป็นเจตวัตถุใหม่อีกครั้ง ทั้งยังต้องคงความอัศจรรย์และอานุภาพของมันไว้นั้นยากนัก
สำหรับหลินสวินก็เรียกได้ว่าเป็นความท้าทายอย่างมาก
ยังดีที่อานุภาพของเพลิงมรรคอัศจรรย์ไม่ทำให้หลินสวินผิดหวัง เมื่อเขาเริ่มควบคุม ศาสตราจักรพรรดิหลายสิบชิ้นนั้นค่อยๆ มีสัญญาณว่าจะถูกหลอมทั้งหมด…
ตามการสันนิษฐานของหลินสวิน อย่างน้อยกระบวนการนี้ก็ต้องต่อเนื่องไปอีกประมาณสิบวัน
‘ในช่วงเวลานี้รบกวนพวกเจ้าคุ้มครองให้ด้วย’
หลินสวินแบ่งความคิดเสี้ยวหนึ่งไปบอกซี ต้าหวง ซย่าจื้อที่ซ่อนอยู่ในเจดีย์ไร้สิ้นสุด
‘ได้’
พวกซีต่างก็รู้ดีว่าตอนนี้หลินสวินหลอมศาสตราจักรพรรดิบริสุทธิ์อยู่ ย่อมไม่ยอมให้ถูกรบกวนแน่
หลินสวินพยักหน้า ดื่มด่ำกับการหลอมอาวุธอย่างสมบูรณ์
จักรพรรดิวิญญาณหมื่นเพลิงก็สังเกตเห็นพวกซี ต้าหวง ซย่าจื้อแต่ไกล แต่ไม่พูดอะไรมากความ
เพียงชั่วขณะบรรยากาศในแดนลับนี้ก็เปลี่ยนเป็นเงียบสงบและเคร่งขรึมไม่น้อย
สามวันต่อมา
ภายใต้คำสั่งของหวงชางเทียน เลี่ยนจิ่วเซียวและเหล่าคนใหญ่คนโตแห่งเผ่าจักรพรรดิช่างเทพลงมือร่วมกัน ปิดผนึกเมืองจักรพรรดิหมื่นเพลิงทั้งเมืองอย่างสมบูรณ์ จากนั้นก็เปิดกระบวนค่ายกลใหญ่พิทักษ์เมือง
มองลงมาจากเวิ้งฟ้าก็เห็นว่าบนทะเลเพลิงกว้างใหญ่ไพศาล เมืองจักรพรรดิหมื่นเพลิงตั้งตระหง่านทรงพลัง เมื่อเปิดใช้พลังกระบวนผนึก แสงศักดิ์สิทธิ์พลันทะลวงขึ้นเหนือเมฆทันที ส่องสะท้อนผืนฟ้า ยิ่งใหญ่เกรียงไกรนัก
ส่วนในเมืองยามนี้ท้องถนนว่างเปล่าเปลี่ยวเหงา
นอกจากผู้แข็งแกร่งเผ่าหงส์เซียน ผู้แข็งแกร่งเผ่าจักรพรรดิช่างเทพ รวมถึงกำลังพลอื่นที่อยู่ใต้อาณัติของเผ่าหงส์เซียนซึ่งประจำการในเมืองแล้ว แทบจะไม่เห็นเงาร่างอื่นอีก
และนับจากวันนี้ไปบรรยากาศเงียบเหงากดดันก็ปกคลุมทั่วเมืองเหมือนกระแสน้ำ
เจ็ดวันต่อมา
ในเทือกเขาแห่งหนึ่งที่อยู่ห่างเมืองจักรพรรดิหมื่นเพลิงไปหลายหมื่นลี้
ครืน!
ห้วงอากาศสั่นสะเทือน เงาร่างดุจกระแสน้ำปรากฏตัวกลางอากาศกะทันหัน เหมือนกองทัพขุนพลสวรรค์มาเยือนโลก ท่วมท้นด้วยกลิ่นอายสะท้านฟ้าดิน
เหตุการณ์นี้คงอยู่ต่อเนื่องเป็นเวลาหนึ่งเค่อเต็มๆ
เมื่อห้วงอากาศที่สั่นสะเทือนกลับสู่ความสงบ กลางเทือกเขาแถบนี้ก็มีกองทัพผู้ฝึกปราณมากถึงแปดแสนคนรวมตัวกันแล้ว!
“ไม่เลว ไม่ถือว่ามาช้าเกินไป”
บรรพจารย์จักรพรรดิวั่นหลิวและบรรพจารย์จักรพรรดิเฉียนอิ่นที่รออยู่ตรงนั้นนานแล้วต่างพยักหน้า
ทัพใหญ่เกรียงไกรขบวนนี้นำทัพโดยเผ่าเสือขาวและเต่าดำ รวมตัวจากกลุ่มผู้แข็งแกร่งแต่ละเผ่าที่อยู่ใต้อาณัติของสองเผ่านี้
แค่ระดับจักรพรรดิที่ออกเคลื่อนพล เมื่อนำมารวมกันแล้วยังมีถึงห้าสิบคน!
นอกจากนี้ผู้แข็งแกร่งระดับอื่นก็ล้วนเป็นยอดขุนพลที่ได้รับการคัดเลือกมาอย่างดี ผ่านการเข่นฆ่าและต่อสู้มามากมาย
แน่นอนว่าในใจของบรรพจารย์จักรพรรดิวั่นหลิวและบรรพจารย์จักรพรรดิเฉียนอิ่น ระดับจักรพรรดิต่างหากที่เป็นกำลังหลักในการต่อสู้อย่างแท้จริง ส่วนพวกที่อยู่ต่ำกว่าระดับจักรพรรดินั้น ก็เป็นแค่คนที่คอยทำงานเบ็ดเตล็ด
ยกตัวอย่างว่าหลังจากยึดเมืองจักรพรรดิหมื่นเพลิง บดขยี้เผ่าหงส์เซียนได้แล้ว ก็ต้องพึ่งพาพวกที่ต่ำกว่าระดับจักรพรรดิพวกนั้นไปจัดการสถานการณ์ จัดระเบียบและเก็บกวาดสมรภูมิ ควบคุมอาณาเขตเป็นต้น
ด้วยเหตุนี้แม้จะเรียกว่าเป็นทัพใหญ่ของผู้ฝึกปราณแปดแสนคน แต่ผู้เข้าร่วมในศึกที่ตัดสินผลแพ้ชนะได้อย่างแท้จริงก็มีแค่ระดับจักรพรรดิพวกนั้น
ระดับจักรพรรดิห้าสิบคน จำนวนนี้เรียกได้ว่าสะเทือนใต้หล้าแล้ว
แต่หากคิดจะกำจัดเผ่าวิญญาณฟ้าประทานที่อยู่ยงคงนานเผ่าหนึ่งให้สิ้นซาก ย่อมเห็นได้ชัดว่ายังไม่พอ
ความจริงแล้วทัพใหญ่ขบวนนี้ก็เป็นแค่ทัพหน้าเท่านั้น
ในแผนการของเผ่าเสือขาวและเต่าดำ วันที่บุคคลสำคัญแห่งตระกูลลั่วอีกฟากฝั่งคนนั้นมาถึงต่างหากที่เป็นเวลาออกเคลื่อนพลทั้งหมด!
“ไปเถอะ ถึงเวลายกทัพประชิดเมืองแล้ว”
บรรพจารย์จักรพรรดิวั่นหลิวสะบัดแขนเสื้อคราหนึ่ง นำทางไปเบื้องหน้า
วันนี้ทัพใหญ่แปดแสนมาถึงนอกเมืองจักรพรรดิหมื่นเพลิง ข้าศึกประชิดเมือง ปิดล้อมเมืองนี้ราวกับกระแสน้ำ!
สิ่งมีชีวิตในใต้หล้าที่จับตามองการเคลื่อนไหวของเมืองจักรพรรดิหมื่นเพลิงมาตลอด เห็นดังนี้ก็หนาวเยือกในใจอย่างอดไม่ได้ สุดท้ายก็กล้าแน่ใจว่าข่าวที่แพร่กระจายไปทั่วหล้าก่อนหน้านี้นั้นไม่ผิด เผ่าเสือขาวและเต่าดำมากำราบเผ่าหงส์เซียนแล้วจริงๆ
ทุกคนต่างอดสงสัยไม่ได้ เผ่าหงส์เซียนจะต้านการโจมตีนี้ได้หรือไม่
แม้ว่าทัพใหญ่แปดแสนจะมาถึง แต่ไม่ได้เปิดฉากโจมตีอย่างแท้จริง กลับเพียงตั้งค่าย คล้ายว่ารออะไรบางอย่าง
แต่ต่อให้เป็นเช่นนั้นก็ยังทำให้บรรยากาศของเมืองจักรพรรดิหมื่นเพลิงกดดันหาใดเปรียบ ผู้แข็งแกร่งของเผ่าหงส์เซียนและเผ่าจักรพรรดิช่างเทพต่างหนักใจ
มาถึงตอนนี้แล้ว พวกเขามีหรือจะไม่เข้าใจ เผ่าเสือขาวและเต่าดำกล้าจัดกระบวนรบใหญ่เช่นนี้มา มหันตภัยครั้งนี้ย่อมไม่มีทางสงบลงโดยง่ายแน่!
“หลังผ่านศึกใหญ่ครั้งนี้ ขอแค่เผ่าหงส์เซียนของข้าอยู่รอดต่อไปได้ วันหน้า… ข้าจะสนองคืนเป็นสิบเท่าร้อยเท่า!”
หวงชางเทียนยืนอยู่บนป้อมกำแพงสูงตระหง่าน มองทัพใหญ่ของเผ่าเสือขาวและเต่าดำที่อยู่ห่างออกไปนอกเมือง ในแววตาเต็มไปด้วยความเยียบเย็น
เหล่าเฒ่าชราของเผ่าหงส์เซียนที่อยู่ใกล้เขาล้วนสีหน้าขึงขังเจือไอสังหาร
แดนหงส์เซียนนี้เป็นถึงอาณาเขตของเผ่าพวกเขา ปัจจุบันกลับถูกเผ่าเสือขาวและเต่าดำมาโจมตี นี่คือการไม่เห็นพวกเขาอยู่ในสายตาชัดๆ!
“ฝั่งใต้เท้าบรรพชนยังไม่มีสัญญาณว่าจะตื่นขึ้นหรือ” หวงชางเทียนพลันเอ่ยถาม
ทุกคนมองหน้ากัน ล้วนส่ายหัวไม่หยุด
หวงชางเทียนขมวดคิ้ว นัยน์ตาฉายแววกังวลอย่างยากสังเกตเห็นวูบหนึ่ง
……………………