สิบวันผ่านไป
แดนลับ เมื่อเงาแสงระลอกหนึ่งหมุนวน วงแสงเหลวหนืดขนาดเท่ากำปั้นหลากสีหลายสิบวงพลิ้วไหวเคลื่อนคล้อยอยู่ในเพลิงมรรคอัศจรรย์ สาดละอองแสงสลัวรางนับหมื่นแสนลงมา
ตอนนี้หลินสวินจึงยกภูเขาออกจากอก
หลอมสำเร็จแล้ว ศาสตราจักรพรรดิที่อัศจรรย์และแตกต่างกันออกไปหลายสิบชิ้น ถูกหลอมละลายเป็นเจตวัตถุทั้งหมดแล้ว!
เมื่อเงยหน้ามองจักรพรรดิวิญญาณหมื่นเพลิงที่อยู่ห่างไป ฝ่ายหลังสะบัดแขนเสื้อคราหนึ่ง วงแสงนับสิบทะยานออกมา “รอเจ้ามานานแล้ว”
“ขอบคุณผู้อาวุโสยิ่ง” หลินสวินคึกคักขึ้นมา เก็บเจตวัตถุไปทั้งหมด
หลังจากนั้นหลินสวินจึงนำโอสถเทพมากมายออกมา นั่งขัดสมาธิกับพื้น ฟื้นฟูพลังกายที่ใช้ไปจนเกือบแห้งขอด
กระทั่งวันต่อมา
หลินสวินหยัดร่างขึ้น สัมผัสได้ถึงพลังที่พลุ่งพล่านท่วมท้นรอบกาย ในที่สุดก็ไม่ลังเลอีก เริ่มหลอมอาวุธอย่างจริงจัง
ตูม!
เพลิงมรรคอัศจรรย์วิวัฒน์เป็นเตาหลอม ส่งเสียงกึกก้องไม่ขาดสาย ปลดปล่อยกลิ่นอายราวกับจะเผาฟ้าผลาญดินออกมา
นัยน์ตาดำของหลินสวินดุจอสนี ทั่วร่างแผ่ท่วงทำนองศักดิ์สิทธิ์ที่ดูสุขุมและโดดเด่น เขาสะบัดแขนเสื้อคราหนึ่ง เจตวัตถุมากมายที่หลอมไว้เสร็จสรรพพุ่งโฉบออกมา หลอมรวมเข้าไปในเพลิงมรรคอัศจรรย์
“ทะยาน!”
เบื้องหลังเงาร่างหลินสวินปรากฏโลกเงาแสงแห่งหนึ่ง กว้างใหญ่ไพศาล เจิดจรัสไร้ขอบเขต มีมหามรรคนานัปการสำแดงอยู่ภายใน สะท้อนภาพสุริยันจันทราดารา หลักการฟ้าดิน สรรพสิ่งใต้หล้า สี่ฤดูผลัดเปลี่ยน…
นี่คือการเผยมรรควิถีทั้งตัวเขาออกมาถึงขีดสุด
เมื่อเห็นภาพนี้ ไม่ว่าจะเป็นจักรพรรดิวิญญาณหมื่นเพลิงหรือซีกับต้าหวงที่อยู่ห่างไปต่างล้วนใจสะท้าน ถูกทำให้ตกตะลึงแล้ว
นี่เป็นครั้งแรกที่พวกเขาเห็นมรรควิถีที่แท้จริงของหลินสวิน หากไม่เห็นกับตาตัวเอง พวกเขาคงแทบไม่กล้าเชื่อ ว่านี่เป็นรากฐานมหามรรคที่มหาจักรพรรดิหนุ่มระดับจักรพรรดิขั้นสามคนหนึ่งสามารถครอบครองได้!
แข็งแกร่งเกินไปแล้ว!
ล้มล้างความเข้าใจของพวกเขาอย่างสิ้นเชิง
มีเพียงซย่าจื้อกับลั่วเจียที่นิ่งสนิทไม่มีปฏิกิริยา ฝ่ายแรกเพราะไม่เคยใส่ใจเรื่องพวกนี้ ฝ่ายหลังเพราะมีข้อจำกัดด้านพลังปราณ ทำให้ไม่อาจเข้าใจว่ามรรควิถีเช่นนี้เย้ยฟ้าและน่าหวาดกลัวเพียงใดอย่างสิ้นเชิง
ตูม!
พลันเห็นมรรควิถีทั้งตัวหลินสวินส่งเสียงกัมปนาท วิวัฒน์เป็นกระบวนลายมรรคมากมายกะทันหัน ส่วนในกระบวนก็มีวิชามรรคนานัปการวิวัฒน์เป็นสัญลักษณ์ลายมรรคประสานเข้าหากัน เผยความอัศจรรย์ออกมาโดยสมบูรณ์
ใช้มรรคแห่งตนเป็นกระบวน ใช้วิชาแห่งตนเป็นลวดลาย!
‘ที่แท้ความเชี่ยวชาญด้านลายมรรคของเจ้าหนุ่มนี่… บรรลุถึงขั้นลุ่มลึกเกินคาดเดา ช่วงชิงศุภโชคทั้งปวงแล้ว…’
แววตาจักรพรรดิวิญญาณหมื่นเพลิงไหวเคลื่อน ร่างเดิมของนางคือเพลิงมรรคฟ้าประทาน ติดตามข้างกายเตามารดาหลอมสมบัติมานานปี มีหรือจะไม่รู้ถึงความอัศจรรย์ของลายมรรค
ด้วยเข้าใจนางจึงรู้สึกตะลึงตั้งแต่พริบตาแรกทันที
ซีกับต้าหวงล้วนกำลังจ้องมอง ความคิดในใจแทบเหมือนกับจักรพรรดิวิญญาณหมื่นเพลิงทุกประการ
ลายมรรค ลวดลายแห่งมหามรรค ปรากฏอยู่ในสรรพสิ่ง อธิบายถึงนัยเร้นลับที่เป็นแก่นสำคัญที่สุดของมหามรรค
ตั้งแต่เส้นใบบนต้นหญ้าใบไม้ที่เล็กจ้อย จนถึงหลักการฟ้าดินอันยิ่งใหญ่ของโลกแห่งหนึ่ง ทั้งหมดล้วนปรากฏร่องรอยมหามรรคดั้งเดิม
ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน ก็มีแค่หลักการเดียวที่ไม่อาจหักล้าง…
ผู้มีใจเชื่อมโยงลายมรรค สามารถครองนัยเร้นลับทั่วหล้า!
เห็นชัดว่าความเชี่ยวชาญด้านลายมรรคของหลินสวิน เหนือกว่าปฐมาจารย์สลักลายมรรคในความหมายของโลกปุถุชนมาก บรรลุถึงขั้นปาฏิหาริย์แล้ว!
“เสี่ยวอู่!” หลินสวินเอ่ยปากทันใด
ฟุ่บ!
วิญญาณค่ายกลที่เหมือนเด็กชายพุ่งออกมา แค่กวาดสายตามองก็เข้าใจทันที ลงมือโดยไม่ลังเล เริ่มควบคุมและสำแดงกระบวนค่ายกลลายมรรคที่หลินสวินเพิ่งวางออกมา นำไปหลอมรวมกับเจตวัตถุในเพลิงมรรคอัศจรรย์นั้นทีละอัน
ไม่อาจไม่พูดถึง เสี่ยวอู่สมเป็นวิญญาณค่ายกลของกระบวนค่ายกลสังหารอันดับห้าทั่วหล้า สามารถควบคุมกระบวนค่ายกลลายมรรคนานัปการได้แต่กำเนิด ยามนี้มีเขาคอยควบคุมกระบวนค่ายกล ย่อมไม่เกิดข้อผิดพลาดใดแม้แต่เสี้ยวเดียวแน่
เห็นดังนี้หลินสวินจึงวางใจ เริ่มจดจ่อกับการหลอมโครงอาวุธ!
เวลาเคลื่อนคล้อย ผ่านไปอีกครึ่งเดือนโดยไม่รู้ตัว
“หืม?” วันนี้จักรพรรดิวิญญาณหมื่นเพลิงเหมือนรู้สึกได้ถึงอะไรบางอย่าง มองหลินสวินที่ยังจดจ่อกับการหลอมอาวุธซึ่งอยู่ห่างไปเล็กน้อย สุดท้ายก็ไม่ได้ไปรบกวน
นางหันหลังแล้วหายไปในลานมรรค เข้าไปในส่วนลึกสุดของโลกทะเลเพลิงที่ตั้งอยู่ใต้แดนลับนั้น
กลางหินหนืดที่เดือดพล่าน ไข่สีแดงเพลิงเกลี้ยงเกลาใบหนึ่งวางอยู่นิ่งๆ พื้นผิวมีเพลิงหงส์สีม่วงหลากสายลุกโชน ปลดปล่อยกลิ่นอายที่เหมือนจังหวะชีวิตออกมา
“ในที่สุดก็จะตื่นแล้วหรือ” เห็นดังนี้ในใจจักรพรรดิวิญญาณหมื่นเพลิงพลันตื่นเต้นขึ้นมาอย่างยากจะได้เห็น
หลายปีมานี้นางเฝ้าดูแลอยู่ที่นี่โดยตลอด ตั้งตารอให้บรรพชนหงส์เซียนที่เหมือนตำนานคนนั้นตื่นจากการนิพพานแล้วออกจากไข่ใบนี้นานแล้ว
“วางใจเถอะ มีข้าอยู่ ย่อมไม่ยอมให้ผู้ใดรบกวนหนทางแปรนิพพานของเจ้าแน่” จักรพรรดิวิญญาณหมื่นเพลิงพึมพำ
…
ขณะเดียวกันในแดนลับ
เลี่ยนจิ่วเซียวสีหน้าจริงจัง รีบมาเหมือนมีเรื่องด่วน
แต่เมื่อเห็นหลินสวินจดจ่อกับการหลอมอาวุธก็ลังเลขึ้นมาทันที ขณะเดียวกันเมื่อเห็นเงาร่างของพวกซี ต้าหวง ซย่าจื้อ เขาก็สงสัยอยู่บ้าง
“พวกเจ้าคือ…” เลี่ยนจิ่วเซียวกล่าว
ต้าหวงยกอุ้งเท้าแล้วชี้ไปทางหลินสวิน สีหน้าเจือความสงวนท่าทีพลางกระแอมกล่าว “พวกเรา… เป็นผู้อาวุโสของเขา”
สีหน้าของซีเรียบเฉย ไม่ได้พูดอะไร
ซย่าจื้อกลับเหลือบมองต้าหวงเล็กน้อยแล้วกล่าว “เจ้านายของเจ้าเป็นศิษย์พี่ของหลินสวิน คำนวณดูแล้วเจ้าเป็นผู้น้อยของหลินสวินต่างหาก”
ต้าหวงกลอกตาใส่ คร้านจะถกเถียง ชำเลืองมองเลี่ยนจิ่วเซียวพลางกล่าว “เจ้ามาที่นี่ด้วยมีเรื่องด่วนหรือ”
เลี่ยนจิ่วเซียวลังเลเล็กน้อย แต่ยังกล่าวอย่างรวดเร็ว “เมื่อไม่นานมานี้เผ่าเสือขาวและเต่าดำเปิดฉากโจมตี หัวหน้าเผ่าหงส์เซียนให้ข้ามาแจ้งสหายยุทธ์หลินว่าจากนี้ไปต้องระวังแล้ว”
“แต่ก็ขอให้สหายยุทธ์หลินวางใจ ยังไม่สู้ถึงเวลาสุดท้าย ที่แห่งนี้ไม่มีทางเกิดเรื่องอันตรายอะไรแน่”
ต้าหวงพยักหน้าพลางกล่าว “เข้าใจแล้ว เจ้ากลับไปบอกหวงชางเทียนนั่นว่ามีพวกเราอยู่ ย่อมไม่มีทางให้เจ้าหนูนี่เกิดเรื่องไม่คาดฝันอะไรแน่”
แต่เวลานี้เองหลินสวินที่กำลังหลอมอาวุธพลันเอ่ยปาก “ต้าหวง เจ้ากับซีออกไปช่วยข้างนอกพร้อมซย่าจื้อ ที่นี่ไม่จำเป็นต้องให้พวกเจ้าคอยดูแล”
ต้าหวงประหลาดใจ ซีก็อึ้งไป ซย่าจื้อก็ขมวดคิ้วเช่นเดียวกัน
“เรื่องนี้ยังไม่จำเป็น ตอนนี้การต่อสู้เพิ่งจะเริ่ม” เลี่ยนจิ่วเซียวกล่าว เขาไม่เชื่อว่าอาศัยเพียงผู้หญิงสองคนกับหมาหนึ่งตัวจะเปลี่ยนแปลงอะไรได้
“ไปเถอะ”
กลับเห็นซีพูดพลางเดินตรงออกจากแดนลับไป หลินสวินในตอนนี้อยู่ในช่วงหน้าสิ่วหน้าขวานที่กำลังหลอมอาวุธ ไม่อาจแบ่งสมาธิได้อีก
ซย่าจื้อตามหลังไปติดๆ เห็นชัดว่านางทำตามคำสั่งของหลินสวินอย่างเคร่งครัด
มีเพียงต้าหวงที่ไม่วายเกิดโทสะและเอ่ยพึมพำ “เขาบอกว่าไม่ต้องช่วยแล้วยังจะไปอีก นี่ไม่ใช่การหาเรื่องใส่ตัวหรืออย่างไร… อ้อ ประเดี๋ยวก่อน เผ่าเสือขาวและเผ่าเต่าดำรึ…”
ดวงตาต้าหวงพลันวาววาบ คล้ายนึกภาพน่าเย้ายวนอะไรออก น้ำลายไหลลงมาเป็นทาง
ครู่ต่อมามันก็ไล่ตามไปอย่างรีบร้อน
“นี่…” เลี่ยนจิ่วเซียวอึ้งงันและรีบร้อนจากไป
“เสี่ยวอู่ อย่าวอกแวก!”
ขณะเดียวกันหลินสวินตวาดเตือนเบาๆ
ใช้เวลาสิบวันหลอมเจตวัตถุ ปัจจุบันแค่วางกระบวนกับหลอมโครงอาวุธก็ใช้เวลาไปครึ่งเดือน
ตอนนี้เป็นช่วงเวลาสำคัญของการหลอมอาวุธแล้ว ไม่อาจพลาดพลั้งแม้เพียงเสี้ยว
ต่อให้รู้ดีว่าโลกภายนอกมีไฟศึกไม่เว้นวัน การต่อสู้ปะทุขึ้นแล้ว แต่หลินสวินก็ได้แต่สลัดความคิดฟุ้งซ่าน จดจ่อกับการหลอมอาวุธ
วิญญาณค่ายกลเสี่ยวอู่ก็รู้ถึงจุดนี้ ไม่กล้าแบ่งสมาธิอีก จดจ่อกับการควบคุมกระบวนค่ายกลลายมรรค
ครืน…
เพลิงมรรคอัศจรรย์ส่งเสียงกัมปนาทราวอสนี ฝนเพลิงไร้สิ้นสุดแผ่พลิ้วออกมา มองเห็นได้รางๆ ว่าโครงศาสตราจักรพรรดิที่พร่ามัวชิ้นหนึ่งกำลังก่อตัวเป็นรูปร่างในเปลวเพลิง สัญลักษณ์ลายมรรคนับไม่ถ้วนส่องประกาย ขับเน้นให้ที่นั่นดูลึกลับและเจิดจรัส
นี่เป็นการหลอมที่รู้สึกเกินกำลังที่สุดตั้งแต่หลินสวินหลอมอาวุธมาแน่นอน ปลายจมูกของเขามีเหงื่อซึมออกมา สีหน้าก็ซีดเผือดเล็กน้อย
การใช้พลังกายคือด้านหนึ่ง การผลาญจิตวิญญาณกลับมากยิ่งกว่า!
แต่ช่วงหน้าสิ่วหน้าขวานนี้เอง ในแดนลับนี้กลับปรากฏกลิ่นอายของด่านเคราะห์มากมายขึ้นมากะทันหัน เริ่มแผ่พุ่งรวมตัวกันเหมือนลมทมิฬ
“แย่แล้ว! นี่คือเคราะห์ต้องห้ามที่มุ่งเป้าไปยังศาสตราจักรพรรดิ!”
ในส่วนลึกสุดของทะเลเพลิงที่อยู่ใต้แดนลับ จักรพรรดิวิญญาณหมื่นเพลิงพลันหน้าเปลี่ยนสี เงยหน้าขึ้นมาทันที นางรู้สึกได้ตั้งแต่พริบตาแรกแล้ว
กลิ่นอายนี้นางคุ้นเคยเป็นอย่างดี
เมื่อนานมาแล้ว ยามเตามารดาหลอมสมบัติหลอมเก้าศาสตราจักรพรรดิแห่งคุนหลุนก็เคยเจอด่านเคราะห์ต้องห้ามเช่นนี้ สุดท้ายก็ได้แต่พลีชีพจึงรักษาเก้าศาสตราจักรพรรดิแห่งคุนหลุนนั้นจนแปรสภาพจากด่านเคราะห์ได้
เตามารดาหลอมสมบัติจึงถูกทำลายสิ้นซากในตอนนั้น เหลือเพียงก้อนทองแดงต้นกำเนิด!
จักรพรรดิวิญญาณหมื่นเพลิงคิดไม่ถึงว่ายามหลินสวินหลอมศาสตราจักรพรรดิบริสุทธิ์ จะถึงกับชักนำด่านเคราะห์ต้องห้ามเช่นนี้มาด้วย นี่ทำให้นางอดเป็นห่วงไม่ได้เช่นกัน
แต่ตอนนี้นางกลับไม่อาจจากไป ด้วยบรรพชนหงส์เซียนที่หลับใหลอยู่ข้างกายมีสัญญาณว่าจะตื่นขึ้นแล้ว ไม่อาจให้นางจากไปตอนนี้แน่
‘เจ้าหนุ่ม เจ้าต้องต้านให้ได้นะ’ จักรพรรดิวิญญาณหมื่นเพลิงได้แต่ภาวนาในใจ
เมฆาเคราะห์ลึกล้ำ ดำสนิทดุจสีหมึก ปรากฏอยู่กลางอากาศเช่นนั้น มองข้ามพลังต้องห้ามที่ปกคลุมแดนลับแห่งนี้
หลินสวินสีหน้าจริงจังถึงขีดสุดในชั่วขณะเดียว
เขาก็รับมือไม่ทันอยู่บ้าง แต่ไม่นานก็นิ่งสงบใจเย็นลงแล้วสื่อจิต ‘เสี่ยวอู่ เจ้าถอยไปอีกด้าน ตรงนี้ข้าจัดการเอง!’
เสี่ยวอู่ลังเล สีหน้าเต็มไปด้วยความกังวล ‘แต่ว่า…’
‘เร็วเข้า!’
หลินสวินกล่าวหนักแน่น ไม่ลังเลแต่อย่างใด
คราวนี้เสี่ยวอู่หลบออกไป เกือบจะเวลาเดียวกัน เงาร่างของหลินสวินไหววูบ กายมรรคทั้งห้าปรากฏตัวออกมาพร้อมกัน
กายมรรคเพลิงแดงช่วยร่างต้นควบคุมเพลิงมรรคอัศจรรย์ กายมรรคไม้เขียวและกายมรรควารีดำช่วยกันควบคุมกระบวนค่ายกลลายมรรค กายมรรคทองขาวและกายมรรคดินเหลืองช่วยกันหลอมโครงอาวุธ
ชั่วขณะนี้หลินสวินก็สำแดงพลังทั้งหมดของตนจนถึงขั้นสุดยอด นัยน์ตาดำที่ล้ำลึกเหมือนหุบเหวนั้นฉายแววคลุ้มคลั่งอยู่รางๆ
การหลอมอาวุธครั้งนี้ ล้มเหลวไม่ได้เด็ดขาด!
ไม่อย่างนั้นแรงกายแรงใจทั้งหมดที่ทุ่มเทไปก่อนหน้านี้ เก้าศาสตราจักรพรรดิแห่งคุนหลุน ศาสตราจักรพรรดิอัศจรรย์หลายสิบชิ้น รวมถึงก้อนทองแดงนั่นต้องถูกทำลายไปหมดแน่!
หลินสวินสูดหายใจลึก “ข้าอยากดูนัก ว่าศาสตราจักรพรรดิบริสุทธิ์ที่ยังไม่เป็นรูปร่างของข้าคนแซ่หลินแข็งแกร่งกว่า หรือพลังของด่านเคราะห์อย่างเจ้าแข็งแกร่งกว่ากันแน่!”
ตูม!
เมฆาเคราะห์ม้วนซัด ทวนที่วิวัฒน์จากด่านเคราะห์เล่มหนึ่งพลันปรากฏ ฟันไปทางโครงอาวุธที่อยู่ในเพลิงมรรคอัศจรรย์ทันที
แค่ชั่วพริบตาเพลิงมรรคอัศจรรย์ก็ม้วนซัดรุนแรง เกือบถูกฟันจนพังทลาย ส่วนโครงอาวุธที่ยังไม่เป็นรูปร่างนั้นก็ครวญคร่ำขึ้นมาทันที
ส่วนหลินสวินที่คุมร่างต้นและร่างแยกทั้งห้าพร้อมกันก็ถูกคลื่นพลังซัด ยากจะรับจนเกือบกระอักเลือด
สีหน้าของเขาเผยความตกตะลึง พลังของด่านเคราะห์นี้ไม่แข็งแกร่งเกินไปหน่อยหรือ!
…………………….