เพียงเห็นท่าทางของไป๋หลิงเจินและอู่ซิวสิง ลั่วซิงเฟิงก็รู้ว่าพวกเขาคิดอย่างไรแล้ว
ในโลกอีกฟากฝั่ง ผู้ที่เข้าตาเขาลั่วซิงเฟิงได้ คนไหนบ้างไม่ใช่บุคคลที่ยืนอยู่บนจุดสูงสุดของโลก
และในบรรดาบุคคลชั้นยอดเหล่านี้ ที่เรียกได้ว่าสะดุดตาจะเป็นคนชั้นเลิศตามความหมายทั่วๆ ไปได้อย่างไร
เทียบกันแล้วหลินเต้ายวนคนนั้นอาจไม่ได้พิเศษไปกว่าผู้โดดเด่นเหล่านี้ แต่นั่นก็ขึ้นอยู่กับว่าเทียบกับใคร!
เพียงแต่ลั่วซิงเฟิงไม่ได้อธิบาย
ด้วยฐานะของเขาสูงส่งเกินกว่าจะมาอธิบายเรื่องพวกนี้
ไม่เคยฝึกปราณที่โลกฟากฝั่ง ย่อมไม่อาจสัมผัสนัยเร้นลับที่อยู่ในนี้ได้อยู่แล้ว
“หลินเต้ายวนคนนี้ยังอยู่ที่โลกนี้ไหม”
ชายหนุ่มชุดขาวเอ่ยถามกะทันหัน
“อยู่”
พวกไป๋หลิงเจินกับอู่ซิวสิงรีบพยักหน้า
“เฉินเอ๋อร์ เจ้าอยากเห็นความสามารถของหลินเต้ายวนผู้นี้หรือ” ลั่วซิงเฟิงประหลาดใจอย่างอดไม่ได้
ในตระกูลลั่วอีกฟากฝั่ง ลั่วเฉินเป็นหนึ่งในมกุฎมหาจักรพรรดิรุ่นหนุ่มที่สะดุดตาที่สุด เขามีพรสวรรค์โดดเด่น รากฐานพลังไม่อาจเทียบได้ เป็นตัวอ่อนฝึกปราณโดยกำเนิด
ตั้งแต่ยังเยาว์ก็ปลุก ‘วังวนวิญญาณเพลิงดารา’ ซึ่งเป็นพรสวรรค์สายเลือดชั้นสูงของตระกูลลั่วได้ ฝึกปราณจนตอนนี้ เพิ่งผ่านไปแปดร้อยปีก็มีพลังปราณระดับมกุฎจักรพรรดิขั้นสี่แล้ว!
ความเร็วในการเลื่อนระดับอันน่าตกตะลึงเช่นนี้ ถึงกับทำให้คนเก่าแก่มากมายในตระกูลยังถูกทิ้งไว้ข้างหลัง ละอายที่สู้ไม่ได้
ที่ทำให้ทุกคนยกย่องที่สุดก็คือ แม้ลั่วเฉินมีความเชื่อมั่นอย่างยิ่งยวด แต่ความเฉลียวฉลาดและหนักแน่นของเขาก็ไม่มีใครเทียบได้
คนที่ไม่เข้าใจเขา ได้แต่นึกว่าเขาหยิ่งผยองเกินไป ไม่เห็นใครอยู่ในสายตา
แต่คนที่เข้าใจเขาจริงๆ ถึงจะรู้ว่าความเย่อหยิ่งเช่นนี้เป็นความเชื่อมั่นประหนึ่งไร้ศัตรู การฝึกมหามรรค เดิมทีก็ควรมีความห้าวหาญเช่นนี้!
การพาลั่วเฉินมาคราวนี้ก็เพื่อให้เขาได้พบเจอสถานที่นอกโลกฟากฝั่ง ได้มีประสบการณ์สักครั้ง
“สิ่งที่ข้าแสวงหาคือมรรคไร้ศัตรู กำลังเกิดความเปลี่ยนแปลงประหลาดอย่างหนึ่ง การเดินทางมาข้างนอกคราวนี้ก็อยากพัฒนามรรควิถีของข้าอีกก้าว”
ลั่วเฉินเอ่ยปาก สีหน้าราบเรียบ “ถ้าภายร้อยปีเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ได้สักครั้ง ข้าก็จะไปเข้าร่วม ‘ศึกจักรพรรดิเจ็ดเผ่า’ ตั้งกฎเกณฑ์ระเบียบแรกกำเนิดใหม่ให้ตระกูลเราได้!”
ลั่วซิงเฟิงใจสั่นสะท้าน ดวงตามีแววชื่นชม เอ่ยว่า “กล้าหาญดี! ในตระกูลมีคนถือหางคุณชายใหญ่ มีคนถือหางคุณหนูสาม มีเพียงอาเจ็ดที่สนับสนุนเจ้า อาเจ็ดเชื่อว่าด้วยพรสวรรค์ของเฉินเอ๋อร์จะไม่ทำให้ตระกูลผิดหวัง!”
บนตัวลั่วเฉินมีพรสวรรค์วังวนวิญญาณเพลิงดาราตื่นขึ้น นี่เป็นถึงพรสวรรค์ตะลึงโลกชั้นยอด!
เมื่อได้รับความคาดหวังจากผู้อาวุโส ลั่วเฉินกลับไม่ได้เผยสีหน้าลำพองฮึกเหิม สงบนิ่งจนน่ากลัว
“ท่านอาเจ็ด ข้ารู้แต่ว่าในตระกูลลั่วของพวกเรา พรสวรรค์ที่เรียกได้ว่าแข็งแกร่งที่สุดจริงๆ มีนามว่าหุบเหวกลืนกิน น่าเสียดาย… ในกาลเวลาไร้สิ้นสุดที่ผ่านมานี้ท่านอาเก้าร่วงหล่นไปในโลกฝั่งนั้นแล้ว ตอนนี้ท่านอาหกก็ไม่รู้ว่าจับคนทรยศลั่วชิงสวินนั่นได้หรือยัง…”
พูดจนจบหว่างคิ้วลั่วเฉินจึงปรากฏแววเสียใจ
หุบเหวกลืนกิน!
นั่นจึงจะเป็นรากฐานที่ทำให้ตระกูลลั่วตั้งตระหง่านเหนือโลก หยิ่งผยองเหนือใต้หล้า!
ไม่รู้ว่าลั่วซิงเฟิงนึกอะไรขึ้นได้ แววตาปรากฏแววเย็นชา จากนั้นพลันยิ้มเอ่ย “ด้วยพลังระเบียบที่ตระกูลลั่วควบคุมในตอนนี้ จะมีหรือไม่มีหุบเหวกลืนกินก็ไม่มีผลกระทบต่อรากฐานของตระกูลเรา”
ลั่วเฉินร้องอืมคำหนึ่ง ไม่พูดอะไรอีก
การสนทนาของทั้งสองถูกทั้งไป๋หลิงเจินและอู่ซิวสิงได้ยิน แต่พวกเขากลับฟังไม่เข้าใจสักนิด
ศึกจักรพรรดิเจ็ดเผ่าอะไร หุบเหวกลืนกินอะไร… ไม่อาจเข้าใจความหมายของคำเหล่านั้นสักนิด
แต่พวกเขากลับรู้ว่าคนทรยศลั่วชิงสวินนั้นคือเรื่องอะไร
พูดได้ว่าก็เพราะผู้หญิงคนนี้จึงทำให้สี่เผ่าวิญญาณฟ้าประทานอย่างเสือขาว เต่าดำ หงส์เซียนและเจินหลงมีโชคชะตาที่ต่างกันไป!
“ไปเถอะ ไปพบบรรพชนหงส์เซียนที่ไม่รู้ว่าตื่นขึ้นมาหรือยังผู้นั้น… จริงด้วย… ยังมีหลินเต้ายวนคนนั้นด้วย”
ลั่วซิงเฟิงตัดบท
พวกไป๋หลิงเจิน อู่ซิวสิงต่างใจเต้นระส่ำ เกิดความรู้สึกตั้งตาคอยอย่างไม่อาจกลั้นได้ในใจ หลังจากวันนี้ เผ่าหงส์เซียนก็คงจะถูกถอนรากถอนโคนกระมัง
……
เมืองจักรพรรดิหมื่นเพลิงที่เคยเจริญรุ่งเรืองในวันวาน ตอนนี้กลายเป็นซากปรักหักพังถ้วนทั่วไปแล้ว มีเพียงบริเวณใกล้เคียงร้านช่างเทพระดับหนึ่งหมายเลขหนึ่งเท่านั้นที่ยังเหลืออาคารที่ยังสมบูรณ์อยู่บ้าง
‘ระดับจักรพรรดิขั้นสี่ เรียกว่า ‘แจ้งปริศนา’ ยามทะลวงขั้นนี้จะพบเจอกับ ‘เคราะห์โลกเร้นมายา’… ด้วยพลังปราณของข้าในตอนนี้ อีกไม่เกินสามเดือนก็ลองทะลวงขั้นได้แล้ว…’
ในร้านช่างเทพที่ปกคลุมอยู่ภายใต้กระบวนค่ายกลใหญ่มรรคสิ้นฟ้าอาสัญ หลินสวินนั่งขัดสมาธิทำสมาธิ สงบใจหยั่งรู้
ช่วงนี้ในใจเขามักจะเกิดเค้าลางทะลวงขั้นอันแรงกล้า เปรียบได้กับเลือดหัวใจหลั่งไหลดั่งกระแสธาร สัมผัสได้ถึงนัยเร้นลับสวรรค์เหนือมหามรรคบางอย่าง
นี่ทำให้เขาระบุได้ว่าตนอยู่ห่างจากระดับจักรพรรดิขั้นสี่ไม่มากแล้ว
ไม่ไกลนักสัตว์ประหลาดเฒ่าเผ่าหงส์เซียนอย่างพวกหวงชางเทียนกำลังสนทนากับจักรพรรดิวิญญาณหมื่นเพลิง สีหน้าเคร่งเครียดไม่มากก็น้อย
มีเพียงจักรพรรดิวิญญาณหมื่นเพลิงที่สงบนิ่งดังเดิม
พวกเลี่ยนจิ่วเซียวเผ่าจักรพรรดิช่างเทพอยู่ในที่ปลอดภัยแล้ว พวกเขามีพลังต่อสู้ไม่พอ บุ่มบ่ามร่วมศึกกลับจะกลายเป็นภาระ
ยามนี้ซย่าจื้อฝึกปราณภายใต้การหลับใหลเงียบงันยิ่งยวดอีกครั้ง ในช่วงสั้นๆ ไม่มีทางตื่นขึ้นมา
ตอนนี้ผู้ที่ร่วมต่อสู้กับหลินสวินได้มีเพียงซีกับต้าหวงแล้ว
ส่วนวิญญาณกระบี่เย่จื่อ อู้เชวีย และวิญญาณดาบหัก เทียบกับระดับบรรพจารย์จักรพรรดิแล้วยังห่างชั้นกันมากเกินไปอยู่ดี หลินสวินตัดสินใจแล้วว่าถ้าไม่จำเป็นจะไม่ให้พวกเขาออกศึกอีก
บรรยากาศในร้านช่างเทพอึมครึมถึงขั้นกดดันอยู่บ้าง
ใครก็รู้ว่าวันนี้ผู้ยิ่งใหญ่ตระกูลลั่วอีกฟากฝั่งผู้นั้นจะมาเยือน นี่ต้องเป็นการคุกคามถึงชีวิตอย่างไม่อาจประเมินได้ครั้งหนึ่ง
ไม่มีใครกล้ามั่นใจอย่างเต็มที่ว่าจะสลายเคราะห์ครั้งนี้ได้!
“หวงชางเทียน!”
ทันใดนั้นเสียงเย็นชาของหัวหน้าเผ่าเสือขาวไป๋หลิงเจินก็ดังขึ้นจากนอกร้านช่างเทพ “ผู้อาวุโสเจ็ดจากตระกูลลั่วอีกฟากฝั่ง ใต้เท้าลั่วซิงเฟิงมาเยือนถึงที่แล้ว พวกเจ้ายังไม่ออกมาต้อนรับอีกหรือ”
“ไม่อยากถูกกวาดล้างเผ่าก็รีบออกมา!” ในขณะเดียวกันเสียงหัวหน้าเผ่าเต่าดำอู่ซิวสิงก็ดังตามมา
น้ำเสียงข่มขู่ในถ้อยคำไม่ปิดบังเลยสักนิด!
ขวับ!
หลินสวินลืมตาขึ้น จิตรับรู้ไพศาลแผ่ขยายออกไปดั่งกระแสธาร
ในขณะเดียวกันพวกจักรพรรดิวิญญาณหมื่นเพลิง หวงชางเทียนล้วนหยุดทำสิ่งที่ทำอยู่ มองไปนอกร้านช่างเทพ
ในห้วงอากาศ ผู้ที่นำหน้ามาก็คือลั่วซิงเฟิงในชุดนัดพรตแขนกว้างกับลั่วเฉิน ข้างๆ ทั้งสองห้อมล้อมไปด้วยสัตว์ประหลาดเฒ่าจากเผ่าเสือขาวและเต่าดำอย่างพวกไป๋หลิงเจิน อู่ซิวสิง กระบวนทัพยังเรียกได้ว่าแข็งแกร่งจนใจสั่นดังเดิม
แต่สายตาทุกคู่ต่างรวมกันอยู่ที่ลั่วซิงเฟิงกับลั่วเฉิน เพราะใครก็รู้ว่านี่จึงจะเป็นการคุกคามที่ยิ่งใหญ่ที่สุด
ในขณะเดียวกันหลินสวินก็มองเห็นลั่วซิงเฟิงกับลั่วเฉินแล้ว เพียงแต่เขาเมินลั่วเฉินคนนั้นทันที และจับจ้องอยู่ที่ลั่วซิงเฟิงตลอด ดวงตาอดหดรัดลงเล็กน้อยไม่ได้
พลังปราณของเจ้าเฒ่านี้ถึงกับไม่สามารถมองออกได้!
“เผ่าข้าตัดสัมพันธ์กับตระกูลลั่วมานานแล้ว คนตระกูลลั่วนี้ยังไม่มีใครควรค่าให้เผ่าข้าออกไปต้อนรับด้วยตัวเองสักคน”
หวงชางเทียนเอ่ยปากแล้ว น้ำเสียงต่ำลึก
“บังอาจ!”
“รนหาที่ตายจริงๆ!”
ไป๋หลิงเจินกับอู่ซิวสิงพากันตะคอกลั่น ด่าว่าหวงชางเทียน ความจริงในใจทั้งสองเบิกบานนัก หมายจะให้ท่าทีหวงชางเทียนแข็งกร้าวขึ้นอีกหน่อย เช่นนี้แล้วถ้ายั่วโมโหใต้เท้าลั่วซิงเฟิงผู้นี้ เผ่าหงส์เซียนจะต้องถูกถอนรากถอนโคนแน่!
กลับพบว่าลั่วซิงเฟิงสีหน้าราบเรียบ เอ่ยว่า “ข้ามาคราวนี้ก็เพื่อพบหน้าบรรพชนหงส์เซียน ส่วนพวกเจ้า… ยังคงถอยไปดีกว่า”
เสียงสงบนิ่ง แต่ท่าทีที่เผยออกมาในน้ำเสียงเห็นได้ชัดว่าไม่เห็นพวกหวงชางเทียนอยู่ในสายตา
จักรพรรดิวิญญาณหมื่นเพลิงเอ่ยปาก แววตาเย็นชา “บรรพชนหงส์เซียนนิพพานล้มเหลวแล้ว ตอนนี้มรรควิถีทั้งหมดของเขาถูกข้าครอบครองอยู่ เจ้ามาคราวนี้ต้องการทำอะไร บอกข้ามาก็พอ”
พอพูดเช่นนี้ออกไป ไป๋หลิงเจินกับอู่ซิวสิงต่างชะงัก จากนั้นก็หัวเราะเหี้ยมตะคอกว่า
“เป็นต้องเห็นคน ตายต้องเห็นศพ! เจ้ามีหลักฐานอะไรมาพิสูจน์ว่าบรรพชนหงส์เซียนล้มเหลวไปแล้ว”
สิ่งที่พวกเขาสองคนกังวลที่สุดก็คือการคุกคามจากบรรพชนหงส์เซียน ย่อมไม่อาจจากไปเพราะลมปากของจักรพรรดิวิญญาณหมื่นเพลิง
“พวกจิ้งจอกแอบอ้างบารมีเสือ อย่างพวกเจ้ามีคุณสมบัติอะไรมาให้ข้าพิสูจน์”
ความดูแคลนฉายวาบในดวงตาจักรพรรดิวิญญาณหมื่นเพลิง คนที่น่าหวาดหวั่นที่สุดในสายตานางตอนนี้ก็มีเพียงลั่วซิงเฟิงคนเดียว
ไป๋หลิงเจินกำลังจะพูดอะไรก็เห็นว่าลั่วซิงเฟิงโบกมือ เอ่ยอย่างเรียบเรื่อยผ่อนคลายว่า “ข้ามาแดนหงส์เซียนแห่งนี้ เป้าหมายมีเพียงอย่างเดียวคือให้บรรพชนหงส์เซียนตามข้าไปฝึกปราณที่โลกอีกฟากฝั่ง สำหรับเขาแล้วก็ถือเป็นวาสนาครั้งใหญ่ครั้งหนึ่ง”
เขาหยุดไปครู่หนึ่ง แววเย็นชาลุ่มลึกอุบัติขึ้นในสายตา เอ่ยว่า “ถ้ากระทั่งความปรารถนาดีของข้ายังปฏิเสธ เช่นนั้นก็อย่าหาว่าข้าไม่ปรานี”
ความหมายเรียบง่ายนัก บรรพชนหงส์เซียนก้มหน้าไปรับใช้ที่ตระกูลลั่วอีกฟากฝั่ง เรื่องในวันนี้ก็ถือว่าสิ้นสุดแล้ว
มิเช่นนั้นเผ่าหงส์เซียนก็ไม่จำเป็นต้องคงอยู่อีก!
นี่ทำให้สีหน้าพวกหวงชางเทียนต่างเปลี่ยนเป็นอึมครึมไม่น่าดูเป็นที่สุด
“เรื่องนี้เป็นไปไม่ได้!”
จักรพรรดิวิญญาณหมื่นเพลิงปฏิเสธเด็ดขาด
ลั่วซิงเฟิงยิ้มขึ้นทันที ทว่ารอยยิ้มนั้นกลับเผยความเย็นชาน่าหวาดผวา
“ในหมู่สี่เผ่าวิญญาณฟ้าประทาน บรรพชนเจินหลงทำผิดถึงขั้นไม่อาจให้อภัย ตอนนี้ยังถูกกำราบอยู่ในส่วนลึกของทะเลปีศาจนั้น แต่ถึงอย่างไรก็ถือว่ารักษาไว้ซึ่งความสงบของเผ่าเจินหลงได้ ข้าล่ะอยากรู้นักว่าพวกเจ้าเผ่าหงส์เซียนจะหนังเหนียวแค่ไหน!”
ลั่วซิงเฟิงยื่นมือข้างหนึ่งออกมาระหว่างกล่าวเสียงเรื่อยเฉื่อยนั้น
ก็ในตอนนี้เองลั่วเฉินในชุดขาวโพลนพลันเอ่ยปากว่า “ท่านอาเจ็ด อย่าเพิ่งลงมือ ถามพวกเขาก่อนว่าคนไหนคือหลินเต้ายวน”
ลั่วซิงเฟิงอึ้งไป พูดทึ่งๆ ว่า “เจ้ากลัวข้าจะลงมือพลาดฆ่าเจ้าหนุ่มนั่นไปหรือ เอาเถอะ ก็ให้เวลาพวกเขาได้มีชีวิตอยู่อีกหน่อย”
ในยามนี้พวกหวงชางเทียนต่างหวาดหวั่นใจ ถึงกับคิดกังวลขึ้นมาว่าหรืออีกฝ่ายจะมองฐานะของหลินสวินออก
“คุณชาย เจ้าหมอนั่นก็คือหลินเต้ายวน!” ไป๋หลิงเจินชี้หลินสวิน รีบเอ่ยปาก สายตาเผยแววชิงชังเข้ากระดูก
สามวันก่อนก็เพราะการปรากฏตัวของหลินสวิน ทำให้การโจมตีของเผ่าเสือขาวและเต่าดำล้มเหลว บรรพจารย์จักรพรรดิล้มตายไปมากมาย นี่จะไม่ให้เขาแค้นได้อย่างไร
ขวับ!
ในขณะเดียวกันสายตาลั่วเฉินก็มองผ่านกระบวนค่ายกลมรรคสิ้นฟ้าอาสัญ จับจ้องมองดูหลินสวินจากไกลๆ
เพียงพริบตานั้นประกายดุดันน่าตะลึงก็ฉายวาบในตาเขา เป็นคนผู้นี้ดังคาด ดูแค่ท่าทางก็ต่างจากคนอื่นแล้ว
ทันใดนั้นสายตาเขากลับคืนสู่ความสงบเหมือนเก่า สองมือไพล่หลัง ชุดขาวพลิ้วไหว เอ่ยพูดตามสบายว่า “หลินเต้ายวน กล้าสู้กับข้าสักตั้งไหม”