อสนีเคราะห์ทั่วฟ้าล้วนถูกหุบเหวใหญ่กลืนกิน มองจากไกลๆ เวิ้งฟ้าผืนนั้นราวถูกกลืนแหว่งไปผืนใหญ่ สยดสยองติดตา
ภายใต้สายตาจับจ้องที่สะท้านสะเทือนของพวกต้าหวง ชิงอิง หุบเหวใหญ่ที่สูบกลืนอสนีเคราะห์นั่นส่งเสียงกระหึ่มเป็นระลอกๆ สุดท้ายก็กลายเป็นเงาร่างของหลินสวิน
เขายืนตระหง่านกลางอากาศ รูขุมขนทั่วตัวสาดแสงอสนีแสบตาออกมา อานุภาพทั่วร่างดั่งรุ้งพาดขวาง แผ่ครอบแปดทาง
ประดุจเทพศักดิ์สิทธิ์เหนือสุด ปรายตามองดูโลก
“ขั้นแจ้งปริศนา!”
ผู้อาวุโสหอวิหคทองแดงบางส่วนร้องอุทานออกมา มหาเคราะห์ไร้เทียมทานระดับนี้น่าสะพรึงปานใด สามารถทำให้ทั่วหล้าล้วนสะท้านสะเทือนได้
แต่ตอนนี้กลับหลินสวินแปลงเป็นหุบเหวใหญ่ ม้วนกลืนจนสิ้น!
“นี่ไม่ใช่ระดับจักรพรรดิขั้นสี่ทั่วไปแล้ว”
สายตาต้าหวงเผยแววทอดถอนใจ
ระดับจักรพรรดิขั้นสี่ เรียกว่าแจ้งปริศนา เมื่อมาถึงขั้นนี้ โลกจักรพรรดิบริสุทธิ์ประหนึ่งมองทะลุความเร้นลับ สามารถวิวัฒน์พลังแก่นแท้ของโลกที่สุดแสนอัศจรรย์ออกมาได้มากมาย
และระดับจักรพรรดิขั้นสี่ของหลินสวิน… เห็นได้ชัดว่าไม่ใช่ของทั่วไปจะเทียบได้!
ต้าหวงยังอดสงสัยไม่ได้ หลินสวินที่ทะลวงขั้นสำเร็จแล้ว ยามอยู่ต่อหน้าระดับบรรพจารย์จักรพรรดิ เกรงว่าจะมีรากฐานพลังในการต้านทานมากยิ่งกว่าเดิม
ครืน!
เสียงสายฟ้ากระหึ่มค่อยๆ เลือนหายไป แสงมรรคบนตัวหลินสวินก็เร้นหายไปพร้อมกัน ดุจดั่งชะล้างสิ่งแต่งเติม ละโลกีย์นิ่งสงบ
เงาร่างของเขาโรยลงมาแผ่วเบา เริ่มทำสมาธิ สร้างความมั่นคงให้พลังใหม่เอี่ยมที่เพิ่งทะลวงขั้นมา
การข้ามด่านเคราะห์ครั้งนี้ทำให้ความแข็งแกร่งของเขาแปรเปลี่ยนอีกครั้ง พลังที่ครอครองก็ไม่ใช่สิ่งที่เมื่อก่อนจะเทียบได้ ที่เด่นชัดที่สุดก็คือในโลกจักรพรรดิบริสุทธิ์ของเขาก่อเกิดแสงเร้นลับงดงาม ประดุจพลังดั้งเดิมของโลก ทำให้ทั่วทั้งโลกสว่างไสวด้วยท่วงทำนองศักดิ์สิทธิ์ดั่งมีชีวิต
นอกจากนี้เจตจำนงจิตวิญญาณและพลังกายก็ได้รับการยกระดับขึ้นไปอีกขั้น ร่างกายแกนกระดูก จุดชีพจร เลือดเนื้อ ล้วนเรียกได้ว่าสมบูรณ์แบบไร้ที่ติ แวววาวโปร่งแสง แผ่ท่วงทำนองมรรคแสงเร้นลับ อัศจรรย์ไร้ที่เปรียบ
ห้าวันให้หลัง
หลินสวินถึงตื่นจากการทำสมาธิ ยามกะพริบตามีแสงมรรคเร้นลับวาบผ่าน ดุจฟ้าดินเมื่อแรกเริ่ม
พวกต้าหวง ชิงอิงที่รออยู่แถวนั้นนานแล้วล้วนเดินเข้าไป บอกเล่าข่าวที่อวี้คุนจื่อแห่งสำนักโบราณจรัสเทพนัดพบให้หลินสวินฟัง
“เขาหุบเหวโลหิต?” หลินสวินขมวดคิ้ว “นี่คือที่ไหน”
ชิงอิงกล่าวว่า “ภูเขาเทพลูกหนึ่งที่ห่างจากถิ่นฐานของสำนักโบราณจรัสเทพเก้าหมื่นลี้ เป็นบริเวณที่เคราะห์จ่อมจอมครั้งที่สองปะทุขึ้น”
จากคำพูดของนาง เขาหุบเหวโลหิตอาบย้อมด้วยพลังของเคราะห์จ่อมจม ในกาลเวลาไร้สิ้นสุดที่ผ่านมานี้เปลี่ยนเป็นอันตรายหาใดเปรียบ บนเขาหมอกหนาคละคลุ้งตลอดปี ไม่อาจสลายไป
ภูเขานี้ราวกับเขตต้องห้าม พวกที่ต่ำกว่าระดับจักรพรรดิไม่มีทางขึ้นเขาลูกนี้ได้เด็ดขาด ส่วนระดับจักรพรรดิเมื่อเข้าสู่ภูเขาลูกนี้ ก็ยากจะทำลายต้นไม้ใบหญ้าบนภูเขานี้ได้เช่นกัน
แม้จะเอาศาสตราจักรพรรดิมากระหน่ำทุบก็ไม่สามารถสั่นคลอนเขาลูกนี้ได้สักเสี้ยว
นอกจากนี้เขานี้รายล้อมด้วยพยับหมอก แม้แต่เจตจำนงและจิตรับรู้ของระดับบรรพจารย์จักรพรรดิ ก็อาจถูกจำกัดไว้ที่รัศมีพันจั้งเช่นกัน
ในกาลเวลาไร้สิ้นสุดที่ผ่านมานี้ ยอดบุคคลมรรคจักรพรรดิมากมายพยายามเก็บเขาลูกนี้ไปด้วย ทําการกลั่นหลอม แต่ล้วนจบลงด้วยความล้มเหลวโดยไม่มีข้อยกเว้น
ชิงอิงคิดว่าอวี้คุนจื่อเจ้าสำนักสำนักโบราณจรัสเทพเลือกนัดพบหลินสวินที่เขาหุบเหวโลหิต ต้องไม่มีเจตนาดีแน่นอน
เพราะภูเขานี้มีพยับหมอกหนาล้อมรอบ จิตรับรู้ถูกจำกัด เช่นนั้นไม่ว่าจะมีคนหลบซ่อนแฝงตัวอยู่ในนั้นกี่มากน้อย เกรงว่าก็คงไม่มีใครล่วงรู้!
หลังเข้าใจทั้งหมดแล้ว หลินสวินยกยิ้มกล่าวว่า “นัดพบ ไม่ใช่นัดต่อสู้ หรือเจ้าเฒ่านี่ตั้งใจจะพูดคุยกับข้าก่อนหรือ”
ต้าหวงกล่าว “คนโง่ยังรู้เลยว่านี่คือกับดัก หรือเจ้าคิดจะไปจริงๆ”
“ทำไมจะไม่ได้เล่า อีกฝ่ายงัดกระบวนท่าเช่นนี้ออกมา ต้องเป็นเพราะระดมพลังจนมั่นใจแล้วว่าสามารถสังหารข้าหลินสวินได้ แต่ขณะเดียวกัน สำหรับพวกเราแล้วนี่ก็เป็นโอกาสดีที่จะกำจัดอีกฝ่ายเหมือนกัน ไม่จำเป็นต้องบุกไปหาศัตรูอีกแล้ว สู้หนเดียวก็ตัดสินแพ้ชนะได้!”
หลินสวินกล่าว “ยิ่งกว่านั้น ตอนนี้… ก็ถึงเวลาให้สำนักโบราณจรัสเทพและแดนกษิติครรภ์จ่ายค่าตอบแทนออกมาบ้างแล้ว”
เขาในตอนนี้ ไม่ว่าจะเป็นพลังปราณหรือไพ่ตายที่ถืออยู่ในมือ ในโลกมืดแห่งนี้ไม่มีอะไรให้เกรงกลัวนานแล้ว!
“เช่นนั้นข้าจะไปกับเจ้า” ต้าหวงกล่าว
หลินสวินส่ายหน้า “ต้าหวง ตอนนี้เจ้าพาเสี่ยวอู่ไป ‘เขาบรรพชนจรัสเทพ’ ใช้กระบวนค่ายกลมรรคสิ้นฟ้าอาสัญปิดผนึกที่นั่นเอาไว้”
ชั่วพริบตาสีหน้าของพวกต้าหวง ชิงอิงล้วนเปลี่ยนเป็นหลากสีสันสุดจะเปรียบ
เขาบรรพชนจรัสเทพก็คือที่ตั้งของสำนักโบราณจรัสเทพ หลินสวินจัดการเช่นนี้ เห็นได้ชัดว่าตั้งใจถือโอกาสนี้เล่นใหญ่สักตั้ง!
“ดี!”
ต้าหวงตอบรับโดยไม่ลังเล ข้างกายหลินสวินยังมีซีติดตาม นี่ทำให้ต้าหวงไม่เป็นห่วงว่าหลินสวินจะประสบคลื่นลมใหญ่โตเท่าไหร่นัก
กลับกัน แผนการที่หลินสวินวางไว้เช่นนี้กลับทำให้ต้าหวงฮึกเหิม ถูไม้ถูมือขึ้นมา
“คุณชาย การเคลื่อนไหวครั้งนี้เสี่ยงอันตรายเกินไปหรือไม่” ชิงอิงค่อนข้างกังวล
หลินสวินยิ้มส่ายหน้า “แม่นางและทุกคนในที่นี้แค่รอฟังข่าวอยู่ที่นี่ก็พอ”
ไม่ว่าจะออกหน้าเพื่อหอวิหคทองแดง หรือแก้แค้นให้ตัวเอง หลินสวินก็รอมานานหลายปีแล้ว!
…
ทั่วเขาหุบเหวโลหิตทั้งบนล่างพยับหมอกคละคลุ้ง พวยพุ่งปั่นป่วน คงทนไม่สลายตัว
หลายปีนับที่ผ่านมานี้มียอดฝีมือเหนือธรรมดาไม่รู้เท่าไหร่พยายามขับไล่พยับหมอกบนเขาลูกนี้ แต่ล้วนจบลงด้วยความล้มเหลวอย่างไม่มีข้อยกเว้น
บนยอดเขา
เงาร่างแปดสายที่มีอวี้คุนจื่อแห่งสำนักโบราณจรัสเทพเป็นผู้นำยืนนิ่งอยู่บนนั้น แม้แต่พยับหมอกก็ไม่อาจบดบังประกายเทพแสงมรรคที่แผ่ออกมาจากตัวพวกเขาได้
พวกเขามีทั้งชายหญิง บ้างมีสายฟ้าโคจรรอบ บ้างมีแสงมรรคลอยล่อง บ้างก็อานุภาพดุดันคับฟ้า บ้างก็ประกายเพลิงล้อมกาย อานุภาพแต่ละคนสะเทือนฟ้าดิน ความกร้าวแกร่งอหังการแห่งอานุภาพจักรพรรดิทั้งตัวทำให้คนหายใจไม่ออก
โดยเฉพาะอวี้คุนจื่อที่เป็นผู้นำ จอนผมสองข้างเป็นสีดอกเลา สวมชุดนักพรต สีหน้าเคร่งครัด ดึงดูดสายตาของทุกคน
เขาเพียงยืนนิ่งๆ อยู่ตรงนั้น ลำแสงทั่วร่างกลับเสมือนบดบังคนอื่นๆ
นี่ก็คืออานุภาพของเจ้าสำนักสำนักโบราณจรัสเทพ มรรควิถีทั้งร่างบรรลุถึงขั้นปลายยอดของระดับจักรพรรดิขั้นแปด ขาดเพียงจุดเปลี่ยนเดียวก็จะก้าวสู่ธรณีขั้นเก้ากลายเป็นระดับขั้นย้อนบรรพ์
“เจ้าสำนักอวี้คุนจื่อ มหาจักรพรรดิฟานอวิ๋น มหาจักรพรรดิไท่อิน จักรพรรดิสงครามจิ่วเป่า… คราวนี้สำนักโบราณจรัสเทพถึงกับระดมผู้อาวุโสระดับจักรพรรดิเจ็ดคนมาพร้อมกับอวี้คุนจื่อ ล้วนเป็นบุคคลระดับยักษ์ใหญ่ เห็นได้ว่าให้ความสำคัญกับจักรพรรดิเต้ายวนขนาดไหน”
ใต้เชิงเขามีคนกล่าวถอนใจ
คนนับไม่ถ้วนแหงนมอง หัวใจเสียววูบ แปดคนบนยอดเขานั่น แทบจะเรียกได้ว่ามีพลังอำนาจที่สุดในโลกมืด นอกจากแดนกษิติครรภ์ ล้วนสามารถกำราบทุกสิ่งได้
“ก็ไม่รู้ว่าในมุมมืดของเขาหุบเหวโลหิตยังจะซุกซ่อนกองกำลังอีกมากน้อยแค่ไหน…”
มีคนลอบวิเคราะห์ “หากแค่จัดการจักรพรรดิเต้ายวนคนเดียว กองกำลังพวกนี้ก็ดูเกินความจำเป็นไปหน่อย แต่หากจักรพรรดิเต้ายวนและพวกคนเก่าคนแก่บางส่วนของหอวิหคทองแดงมุ่งหน้ามาพร้อมกัน นั่นก็พูดลำบากแล้ว”
“อวี้คุนจื่อกล้านัดพบที่นี่ ย่อมต้องมีการเตรียมพร้อมและมั่นใจเต็มเปี่ยม สิ่งที่กังวลอย่างเดียวในตอนนี้คือจักรพรรดิเต้ายวน… จะกล้ามาไหม”
ในพื้นที่ใกล้เคียงเขาหุบเหวโลหิตเกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์มากมาย ตั้งแต่ข่าวที่อวี้คุนจื่อนัดพบหลินสวินแพร่ออกมา เขาหุบเหวโลหิตก็กลายเป็นจุดสนใจจากทุกสายตาในใต้หล้า ตอนนี้ในพื้นที่แถบนี้มีผู้แข็งแกร่งไม่รู้เท่าไหร่มารวมตัวกันนานแล้ว ล้วนตั้งตาคอยและรอชม
เพียงแต่พร้อมๆ กับเวลาที่เคลื่อนคล้อย หลินสวินก็ยังไม่ปรากฏตัวเสียที ทำเอาคนมากมายอดสงสัยไม่ได้ว่าเขาหวาดกลัวจนถอยหนี ไม่กล้าโผล่มาแล้ว
ถึงอย่างไรการนัดพบครั้งนี้ก็จะกลายเป็นเคราะห์สังหารท่วมฟ้าอยู่แล้ว!
หากคนส่วนใหญ่ในที่นี้เป็นหลินสวิน เกรงว่าล้วนไม่กล้ามาตามนัด
แต่ในเวลานี้เอง กลางห้วงอากาศไกลโพ้นเกิดเสียงพายุอสนีระลอกหนึ่งดังขึ้นฉับพลัน รุ้งเทพดุจม่านน้ำตกสายหนึ่งฉีกทึ้งห้วงอากาศเป็นแนวยาว ทะยานมาทางเขาหุบเหวโลหิต ความเร็วน่าประหวั่น
สวบ!
ทันทีที่รุ้งเทพมาถึงหน้าเขาหุบเหวโลหิตก็กลายเป็นเงาร่างสูงโปร่งละโลกีย์สายหนึ่ง อาภรณ์สีขาวพระจันทร์โบกพลิ้ว ดูประหนึ่งเทพเซียน
“จักรพรรดิเต้ายวน!”
“เขาถึงกับกล้ามาจริงๆ!”
ในที่นั้นพลันฮือฮาขึ้นทันที ปั่นป่วนโดยสมบูรณ์ สายตานับไม่ถ้วนต่างหันไปมองเงาร่างที่ยืนกลางอากาศสายนั้น ทั้งใคร่รู้และตะลึงงัน
“แค่เจ้าคนเดียวหรือ”
บนยอดเขา คนใหญ่คนโตสำนักโบราณจรัสเทพอย่างพวกอวี้คุนจื่อล้วนสังเกตเห็นหลินสวินที่แหวกอากาศมาเยือนตั้งแต่แรก เพียงแต่พวกเขายังอดแปลกใจอยู่บ้างไม่ได้
เพราะว่าหลินสวินมาแค่คนเดียว!
“ข้าคนเดียวก็พอแล้ว” หลินสวินเงยมองเขาหุบเหวโลหิต แววตาเรียบเฉย ท่วงท่าสันโดษ เมื่อสะท้อนในสายตาของทุกคนล้วนเพิ่มความสง่าผ่าเผยประหนึ่งไร้ใครเทียม
มาตามนัดคนเดียว!
ลำพังแค่ความกล้าหาญนี้ก็สามารถสะเทือนหมื่นกาลได้แล้ว ทำให้คนใจไหวสั่น
เมื่อเทียบกับการเคลื่อนไหวครั้งนี้ของอวี้คุนจื่อ ลำพังแค่พลังที่เผยให้เห็นภายนอก ก็เห็นได้ชัดว่าการที่หลินสวินมาตัวคนเดียวต้องมีความกล้าน่าทึ่งปานใดแล้ว
“เฮอะ! ใจกล้าไม่เบา เจ้ากล้ามาถึงยอดเขาคนเดียวเลยหรือ” ชายองอาจที่รอบกายรายล้อมด้วยประกายอสนีคนหนึ่งเอ่ยปากเสียงเข้ม เสียงดั่งสายฟ้า ก้องสะท้อนทั่วฟ้าดิน
“ทำไมจะไม่ได้”
หลินสวินยิ้ม ก้าวย่างเหนือฟ้า อาภรณ์พลิ้วไหว เคลื่อนตัวอย่างผ่าเผย
เขาหุบเหวโลหิตนั่นสูงหมื่นจั้งเต็ม ตัวภูเขาสูงชันยิ่งยงเสียดฟ้า บนนั้นปิดครอบด้วยพลังผนึกแปลกประหลาด เป็นผลให้พยับหมอกล้อมรอบ จิตรับรู้ถูกจำกัด เต็มไปด้วยความลึกลับ
ไม่มีใครรู้ว่าในมุมมืดยังซุกซ่อนการซุ่มโจมตีและเคราะห์สังหารอย่างอื่นอีกหรือไม่
แต่หลินสวินกลับเหมือนไม่สะทกสะท้าน เงาร่างโรยตัวลงมาสู่ยอดเขาอย่างแผ่วเบา ท่วงท่าผ่อนคลายเช่นนั้นทำให้คนไม่รู้เท่าไหร่ตระหนก
พวกอวี้คุนจื่ออดขมวดคิ้วไม่ได้ ในหมู่พวกเขาส่วนใหญ่ก็เพิ่งเคยเห็นจักรพรรดิเต้ายวนที่ดุจดั่งตำนานคนนี้เป็นครั้งแรก ลำพังแค่ความห้าวหาญที่หลินสวินเผยออกมาในเวลานี้ก็ทำให้พวกเขาตระหนักได้ว่า เจ้าหมอนี่ต้องรับมือยากแน่ๆ
“ผู้สืบทอดคีรีดวงกมลกลับออกหน้าทวงความเป็นธรรมให้หอวิหคทองแดง จักรพรรดิเต้ายวน เจ้าคงไม่ได้คิดว่าโลกมืดแห่งนี้ไม่มีใครสยบเจ้าได้กระมัง”
หญิงรูปโฉมเฉิดฉายคนหนึ่งเอ่ยปาก สวมชุดกระโปรงสีม่วงทั้งตัว บริสุทธิ์หมดจด เรือนร่างอรชรมีแสงมรรคสีชาดที่คล้ายโซ่เทพเป็นเส้นๆ แผ่อวล แสบตาชวนสยอง
หลินสวินมาถึงยอดเขาแล้ว ยืนนิ่งห่างออกไปพันจั้ง สายตากวาดมองพวกอวี้คุนจื่อ ก่อนกล่าวเรียบๆ ว่า “บนโลกนี้อาจมีคนสยบข้าคนแซ่หลินได้ แต่ไม่มีทางเป็นพวกเจ้าแน่นอน”
“เหอะ ปากดีใช้ได้!”
มีคนแค่นหัวเราะ
“หลินเต้ายวน เจ้าไม่ควรมาคนเดียว พวกเราจัดวางกำลังพลเช่นนี้ไม่ใช่ทำเพื่อรอเจ้าคนเดียว”
มีคนเอ่ยเสียงเย็นชา
ยามนี้เจตจำนงและพลังปราณของแปดคนใหญ่คนโตอย่างพวกอวี้คุนจื่อแทบจะปิดผนึกทั่วตัวหลินสวิน อานุภาพบีบคั้นเป็นที่สุด
หากเป็นระดับจักรพรรดิทั่วไปเกรงว่าคงถูกทำให้ตกใจนานแล้ว
หลินสวินกลับคล้ายไม่สะทกสะท้าน กล่าวว่า “พูดไร้สาระให้น้อยๆ หน่อย ในเมื่อนัดพบ ก็พูดมาว่าพวกเจ้าคิดจะทำอะไรกันแน่ ข้าคนแซ่หลินไม่มีเวลาลับฝีปากกับพวกเจ้า”
ท่าทางเยือกเย็นแทบไม่แยแสนั้นทำให้คนใหญ่คนโตสำนักโบราณจรัสเทพเหล่านั้นต่างขมวดคิ้ว สายตาวาบประกายชวนสยอง
——