ภูผาธาราแหลกกระจุย เมืองพังถล่ม พื้นที่หมื่นลี้มีแต่ความพังพินาศ
ในอากาศยังคงอบอวลไปด้วยกลิ่นคาวเลือดและควันไฟเตะจมูก ความรุ่งเรืองในอดีตกลายเป็นมอดไหม้ไปทั้งแถบ
ผู้แข็งแกร่งเผ่าจักรพรรดิช่างเทพกำลังเก็บกวาดสภาพพังพินาศ สีหน้าเจือความเศร้าสร้อยอ้างว้าง
ศึกนี้กองทัพใหญ่เผ่าเสือขาวและเต่าดำรวมตัวกัน เหยียบย่ำเมืองจักรพรรดิหมื่นเพลิง เท่ากับทำลายถิ่นพำนักตั้งแต่อดีตกาลของเผ่าจักรพรรดิช่างเทพ
คนเผ่าหงส์เซียนก็โกรธแค้นและหดหู่เช่นกัน
ในกาลเวลาไร้สิ้นสุดที่ผ่านมานี้ แดนหงส์เซียนมีเผ่าของพวกเขาเป็นผู้นำ ไม่เคยเกิดมหาภัยคับฟ้าอย่างวันนี้มาก่อน
สิ่งเดียวที่ควรค่าแก่การเฉลิมฉลองอาจจะเป็นศัตรูไม่ได้สมใจปรารถนา และเผ่าของพวกเขายังมีความหวังที่จะดำรงต่อไป
ด้วยมีฐานะเป็นหัวหน้าเผ่าหงส์เซียน แม้จะได้รับบาดเจ็บหนัก หวงชางเทียนก็ไม่ได้เผยความรู้สึกท้อใจ เขาสีหน้าหนักแน่น จัดการเรื่องหลังศึกอย่างใจเย็น
พวกเฒ่าดึกดำบรรพ์ที่ได้รับบาดเจ็บสาหัสยิ่งเหล่านั้นก็เป็นเช่นนี้เช่นกัน ไม่อาจมัวมาทอดถอนใจอะไร ต่างรีบรักษาอาการบาดเจ็บ
พวกซี ต้าหวงและซย่าจื้อก็กำลังพักรักษาตัวฟื้นฟูพลังกาย
พวกเขาต่างรู้ดีว่าแม้ศัตรูจะถูกพิชิต แต่นี่ก็เป็นเรื่องชั่วคราวอยู่ดี พ่ายแพ้หนักหน่วงเช่นนี้ เผ่าทั้งสองอย่างเสือขาวกับเต่าดำย่อมไม่เลิกราแต่โดยดี
และหากไม่เหนือความคาดหมาย อีกสามวันคนใหญ่คนโตตระกูลลั่วอีกฟากฝั่งก็จะมาเยือน นี่จึงจะเป็นภัยคุกคามครั้งใหญ่ที่สุด!
“ข้าสืบทอดและหลอมรวมมรรควิถีทั้งหมดของบรรพชนหงส์เซียนแล้ว ถ้าผู้ยิ่งใหญ่ตระกูลลั่วอีกฟากฝั่งนั่นมา ย่อมเป็นข้าไปรับมือเขา”
จักรพรรดิวิญญาณหมื่นเพลิงเอ่ยกับหลินสวิน แววตาสงบนิ่ง
“ข้าก็จะไม่นิ่งดูดาย”
หลินสวินสูดหายใจลึกเฮือกหนึ่ง มหาเคราะห์ที่เผ่าหงส์เซียนต้องประสบ เดิมทีก็เกิดขึ้นเพราะลั่วชิงสวิน ในฐานะบุตรชายของลั่วชิงสวิน ยามเผชิญหน้ากับเรื่องเช่นนี้หลินสวินย่อมมองว่าเป็นหน้าที่ของตน
“เจ้าไม่กังวลว่าอีกฝ่ายจะรู้ฐานะของเจ้า และจะฆ่าเจ้าโดยไม่สนใจสิ่งใดหรือ” จักรพรรดิวิญญาณหมื่นเพลิงเอ่ย
หลินสวินยิ้มกล่าว “ถ้ากลัวแล้ว ภายหน้าข้าจะยังไปฟากฝั่งฟ้าดารา ประจักษ์ความสามารถของตระกูลลั่วอีกฟากฝั่งได้อย่างไร”
จักรพรรดิวิญญาณหมื่นเพลิงชะงักไป เอ่ยว่า “ถ้ามีวันนั้นจริงข้าก็รอคอยนัก ว่าเจ้าจะสร้างชื่อเสียงใหญ่โตได้ปานไหน”
ฟากฝั่งฟ้าดารา นั่นเป็นถึงสถานที่ที่ทำให้เหล่าบรรพจารย์จักรพรรดิเฝ้าปรารถนา
ลือกันว่ามีเพียงที่นั่นถึงสามารถครอบครองมรรคอมตะนิรันดร์!
หลังไตร่ตรองครู่ใหญ่หลินสวินยังถามอย่างอดไม่ได้ว่า “ผู้อาวุโส ข้าคนแซ่หลินจะบังอาจถามได้หรือไม่ว่าบรรพชนหงส์เซียน… จะมีโอกาสตื่นจากนิพพานหรือไม่”
ในความคิดของเขา เพลิงหงส์ระเบียบของบรรพชนหงส์เซียนมอบตนให้แล้ว ส่วนมรรควิถีทั้งตัวก็ถ่ายทอดให้จักรพรรดิวิญญาณหมื่นเพลิง ถ้าไม่พบปัญหาใด บรรพชนหงส์เซียนจะทำเช่นนี้ได้อย่างไร
กลับพบว่าจักรพรรดิวิญญาณหมื่นเพลิงส่ายหัว บอกเรื่องที่บรรพชนหงส์เซียนตัดสินใจจะนิพพานใหม่ออกมา ทั้งยังบอกหลินสวินว่ามรรคที่บรรพชนหงส์เซียนไขว่คว้าเป็นมหามรรคที่อยู่เหนือกว่าคนร่วมรุ่นตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบัน
หลินสวินใจสั่นสะท้าน ตัดมรรควิถีในกาลก่อน มองเพลิงหงส์ระเบียบเป็นสิ่งผูกมัด เลือกนิพพานใหม่อย่างหนักแน่น นี่จะต้องมีความกล้าหาญปานไหนถึงตัดสินใจอย่างเด็ดเดี่ยวเช่นนี้ได้
“เจ้าไม่ต้องคิดมาก ถือโอกาสที่ผู้ยิ่งใหญ่ตระกูลลั่วอีกฟากฝั่งยังไม่มา รีบปรับสภาพเถอะ”
จักรพรรดิวิญญาณหมื่นเพลิงพูดแล้วจากไปอย่างรวดเร็ว
หลินสวินยืนลำพังอยู่ตรงนั้น มองดูภาพซากปรักหักพังถ้วนทั่วอยู่ครู่ใหญ่ ในที่สุดก็ชักสายตากลับมา นั่งขัดสมาธิสงบใจฝึกปราณ
ภายในร่างเขายังมีพลังแกนเทพแรกกำเนิดอยู่อีกครึ่งหนึ่ง ใช้ฟื้นฟูพลังได้เร็วนัก
เพียงหนึ่งชั่วยามเท่านั้นหลินสวินก็ตื่นจากการนั่งสมาธิ พลังทั้งร่างคืนสู่สภาพสูงสุด
เขามาหาหวงชางเทียนกับเลี่ยนจิ่วเซียว เอ่ยว่าต้องการเจตวัตถุจำนวนหนึ่งมาใช้วางกระบวนค่ายกล ทั้งสองต่างรับปากอย่างยินดี
แม้เมืองจักรพรรดิหมื่นเพลิงจะพังพินาศไป แต่รากฐานพลังของเผ่าหงส์เซียนกับเผ่าจักรพรรดิช่างเทพยังอยู่ โดยเฉพาะสมบัติที่สั่งสมมาไม่รู้นานเท่าไรนั้นไม่ได้ถูกปล้นไปด้วย
ไม่นานนักเจตวัตถุที่หลินสวินต้องการก็เตรียมพร้อม
“เสี่ยวอู่ ฝากเจ้าด้วย” หลินสวินตัดสินใจว่าจะวางกระบวนค่ายกลมรรคสิ้นฟ้าอาสัญหน้าร้านช่างเทพระดับหนึ่งหมายเลขหนึ่ง และผู้ที่เชี่ยวชาญกระบวนค่ายกลนี้เป็นที่สุดก็คือเสี่ยวอู่
“ปราณพิภพกับต้นกำเนิดวิญญาณในภูผาธาราหลายหมื่นลี้นี้ถูกทำลายไปแล้ว แม้จะวางกระบวนค่ายกลสำเร็จ อย่างมากที่สุดก็ทำได้เพียงคงไว้ไม่ถึงหนึ่งชั่วยาม เจ้าแน่ใจนะว่าจะผลาญเจตวัตถุมากมายขนาดนี้”
“เลิกพูดไร้สาระ รีบไปทำ”
หลินสวินเขกหัวเจ้าตัวจ้อย ฝ่ายหลังแยกเขี้ยวใส่ โกรธเคืองไม่หยุด แต่สุดท้ายก็ยังเคลื่อนไหวอย่างว่าง่าย
สองวันผ่านไป
มรรคสิ้นฟ้าอาสัญวางสำเร็จลุล่วง พวกหลินสวินทั้งหมดเข้าไปในร้านช่างเทพระดับหนึ่งหมายเลขหนึ่งที่กระบวนค่ายกลนี้ปกคลุมอยู่
ก็ในวันนี้เอง จู่ๆ ซย่าจื้อก็มาหาหลินสวิน เอ่ยว่า “หลินสวิน ข้าอาจจะต้องเข้าสู่การหลับใหลถึงขีดสุดครั้งหนึ่ง”
หลินสวินอึ้งไป “ตอนนี้หรือ”
ซย่าจื้อพยักหน้า เสียงใสกระจ่าง “ถ้าพี่จิ่งเซวียนตื่นแล้ว จำไว้ว่าต้องให้นางเขียนวิธีมีลูกให้ด้วย”
หลินสวินมุมปากกระตุกอย่างยากสังเกตเห็น เรื่องนี้ถ้าให้จิ่งเซวียนรู้เข้า… เช่นนั้นจะ… อักอ่วนปานไหน
ไม่รอให้หลินสวินตอบสนอง ซย่าจื้อก็อิงแอบอยู่ข้างกายเขา หลับใหลไปอย่างเงียบเชียบ บนใบหน้างามล้ำหาใดเทียบใต้หมวกม่านนั้นเปล่งประกายสงบนิ่ง พิสุทธิ์ผุดผ่องออกมา
หลินสวินยื่นมือไปลูบแก้มนางเบาๆ นึกถึงภาพสมัยที่อยู่กับซย่าจื้อที่หมู่บ้านเฟยอวิ๋นมุมปากก็ระบายยิ้มอย่างอดไม่ได้
ครู่หนึ่งเขาถึงโอบซย่าจื้อไว้อย่างระวัง วางนางไว้ในโลกจักรพรรดิบริสุทธิ์ของตน
เจดีย์ไร้สิ้นสุดอาจจะสูญหายได้
ทว่ามีเพียงตนตายเท่านั้น โลกจักรพรรดิบริสุทธิ์ถึงมีความเป็นไปได้ที่จะพังทลาย
……
สองวันผ่านไป
ริมทะเลสาบที่อยู่ไกลจากเมืองจักรพรรดิหมื่นเพลิงแห่งหนึ่ง
“ตอนนี้พวกเราทำได้เพียงรอให้คนใหญ่คนโตตระกูลลั่วอีกฟากฝั่งผู้นั้นมาเยือน ถึงอาจจะล้างแค้นกำจัดเผ่าหงส์เซียนบัดซบนั่นได้!”
ไป๋หลิงเจินสีหน้าอึมครึมไม่น่ามอง
ข้างกายเขาคือเหล่าสัตว์ประหลาดเฒ่าเผ่าเสือขาว ไม่ไกลนักก็คือเหล่าสัตว์ประหลาดเฒ่าเผ่าเต่าดำอย่างอู่ซิวสิง
ส่วนกองทัพแปดแสนที่นำโดยทั้งสองเผ่าคราวนี้ ตอนนี้ต่างถูกบรรจุอยู่ในสมบัติ สามารถทะยานออกมาเมื่อไรก็ได้
อู่ซิวสิงสีหน้าปนเปไปด้วยความรู้สึกต่างๆ “ข้าแค่กังวลว่าบรรพชนหงส์เซียนนั่นจะตื่นจากนิพพานแล้วหรือไม่”
“ที่เจ้าควรกังวลคือบรรพชนหงส์เซียนจะถือโอกาสนี้หนีมากกว่ากระมัง” ไป๋หลิงเจินแสยะยิ้ม
อู่ซิวสิงไม่ได้ปฏิเสธ
หากบรรพชนหงส์เซียนหนีไป เช่นนั้นต่อให้คนใหญ่คนโตจากตระกูลลั่วอีกฟากฝั่งผู้นั้นมาแล้ว เกรงว่าก็จะสายเกินไป
และสำหรับเผ่าเสือขาวกับเต่าดำ ภัยคุกคามถึงชีวิตที่สุดก็มาจากบรรพชนหงส์เซียนผู้เดียว!
นี่ก็คือสาเหตุสำคัญว่าทำไมพวกเขาถึงรวมพลมาบุกโจมตี
“ไม่ใช่บอกว่าผู้อาวุโสเจ็ดจากตระกูลลั่วอีกฟากฝั่งผู้นั้นจะมาเยือนวันนี้หรือ เหตุใดจนตอนนี้ยังไม่ปรากฏตัว” อู่ซิวสิงสงสัย
ไป๋หลิงเจินก็ขมวดคิ้วแน่นเช่นกัน ตามข่าวแล้วอีกฝ่ายน่าจะมาถึงวันนี้จริงๆ
ก็ในตอนนี้เองเสียงนุ่มนวลดุจลมวสันต์เสียงหนึ่งดังขึ้น เอ่ยเนิบๆ ว่า
“พวกเจ้ารอข้าอยู่หรือ”
ทุกคำเหมือนเสียงสวรรค์มหามรรคดังก้อง ทำให้ฟ้าดินแห่งนี้เปล่งพลังชีวิตพูนพรั่ง แปรเปลี่ยนเป็นงามเจิดจ้ามีชีวิตชีวา
เสียงนั้นยังไม่ทันเงียบลง เงาร่างหนึ่งชราหนึ่งหนุ่มปรากฏขึ้นกลางอากาศอย่างเงียบเชียบ คลุมเครือขมุกขมัว อย่างเงียบเชียบ
เฒ่าชราสวมเสื้อแขนกว้างคาดเข็มขัด ผอมบางทรงภูมิ ดูเหมือนอาจารย์สอนหนังสือในโลกปุถุชน มีเพียงที่ข้อมือเขาที่มีเชือกเรียวเล็กสีแดงสดผูกไว้
ส่วนชายหนุ่มชุดขาวยิ่งกว่าหิมะที่อยู่ข้างกาย เครื่องหน้าคมสัน ผมยาวดำเกล้าเป็นมวยผมนักพรตทรงดอกบัวอย่างพิเศษ เงาร่างผอมบางสูงโปร่ง โดดเด่นผิดธรรมดา
ชายชราแววตาสุขุมและราบเรียบ คล้ายไม่ข้องเกี่ยวเรื่องทางโลก
แต่ไม่ว่าจะเป็นบุคคลระดับบรรพจารย์จักรพรรดิเหล่านั้นที่อยู่ที่นั่น หรือคนใหญ่คนโตระดับหัวหน้าเผ่าอย่างไป๋หลิงเจินกับอู่ซิวสิง ขณะนี้เพียงรู้สึกว่าเฒ่าชราผู้นี้เหมือนเขาสูงตระหง่านที่ทำได้เพียงแหงนหน้ามองลูกหนึ่ง เกิดความรู้สึกเล็กจ้อยขึ้นมา
ครั้นยามมองดูชายหนุ่มชุดขาวอีกครั้ง สีหน้าเรียบเฉยเยือกเย็น ไม่ทุกข์ไม่สุข ไม่มีความโอหังอวดดีใดๆ
แต่ในสายตาเขา ทุกคนในโลกนี้กับสรรพสิ่งในฟ้าดินแห่งนี้ไม่ได้มีข้อแตกต่างอะไร แม้สะท้อนอยู่ในสายตา แต่กลับไม่อาจเรียกได้ว่าเข้าตา
นี่เป็นความถือดีที่เก็บงำอย่างที่สุด!
แทบจะในชั่วขณะ เหล่าบุคคลที่เรียกได้ว่าเป็นยักษ์ใหญ่เทียมฟ้าอย่างพวกไป๋หลิงเจิน อู่ซิวสิงต่างลุกขึ้นคารวะอย่างนอบน้อม
สีหน้าเปี่ยมไปด้วยความเคารพเลื่อมใส!
ภาพนี้หากถูกคนอื่นเห็นเข้าต้องตกตะลึงจนร้องเสียงหลงแน่ ถึงอย่างไรเผ่าเสือขาวและเต่าดำก็เป็นถึงสี่เผ่าวิญญาณฟ้าประทานที่ถือกำเนิดเมื่อต้นยุคดึกดำบรรพ์ รากฐานพลังเก่าแก่และน่าสะพรึงกลัว
และคนที่อยู่ที่นั่นเหล่านี้ยิ่งเป็นพวกอหังการในสองเผ่า ทำให้สรรพชีวิตในโลกนับไม่ถ้วนยำเกรง
แต่ตอนนี้พวกเขาต่างนอบน้อมเจียมตัว!
สาเหตุก็ง่ายนัก เพราะชายชราเสื้อแขนกว้างผู้นี้ก็คือผู้อาวุโสเจ็ดที่มาจากตระกูลลั่วอีกฟากฝั่ง… ลั่วซิงเฟิง!
เมื่อเห็นภาพนี้ ไม่ว่าจะเป็นลั่วซิงเฟิงหรือชายหนุ่มชุดขาวผู้นั้นต่างสีหน้าราบเรียบ เหมือนเห็นจนชินตามานานแล้ว
อันที่จริงพวกเขาก็ชินมานานแล้วจริงๆ
“ไม่ต้องมากพิธี” ลั่วซิงเฟิงโบกมือ อยู่มาถึงระดับอย่างเขา ย่อมไม่ใส่ใจเรื่องพิธีรีตองพวกนี้นานแล้ว
พวกไป๋หลิงเจินถึงกล้ายืดตัวขึ้น ความเคารพยำเกรงบนใบหน้ากลับไม่ลดลง
“เล่าสถานการณ์มาเถอะ” ลั่วซิงเฟิงเอ่ยง่ายๆ
ไม่นานนักไป๋หลิงเจินก็เล่าเรื่องการศึกเมื่อสามวันก่อนออกมาทั้งหมด ไม่กล้าปิดบังแม้แต่นิดเดียว
ครั้นฟังจบลั่วซิงเฟิงสีหน้าเรียบเฉย ทำเพียงร้องอ้อคำหนึ่ง ก่อนหันหน้าไปมองชายหนุ่มชุดขาวที่อยู่ข้างกายคนนั้น เอ่ยอย่างสนใจว่า “เฉินเอ๋อร์ จากที่เจ้าดู พลังต่อสู้ของหลินเต้ายวนผู้นี้เป็นอย่างไร”
ชายหนุ่มชุดขาวเอ่ยเรียบๆ ว่า “มกุฎจักรพรรดิขั้นสาม ครอบครองศาสตราจักรพรรดิบริสุทธิ์ที่ไม่ธรรมดา สามารถต่อสู้กับบรรพจารย์จักรพรรดิได้ เพียงอาศัยเรื่องพวกนี้ หากอยู่ในโลกอีกฟากฝั่งของพวกเราก็เรียกได้ว่าเป็นอัจฉริยะชั้นยอดในระดับจักรพรรดิ”
แม้จะพูดเช่นนี้แต่น้ำเสียงกลับไม่มีคลื่นอารมณ์สักนิด เหมือนแค่ตอบคำถามข้อหนึ่งเท่านั้น
และเมื่อได้ยินชายหนุ่มชุดขาวประเมินเช่นนี้ พวกเฒ่าดึกดำบรรพ์อย่างไป๋หลิงเจิน อู่ซิวสิงต่างจิตใจปั่นป่วนนัก หลินเต้ายวนนั่นเย้ยฟ้าปานนี้ ในโลกอีกฟากฝั่งกลับเรียกได้ว่าเป็น ‘อัจฉริยะชั้นยอด’ เท่านั้นหรือ
ลั่วซิงเฟิงพยักหน้าน้อยๆ ยิ้มเอ่ยว่า “หากอยู่ในโลกนี้ ผู้ที่สามารถครอบครองวิชามหามรรคอย่างหลินเต้ายวนพบเห็นได้น้อยมากจริงๆ แต่ถ้าเทียบกับผู้โดดเด่นในโลกฟากฝั่งเหล่านั้นแล้ว กลับไม่ได้มีอะไรพิเศษมากนัก”
นี่ยังไม่เรียกพิเศษหรือ
พวกไป๋หลิงเจิน อู่ซิวสิงยิ่งไม่อาจสงบใจได้ รู้สึกว่าความรู้ความเข้าใจกำลังจะถูกพลิกคว่ำ โลกอีกฟากฝั่งนั่น… เป็นสถานที่เช่นไรกันแน่…